ทั้งสองคนเข้าไปในห้องครัว โจวกุ้ยหลานเอาหม้อเก็บกลับไปไว้ที่เดิม ส่วนโจวซ่านเย่ที่อยู่ด้านข้างช่วยนางถือกาที่มีน้ำร้อน เทลงไปในหม้อแล้วช่วยนางล้าง
โจวซ่านเย่ถือโอกาสช่วงเวลานี้ เริ่มพูดคุยเรื่อยเปื่อยกับโจวกุ้ยหลานขึ้นมา พูดไปทางนั้นทีทางนี้ที ก็มาพูดถึงเรื่องของโจวชิวเซียง
“ข้าไปที่บ้านของลุงใหญ่ เห็นลุงใหญ่กับป้าผอมซูบมาก ส่วนชิวเซียงมีครรภ์แล้ว ยังไม่รีบแต่งงานไปให้จบๆ ยังจะอืดอาด ครรภ์จนจะโตแล้ว”
โจวกุ้ยหลานล้างถ้วยล้างตะเกียบอยู่ กล่าวพูดขึ้นว่า“ลุงใหญ่ก็ทำใจไม่ได้”
“ทำใจไม่ได้ก็ต้องทำใจนะ มีครรภ์แล้ว เถ้าแก่เฉียนก็ยินดีที่จะแต่งกับนาง แล้วยังจะอะไร?”พูดแล้วโจวซ่านเย่ ก็ทอดถอนหายใจออกมา
สำหรับเรื่องของโจวชิวเซียง โจวกุ้ยหลานไม่ได้สนใจตั้งแต่ไหนแต่ไรมา
“ไอ๋ ส่วนข้าก็อายไม่กล้าเจอลุงใหญ่กับป้า พวกเขาอยากจะให้ข้าช่วยชิวเซียงหาคนดีๆมาแต่งด้วย นางพักอยู่กับข้า ใครจะรู้ล่ะว่าวันนี้ชิวเซียงเกิดตั้งครรภ์แล้ว? โชคดีที่ป้าไม่โทษตำหนิข้า ไม่อย่างนั้น ข้าที่มีปากก็พูดออกมาไม่ชัดเจน ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว!”
พูดแล้วโจวซ่านเย่ ก็ช่วยโจวกุ้ยหลานเอาชามกับตะเกียบวางใส่ในที่เก็บถ้วยชาม
โจวกุ้ยหลานเลิกคิ้วขึ้น ถามขึ้นว่า“ชิวเซียงรู้จักเถ้าแก่เฉียนได้ยังไงเจ้าคะ?”
“ไอ๋หยา พูดมาแล้วมันก็เป็นเรื่องบังเอิญมากสามีของข้าเป็นฝ่ายบัญชีร้านขายของชำของลูกน้องเถ้าแก่เฉียน มีวันหนึ่งเถ้าแก่เฉียนคนนั้นไปคิดบัญชี พบว่ามีบัญชีไม่ตรงกัน เขาเลยโมโห เลยด่าเถ้าแก่ร้านขายของชำไปหนึ่งยก สามีของข้าเลยอยากจะช่วยให้ทั้งสองคนเข้าใจกัน ก็เลยพามากินข้าวที่เรือนข้า ใครจะไปรู้เถ้าแก่เฉียนก็ถูกใจกันกับชิวเซียงแล้ว?”
โจวซ่านเย่พูด น้ำเสียงนั้นขึ้นๆลงๆ ทำให้โจวกุ้ยหลานฟังแล้วเคลิบเคลิ้ม
พี่สาวรองเป็นคนพูดเก่ง ไม่ไปร่ำเรียนตำราช่างน่าเสียดายจริงๆ
“ท่านไม่รู้ว่าชิวเซียงกับเถ้าแก่เฉียนสนิทสนมมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน?”โจวกุ้ยหลานถามขึ้น
โจวซ่านเย่ขมวดคิ้วเป็นปม“ตอนเริ่มแรกข้าไม่รู้ พวกลูกๆข้าก็ต้องดูแล ข้ายุ่งๆ จากนั้นได้พูดให้ชิวเซียงอยู่หลายคน ชิวเซียงนางก็ไม่ถูกใจเลย จนตอนสุดท้ายถึงมาบอกข้า ว่านางมีลูกกับเถ้าแก่เฉียน เถ้าแก่เฉียนก็เลยมาที่หมู่บ้านกับชิวเซียง”
“วันนี้ข้าไปนั่งที่เรือนของลุงใหญ่สักครู่หนึ่ง บอกกับพวกเขาว่าข้าไม่รู้ ลุงใหญ่กับป้าก็ไม่ได้โทษข้า ข้าถึงได้เบาใจลง”
โจวกุ้ยหลานยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรอีก
ไม่ว่ายังไงพี่เขยรองก็เป็นฝ่ายบัญชีคนหนึ่ง จะเชิญคนอย่างเถ้าแก่เฉียนไปกินข้าวที่บ้านได้ยังไง? อย่างนั้นจะต้องใช้ความคิดแผนการมากแค่ไหน? อีกอย่าง ถ้าโจวชิวเซียงไม่รู้ว่าครอบครัวของเถ้าแก่เฉียนมีเงิน และไม่มีเมีย นางจะถูกใจคนแก่อย่างเถ้าแก่เฉียนอยู่หรือ?
พี่สาวรองคนนี้เห็นนางโง่ อ้อ ไม่สิ เห็นทุกคนเป็นคนโง่
สมองอย่างชิวเซียง สามารถปิดบังพี่สาวรองแล้วคบหากับเถ้าแก่เฉียนอย่างลับๆได้หรือ? ตีนางตายนางก็ไม่เชื่อ !
“พอละ ไม่พูดเรื่องนางละ พวกเรามาพูดเรื่องเจ้ากัน น้องสาม ครอบครัวเจ้าเก็บรวมทรัพย์สินได้ยังไง?”โจวซ่านเย่หัวเราะคิกคักถามกุ้ยหลาน
โจวกุ้ยหลานสีหน้าไม่เปลี่ยน กล่าวอย่างธรรมชาติว่า“นั่นเป็นความสามารถของสวีฉางหลิน เป็นเงินของเขาเองสร้างเรือน บอกว่าจะเก็บเอาไว้ให้ลูกชายหลานชายอยู่เจ้าค่ะ”
“พวกเจ้าเผาถ่านได้เงินเท่าไหร่หรือ? เรือนหลังนี้จะต้องใช้เงินจำนวนมากเลยไหมล่ะ?”
“ท่านรู้ว่าพวกเรากำลังเผาถ่านหรือเจ้าคะ”โจวกุ้ยหลานหันไปมองโจวซ่านเย่แล้วถามขึ้น
โจวซ่านเย่ชะงักงัน ตามด้วยโบกมือพัลวันทันที ยิ้มพูดขึ้นว่า“ไม่ใช่ว่าข้านั่งอยู่ที่เรือนของลุงใหญ่สักพักหนึ่งหรือ ได้ยินว่าครอบครัวของพวกเจ้าพากันเผาถ่าน ตอนนี้ครอบครัวใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ข้าก็เลยถามดู”
โจวกุ้ยหลานไม่ได้ปริปากพูด“เผาถ่านนั่นจะได้เงินเท่าไหร่กัน? ถ้าได้เงินเยอะ ครอบครัวของลุงใหญ่ไม่ใช่ว่าก็ใช้ชีวิตอย่างมีสุข แล้วสร้างเรือนใหม่ของตัวเองแล้วหรือ? เงินเหล่านี้เป็นของท่านพ่อของเขาเอาไว้ให้เขา”
ท่านพ่อ?
เอาเงินเหลือไว้เยอะขนาดนี้ อย่างนั้นฐานะของน้องเขย……
โจวซ่านเย่ถามต่ออีกว่า“อย่างนั้น ท่านพ่อทำอะไรหรือ ทำไมถึงได้มีเงินมากมาย?”
“ท่านพ่อของเขาเป็นหมอ รักษาคนร่ำรวยคนหนึ่งหาย เขาก็เลยให้เงินกลับมา เขาก็เลยเอาให้สวีฉางหลิน”โจวกุ้ยหลานกล่าวพูดไร้สาระไปอย่างนั้นแหละ
สำหรับพี่สาวรองที่ฉลาดหลักแหลมนี้ นางไม่เชื่อใจหรอกพี่สาวรอง เป็นคนแผนการเยอะตั้งแต่เด็ก พอเผลอแวบเดียว ก็จะถูกนางหลอกแล้วยังช่วยนางอีก
โจวซ่านเย่ขมวดคิ้วเป็นปม “เจ้าเจอพ่อสามีคนนั้นแล้วหรือ? ความเป็นเลิศทางด้านการแพทย์ของเขาสืบทอดให้สวีฉางหลินแล้วหรือยัง?”
“ไม่นะ สวีฉางหลินยังไม่โต ท่านพ่อของเขาก็ไปกับหญิงอื่นแล้ว เหลือแค่เงินเหล่านี้ไว้ให้เขา เขาก็ไม่ใช่ว่าเร่ร่อนมาอยู่กับพวกเราที่นี่แล้วหรือ?”
โจวกุ้ยหลานเทน้ำที่อยู่ในหม้อออก เอาผ้ามาเช็ดหม้อให้สะอาด จากนั้นปิดฝาไว้ เช็ดมือแล้วเดินออกไปด้านนอก
ภายในใจของโจวซ่านเย่ยังขบคิดเรื่องที่โจวกุ้ยหลานพูด แล้วเดินตามออกไป
เมื่อกลับมาถึงห้องโถง โจวกุ้ยหลานก็นั่งลงข้างกระถางไฟ สวีฉางหลินนั่งถักสานตระกร้าไม้ไผ่อยู่
โจวซ่านเย่มองพิจารณาสวีฉางหลิน ลองหยั่งเชิงถามว่า“น้องเขย ท่านพ่อของเจ้าไปจากเจ้าตอนอายุเท่าไหร่หรือ?”
“พี่สาวรอง ช่วงตรุษจีนท่านพูดเรื่องนี้ทำไมกัน? คนได้ฟังแล้วจะไม่สบายใจแค่ไหนกัน !”โจวกุ้ยหลานรีบตัดบทสนทนาของโจวซ่านเย่ ปากยังขมุบขมิบขึ้น ไม่มีความสุขมาก
“เป็นข้าผิดเอง ไม่ดูเวลา น้องเขยอย่าตำหนิเลยนะ!”โจวซ่านเย่รีบเบนประเด็น พูดกับสวีฉางหลินแบบยิ้มๆ
สวีฉางหลินเหลือบมองโจวกุ้ยหลาน เห็นสีหน้าท่าทางของนางแล้วรู้เลยว่าพูดไร้สาระขึ้นมาอีกแล้ว เขาเลยตอบรับว่า”อืม”อย่างราบเรียบ
ตอนนี้เจ้าก้อนน้อยนั่งเขี่ยมือน้อยๆอยู่เงียบๆ ไม่กล้าที่จะรบกวนแม่ของเขาเวลานี้
โจวซ่านเย่กับโจวกุ้ยหลานพูดคุยกันอยู่สักพักหนึ่ง โจวกุ้ยหลานก็บอกว่าจะส่งโจวซ่านเย่ เพื่อให้นางไปอยู่กับท่านแม่สักพักหนึ่ง โจวซ่านเย่ก็ไร้ซึ่งหนทาง ทำได้เพียงลุกขึ้น ภายใต้การส่งแขกด้วยความยินดีปรีดาของโจวกุ้ยหลาน
ระหว่างลงภูเขา นางยังจูงมือโจวกุ้ยหลาน สั่งกำชับว่า“กุ้ยหลาน วันข้างหน้าต้องไปมาหาสู่กันเยอะๆ ไม่ให้พวกเราพี่น้องห่างเหินกัน!”
“พี่สาวรอง ข้ารู้แล้ว ท่านรีบกลับไปอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่เถอะเจ้าค่ะ ท่านแม่เป็นคนสำคัญที่สุดของพวกเราและให้ความสำคัญพวกเรา”โจวกุ้ยหลานตอบรับ
โจวซ่านเย่ถูกพูดต้อนจนมุม ทำได้เพียงลงภูเขาไป
พอรอนางไป โจวกุ้ยหลานถึงได้ทอดถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นางรีบกลับไปที่เรือน แล้วรีบปิดประตู เพื่อไม่ให้ความเยือกเย็นเข้ามาเลย
เมื่อเห็นนางทำแบบนี้ สวีฉางหลินเลิกคิ้วถามขึ้นว่า“เจ้าไม่ชอบพี่สาวรองหรือ?”
“ยังไม่ถึงขั้นไม่ชอบ แต่แค่ไม่อยากจะคบค้าสนทนากับนาง”โจวกุ้ยหลานพูด แล้วยกเก้าอี้เข้าไปใกล้ๆกระถางไฟ
สวีฉางหลินตอบ“อืม” แสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าตัวเองรู้ ในเมื่อภรรยาไม่ชอบคบหา ต่อไปเขาก็รู้ว่าควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรกับพี่สาวรองคนนี้
“ลมหิมะยังไม่หยุด หิมะหนาทึบปกคลุมภูเขา นางอาศัยสองเท้าของตัวเองเดินกลับมาจากตำบล ท่านคิดดูว่านางเป็นคนเก่งเหี้ยมยังไงสิ”โจวกุ้ยหลานพูดแล้ว ภายในใจก็อดยอมรับนับถือไม่ได้
ถ้าพี่สาวรองคนนี้เป็นผู้ชาย จะต้องทะยานถลันม้าออกมาแน่นอน
สวีฉางหลินเงยหน้าขึ้น มองไปทางโจวกุ้ยหลาน แววตามีคำถาม