บทที่ 379 ค่อยคิดใหม่ชาติหน้าเถอะ!

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่379 ค่อยคิดใหม่ชาติหน้าเถอะ!

“ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง……”

ขณะนั้นก็มีคนสวมชุดคลุมสีแดงเลือดเดินออกมาจากทางด้านหลังม่าน สายตาล้ำลึก มีรอยยิ้มเยาะอยู่ที่มุมปาก ก้าวขึ้นมาบนเวที ทีละก้าวๆ

ยู่หลิวซูคำนับนางเล็กน้อย

“เทพธิดา!”

เมื่อคำนี้ออกไป ทุกคนก็มองไปทางเวที เมื่อเห็นเทพธิดายืนนิ่งอยู่บนเวที ทุกคนก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ

เทพธิดามาตั้งแต่เมื่อไหร่?

ทำไมพวกเขาถึงไม่เห็นอะไรเลย?

หลังจากเงียบไปอยู่ช่วงนึง ทุกคนก็พากันคุกเข่าลงพื้น

“คารวะเทพธิดา!”

หลานเยาเยายกริมฝีปากแดงขึ้นเล็กน้อย แล้วยิ่งยกขึ้นอีก ตอนที่สายตาเย็นชาของนางมองไปยังคนที่ไม่ยอมคุกเข่าเคารพสองสามคน แล้วเห็นพวกเขาไม่รู้จะทำยังไง กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจะหยุดก็หยุดไม่ได้

นางก็เอ่ยว่า

“วิชามอมเมางั้นรึ? เฮอะ! แล้วที่พวกเจ้าตั้งใจจะยุยงความเกลียดชังของทุกคนซ้ำแล้วซ้ำเล่าหล่ะ เพื่ออะไร? ยู่หลิวซูมีความแค้นอะไรกับพวกเจ้า ยึดครองที่ดินของพวกเจ้า หรือฆ่าครอบครัวของพวกเจ้า?”

คำสุดท้ายหนักแน่นขึ้นเล็กน้อย ทำให้สีหน้าของพวกนั้นซีดขึ้นไปอีก

เมื่อเผชิญกับคำซักถามของเทพธิดา

คนพวกนั้นจะเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ที่ไหนกัน? จึงต่างพูดอึกอักติดอ่าง คุกเข่าลงไปที่พื้นด้วยความกลัวหัวหด ตอบด้วยเสียงสั่น:

“มะ ไม่มี”

“ไม่มีไม่มี ไม่มี……สักนิด”

“……”

หลานเยาเยาส่งเสียงเย็นชา หรี่ตาเล็กน้อย

“ในเมื่อไม่มี งั้นแล้วทำไมถึงยุยงทุกคนให้ไล่คนของข้าออกจากเมืองหลวง?”

พอพูดว่าคนของเทพธิดา

ทุกคนก็อุทานตกใจ!

ผู้ที่ตั้งใจยั่วยุสองสามคนนั้นก็ตกใจแข้งขาอ่อนแรงลงไปอยู่ที่พื้น รีบขอร้องให้ยกโทษให้

พูดบอกว่าไม่รู้ว่ายู่หลิวซูคือคนของเทพธิดา แล้วก็พูดว่าถ้าหากรู้ ต่อให้มอบความกล้าให้พวกเขาแค่ไหน ก็ไม่กล้าทำเช่นนี้

โดยรวม!

ก็คือคำพูดร้องขอชีวิตแย่ๆ

หลานเยาเยาฟังจนรำคาญมาก

ดังนั้นนางจึงโบกมือ แล้วก็มีด้ายสีเงินยาวๆบางๆพุ่งออกจากมือ ตรงไปตัดเสื้อผ้าของคนพวกนั้น แล้วมันก็ถูกเย็บเหมือนเย็บเสื้อผ้า

จากนั้นก็ฉีก

ทันใดนั้นเสื้อผ้าของพวกเขาก็ถูกฉีกออก

ทุกคนคิดว่าเทพธิดาโกรธ ต้องการจะลงมือฆ่า แต่คิดไม่ถึงว่าจะตัดเสื้อผ้าของคนเหล่านั้น

อย่างไรเสีย ทุกคนก็คิดไม่ถึงว่ายู่หลิวซูจะเป็นคนของเทพธิดา

ดังนั้น เทพธิดาจะฉีกก็ฉีกเถอะ!

อย่างไร แค่ไม่เอาชีวิตของคนเหล่านี้ก็ดีแล้ว

เพียงแต่ว่า……

หลังจากที่เสื้อผ้าของคนเหล่านั้นถูกฉีกร่วงออกไป ก็มีถุงป่องๆใส่ของหล่นออกมา บางอันไม่ได้มัดให้ดี ของที่อยู่ข้างในก็กระจายลงพื้น

พอจ้องมองให้ดี

มันก็คือเหรียญเงินและพวกเครื่องประดับชั้นสูง!

ยิ่งไปกว่านั้นถุงเงินของพวกเขาก็มีขนาดพอๆกัน ถุงที่ใส่เหรียญเงินและเครื่องประดับก็ดูไม่ต่างกันมาก

ตอนนี้ ทุกคนยังไม่เข้าใจอะไรอีก?

“พูดมา!ใครเป็นคนบงการ?”

คนพวกนั้นมุดหัวก้มด้วยความอับอายและหวาดกลัว สุดท้ายก็พูดเรื่องราวออกมา

ที่จริงพวกเขาก็ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้บงการพวกเขา รู้เพียงแค่ว่ามีสองสามคนที่ต่างอยากให้พวกเขาไล่ยู่หลิวซูออกจากตึกฟังงิ้ว พอหลังจากไล่ออกจากเมืองก็จะมีคนมาจัดการเขา

และพวกเขาก็ละโมบ จึงตอบรับคำขอของพวกเขา

——

หลังจากเรื่องที่ตึกฟังงิ้วจบลง

ผู้ที่รับทรัพย์สินสองสามคนนั้นก็ถูกคุมตัวไว้ชั่วคราว ทรัพย์สินนั้นก็ถูกส่งมอบให้แก่เจ้าของตึกฟังงิ้วเป็นการชดใช้

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เรื่องที่ยู่หลิวซูกลายเป็นผู้ใต้บัญชาของเทพธิดาแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้คนจำนวนมากกลัวจนเหงื่อตก

สองชั่วยามต่อมา

นอกเมืองหลวง กลางทุ่งหญ้าที่มีคนชั้นสูงเล็กน้อย หลานเยาเยานั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่ มองดูยู่หลิวซูฆ่านักฆ่าคนสุดท้ายอย่างเย็นชา

เมื่อมองเลือดที่หยดจากกระบี่ แม้นางจะรู้สึกบาดตา แต่นักฆ่าที่วางแผนลอบสังหารยู่หลิวซูนั้นปล่อยเอาไว้ไม่ได้

ขณะนั้น!

ยู่หลิวซูมองศพที่อยู่บนพื้น

นานแล้วที่ไม่ได้รู้สึกสบายใจ ความอดกลั้นตลอดหลายปีมานี้ ในที่สุดก็สามารถทำตามใจตนเองโดยไม่เกรงกลัวอะไรสักที

ทันใดนั้นเขาก็คุกเข่าลงกับพื้น ค่อยๆคำนับแล้วพูดว่า:

“คุณหนู ครอบครัวข้าเดิมทีเป็นพ่อค้าที่จัดการซื้อของต่างๆให้ราชสำนักโดยเฉพาะ เป็นมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เชี่ยวชาญในด้านการค้าเรื่องเสบียงของราชสำนัก รวมถึงเสบียงอาหารของกองทัพ น้ำ เกลือ เครื่องหอม หญ้าและสมุนไพรสำหรับม้าเป็นต้น

การค้ารุ่งเรืองมาโดยตลอด ราชสำนักก็เชื่อถือครอบครัวของพวกเรามาก

แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด องค์ชายสี่ถึงนำคนกลุ่มนึงมาพร้อมกับราชโองการของฮ่องเต้ บอกว่าท่านปู่ของข้าสมคบคิดกับพวกกากเดนของราชวงศ์เก่า ต้องการล้มราชสำนัก

ดังนั้น ทุกคนในจวนของข้าต่างถูกสังหารคาที่ ข้าได้รับการปกป้องบาดเจ็บหนักไม่ถึงกับตาย แต่เห็นท่านปู่ถูกรัดคอจนตายกับตา พ่อแม่ก็ถูกมีดฟันตาย

แล้วยังมีน้องสาวของข้า นางถูกองค์ชายสี่ลากเข้าห้อง ทำสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าสัตว์ป่า……

ข้าฆ่าองค์ชายสี่ ถ้าพูดให้ดูดีก็เพื่อกำจัดสิ่งชั่วร้ายออกไปให้กับทุกคน แต่ถ้าพูดให้ไม่น่าฟังก็คือเพื่อแก้แค้น

ข้าไม่เพียงแต่ต้องการฆ่าเขา แต่ยังต้องการฆ่าทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ณ วันนั้น.รวมถึงฉินฮ่านที่ยังไม่ได้เป็นสิงปู้ช่างชู เขาเองก็อยู่ที่นั่น ท่านปู่ของข้าถูกเขารัดคอตายคามือ”

ตอนที่พูดพวกนี้

นัยน์ตาของยู่หลิวซูนอกจากความเสียใจและความเกลียดชัง ก็ไม่มีน้ำตาเลย

เพราะน้ำตาได้ไหลออกมาอย่างหนัก ณ ตอนที่ถูกเผาประตูไปแล้ว

“ที่จริง ศัตรูที่ใหญ่ที่สุดของเจ้าก็คือผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร เขาถึงจะเป็นผู้ร้ายตัวจริง”

หลานเยาเยามองไปทางเมืองหลวง นัยน์ตาประกายความเย็นชา

“ข้ารู้ ดังนั้นข้าจึงมาที่เมืองหลวง”

“วางใจเถอะ! ให้เวลาอีกไม่นานแล้ว”

เมื่อได้ยินคำพูดของเทพธิดา

ยู่หลิวซูก็เงยหน้าขึ้นมาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย มองสายตาที่แสนอันตรายของเทพธิดา ในที่สุดเขาก็ลองถอนหายใจ

เขาเลือกถูกแล้ว

เทพธิดาไม่ใช่คนของฮ่องเต้ที่โหดเหี้ยมผู้นั้น

มิเช่นนั้นเขาก็จะถูกฆ่า ในตอนที่รู้ว่าเขามาที่นี่เพื่อแก้แค้น

สิ่งที่น่าปิติไปมากกว่านั้นก็คือ นางดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความดูแคลนต่อราชสำนักปัจจุบัน

……

หลังจากที่เขากลับมายังเมืองหลวง หลานเยาเยาเดิมทีคิดจะกลับไปที่จวน ก็กลับถูกยู่หลิวซูเรียกไว้

“คุณหนู ข้าอยากไปเยี่ยมหลินเฟยหรัน”

หลานเยาเยาหันหน้ามามองเขา จากนั้นก็พยักหน้า

“ได้!”

ในศาลต้าหลี่(ทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบเกี่ยวกับคดีอาญา)

หน้าประตูเหล็กห้องขังที่ขังนักโทษ

หลินเฟยหรันตื่นแล้ว และยังไม่รู้เรื่องที่นางถูกวางยา นอกจากนางจะร้องไห้อย่างขมขื่น ก็เหลือแต่เพียงการหัวเราะตนเอง

ขณะนี้นางนั่งเงียบๆอยู่ที่มุมห้อง บาดแผลบนร่างกายบางอันเป็นสะเก็ดแผลแล้ว

เมื่อได้ยินเสียงดังขึ้นที่ประตู

นางก็เงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อตอนที่เห็นว่าเป็นยู่หลิวซูผู้ที่อ่อนโยนดังสายน้ำ สีหน้าเศร้าสลดของนางก็ประกายออกมา

แต่ว่า!

พอคิดถึงว่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาเป็นเพียงภาพลวง นัยน์ตาก็อดไม่ได้ที่จะหม่นหมองลงไป

“เจ้า……มาทำไม?”นางถาม

“มาเยี่ยมเจ้า”

ยู่หลิวซูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงมาที่นี่ แต่เขารู้ว่าเขาอยากจะพูดขอบคุณแก่นาง

เพราะ

ในคำสารภาพที่นางวางยาพิษองค์ชายสี่ ซึ่งก็คือตอนที่อยู่ในวัดกลางป่าไผ่ นางไม่ได้เอ่ยถึงเขา

ไม่เช่นนั้น เขาไม่มีทางที่จะกำจัดการเป็นผู้ต้องสงสัยออกไปได้อย่างหมดจด

ถึงอย่างไร ในตอนนั้นเขาก็เคยปรากฏตัวที่นั่น……

หลินเฟยหรันไม่ได้พูด

สองมือของยู่หลิวซูจับประตูเหล็กไว้ แล้วพูดด้วยสีหน้าสับสน:

“ขอขอบคุณเจ้า!”

หลินเฟยหรันก้มหัวน้ำตาคลอ ยังไม่พูดอะไร เพียงแต่น้ำตาไหลเงียบๆ

ยืนอยู่ครู่หนึ่ง

เมื่อไม่ได้ยินนางตอบกลับ ยู่หลิวซูก็หมุนตัวเตรียมจะจากไป

เขาเพิ่งหันไป หลินเฟยหรันที่อยู่ในคุกเหล็กก็ลุกขึ้นทันที จากนั้นก็รีบก้าวมายังข้างประตูเหล็กโดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตนเอง

“ยู่หลิวซู ข้าไม่ต้องการคำขอบคุณของเจ้า ถ้าเป็นไปได้ ข้าหวังว่านั่นจะไม่ใช่ฝัน อย่างน้อยวันเวลาที่อยู่กับเจ้าจะไม่ใช่ภาพหลอน”

“แม่นางหลิน ไม่ว่าจินตนาการของเจ้า ข้าจะดีกับเจ้าขนาดไหน แต่ชาตินี้ข้าไม่เคยคิดจะชอบใคร รวมถึงเจ้าด้วย”

แค้นใหญ่ยังไม่ได้ชำระ

เขาได้ทำจุดจบการตายที่แสนอนาถเอาไว้แล้ว เรื่องราวรักๆใคร่ๆพวกนั้น……ค่อยคิดใหม่ชาติหน้าเถอะ!