War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1727
ตอนที่ 1,727 : พี่ชายของอวิ๋นคุน
“คำตอบเช่นนี้ยังต่างอันใดกับมิได้ตอบเล่า…”
คำตอบของหวังพี เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ทำหวางเฟยเซวียนสบอารมณ์สักเท่าไหร่
แต่แน่นอนว่านางก็รู้ดีว่าเรื่องนี้หวังพีไม่มีอำนาจตัดสินใจอะไร
“ฮึ! เจ้าทึ่มนั่นได้เข้าไปใช้สระวิญญาณเช่นนี้ ความแข็งแกร่งมิวายก้าวหน้าอีกแน่…จากพลังฝีมือที่มันสำแดงออกวันก่อน ไม่คล้ายคนที่พึ่งทะลวงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ แต่เป็นชนชั้นยอดฝีมือที่เจียนทะลวงผ่านเต็มที…ท่าทางการเข้าสระวิญญาณคราวนี้เผลอๆจะทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!!”
เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด
คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาใจของหวางเฟยเซวียนก็เต้นรัวขึ้นมาอย่างไม่อาจห้าม
ถึงจะเป็นลี่เฟิง แต่พลังฝึกปรือก็พึ่งบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงุสด!
“ให้ตายเถอะ หากเจ้าทึ่มนั่นบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดมิรู้คราวนี้จะหยิ่งผยองถึงเพียงใด…ดูเหมือนว่าหลังเจ้าทึ่มออกมา ข้าต้องทำดีกับมันหน่อยแล้ว หากสามารถร่วมมือกับเจ้าทึ่มตอนเข้าแดนลับเซียนได้ ยังจะมีผู้ใดสู้ได้อีก!!”
พึมพำมาถึงจุดนี้ลูกตากลมโตของหวางเฟยเซวียนก็ทอประกายเจิดจ้า มุมปากเผยรอยยิ้มสนุกสนาน
ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่รู้เลยว่าตอนนี้หวางเฟยเซวียนได้หมายมั่นตั้งใจว่าจะร่วมมือกับเขาให้จงได้ เพราะเขากำลังทุ่มเทให้กับการบ่มเพาะสั่งสมพลัง
ถึงแม้คราวนี้เขาจะบ่มเพาะพลังในโลกภายนอก ไม่อาจใช้เวลาให้คุ้มค่าได้เหมือนอยู่ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ทว่าด้วยพลังวิญญาณฟ้าดินเหลวอันมหาศาล ทำให้พลังฝึกปรือของเขาก้าวหน้ารวดเร็วกว่าชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติถึงสิบเท่า!
นอกจากนี้เพราะเขาทะลวงเปิดชีพจรเซียนได้ 99 จุด ความสามารถในการดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเหลวก็ยิ่งมหาศาลตามไปด้วย
พลังฝึกปรือของเขากำลังเพิ่มพูนขึ้นด้วยความเร็ว!
กล่าวให้ชัดคือเพิ่มพูนขึ้นด้วยความเร็วที่เหนือจินตนาการของผู้คน!
การที่พลังวิญญาณฟ้าดินเหลวถูกดูดซับอย่างรวดเร็วนี้ ทำให้ชายชราแขนเดียวด้านนอกสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง
“เจ้าหนุ่มนั่นนับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ…”
ใบหน้าเหี่ยวย่นของชายชราพลันเผยรอยยิ้มอันหาได้ยากออกมา “อายุยังมิทัน 40 ปี กลับบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นกลางแล้ว…ออกจากสระวิญญาณคราวนี้ เผลอๆจะทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด เรื่องนี้นับเป็นความอัศจรรย์ของตำหนักฟ้าลี้ลับเราจริงๆ”
“ถึงตอนนั้นต่อให้เทียบกับลี่เฟิง ก็มิได้ด้อยกว่าแต่อย่างใด!”
ถึงแม้ว่าชายชรามักอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ แต่มันก็เคยได้ยินข่าวลือของ ‘ลี่เฟิง’ มาบ้าง มันรู้ว่ามีสุดยอดอัจฉริยะรุ่นเยาว์ปรากฏตัวขึ้น
ขณะเดียวกัน ทางด้านตำหนักเมฆาครามที่อยู่ไกลห่างก็บังเกิดความเคลื่อนไหวเล็กน้อย
ความเคลื่อนไหวที่ว่าจัดเป็นเรื่องที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร เป็นเรื่องของผู้คนระดับล่างๆ และไม่ได้ถูกรายงานขึ้นมาให้อาวุโสระดับสูงๆรับรู้ ยิ่งไม่มีทางมาถึงหูต้วนหรูเฟิง
อวิ๋นตง…คนผู้หนึ่งที่เป็นผู้รับผิดชอบดูแลฐานปฏิบัติการย่อยของตำหนักเมฆาคราม มันเป็นชายชราที่อายุหลายร้อยปี
ในตำหนักเมฆาครามนับว่ามันเป็นเฒ่าชราที่ผ่านอะไรมากคนหนึ่ง
ในสายตาของคนตำหนักเมฆาครามระดับล่างๆ อวิ๋นตงเรียกว่าเป็นอาวุโสระดับสูงแล้ว ทำให้มีเจ้าหน้าที่ระดับต่ำๆมากมายหมายประจบประแจงเอาใจมัน
โดยปกติผู้ที่รับหน้าที่ดูแลฐานปฏิบัติการนั้นจะถูกผลัดเปลี่ยนเวรทุกๆ 6 เดือน
และเมื่อไม่นานมานี้ก็ถึงเวลาพักของอวิ๋นตงพอดี
“เหล่าจาง…ข้าไปก่อนแล้ว ที่เหลือฝากท่านดูแลต่อด้วย”
หลังจากส่งมอบหน้าที่ให้ผู้ที่มาเข้ากะคนใหม่ อวิ๋นตงก็เผยรอยยิ้มออกมา
“ฮ่าๆ! ไปเถอะ ข้ารู้ว่าเจ้าอยากเจออวิ๋นคุนเต็มทีแล้ว…แต่ตอนที่ข้าออกมาจากตำหนักเมฆาคราม ข้าได้ยินว่ามันออกเดินทางไกลไปที่ใดสักที่ มิรู้ว่าป่านนี้มันกลับมาแล้วหรือยัง”
ชายชราที่ถูกเรียกว่า เหล่าจาง หัวเราะกล่าว
“หืม? เจ้าเด็กน้อยนั่นออกเดินทางไกลหรือ?”
ได้ยินวาจาที่หล่าจางกลาว อวิ๋นตงถึงกับขมวดคิ้ว “มิคิดเลยว่าเดี๋ยวนี้จะไปไหนมาไหน เจ้านั่นกลับมิมาแจ้งข้า…ปีกกล้าขาแข็งแล้วหรือ!”
อวิ๋นคุนนั้นเป็นน้องชายของมัน ทั้งยังเป็นน้องชายคนเดียว
พวกมันพี่น้องสูญเสียครอบครัวตั้งแต่อวิ๋นคุนยังเล็กๆ เช่นนั้นในฐานะพี่ชายคนเดียวก็เป็นมันที่คอยดูแลน้องคนนี้มาโดยตลอด เรียกว่าทำหน้าที่เป็นทั้งพี่ชายและบิดามารดาให้แก่อวิ๋นคุนก็ไม่เกินเลย ในที่สุดทั้งคู่ก็ผ่านการคัดเลือกเข้าตำหนักเมฆาคราม เรียกว่าทั้งสองมาได้ไกลไม่น้อย…
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอวิ๋นตง ตอนนี้มันได้ไต่เต้าขึ้นมาจนมีหน้าที่ดูแลฐานปฏิบัติการภายนอกของตำหนักเมฆาคราม! แม้จะเป็นฐานปฏิบัติการเล็กๆ ฐานหนึ่งในบรรดาฐานที่มีอยู่นับไม่ถ้วน แต่ก็มากพอให้มันบังเกิดความภาคภูมิใจ
เพราะสุดท้ายแล้วตอนนี้ตำหนักเมฆาครามก็ยืนอยู่ ณ จุดสูงสุดของภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ขุมพลังกึ่งชั้น 3 ระดับแนวหน้า!
มันย่อมภาคภูมิใจที่ได้เป็นผู้ดูแลฐานปฏิบัติการ!
ในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เห็นทีจะมีแต่ตลาดมืดหยินชานเท่านั้น ที่มีพลังอำนาจทัดทานตำหนักเมฆาครามได้!
“ฮ่าๆๆ…ช่างเถิด! น้องเจ้าก็มิใช่เด็กน้อยไม่รู้ความแล้ว เจ้าก็นะ จักกี่ปีๆก็ยังเห็นมันเป็นเด็กมิเลิก! ข้าคิดว่าที่มันไม่มากล่าวบอกต่อเจ้าครั้งนี้ ก็เพราะกลัวเจ้าจะเป็นกังวลและมิปล่อยให้มันไปคนเดียวนั่นแหล่ะ!”
เหล่าจางหัวเราะร่า
“ฮายๆ พอๆ ไม่ต้องกล่าวแล้ว ข้ากลับไปดูก่อนแล้วกัน…มิรู้ป่านนี้น้องข้ามันจักกลับมาแล้วหรือไม่”
ไม่ทราบว่าทำไม พอได้รู้ว่าน้องชายคนเดียวอย่างอวิ๋นคุนอยู่ๆก็ออกเดินทางไกลไปครั้งนี้ อวิ๋นตงรู้สึกกระวนกระวายในใจขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ มันจึงอยากเร่งเดินทางกลับตำหนักเมฆาครามให้เร็วที่สุด
“อ่าๆ เจ้าไปเถอะ!”
เหล่าจางย่อมเข้าใจหวิ๋นตงได้ไม่ยาก เพราะมันเองก็รู้จักพี่น้องคู่นี้มานานแล้ว
แม้อวิ๋นตงจะเป็นเพียงพี่ชายของอวิ๋นคุน แต่อวิ๋นตงก็เปรียบได้ดั่งบิดาที่คอยดูแลอวิ๋นคุนไปทุกเรื่อง
สำหรับอวิ๋นคุนแล้ว มันก็เห็นอวิ๋นตงเป็นพี่ชายที่น่ายำเกรงไม่ต่างอะไรจากบิดา
อวิ๋นตงที่เดินทางกลับตำหนักเมฆาคราม ด้วยใจที่กระวนกระวายอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทำให้มันเร่งรีบเดินทางโดยไม่หยุดพัก
และพอกลับมาถึงตำหนักเมฆาคราม ใจมันก็ยิ่งว้าวุ่นไปกันใหญ่…
เพราะเมื่อมันไปหาน้องชายของมันที่บ้าน ก็พบว่าอีกฝ่ายยังไม่กลับมา
จนเมื่อมันกลับมาถึงบ้านพักของตัวเองที่ตำหนักเมฆาคราม มันก็พบว่าไข่มุกวิญญาณของอวิ๋นคุนแตกสลายไปเสียแล้ว…
“ผู้ใด!!?”
เมื่อเห็นไข่มุกวิญญาณของน้องชายแตกสลาย ร่างอวิ๋นตงรู้สึกสะท้านไปคล้ายไร้เรี่ยวแรงจะยืน สองตาเริ่มแดงฉาน ร่ำร้องออกมาใจแทบขาด จิตสังหารอำมหิตทะลักออกมาท่วมกายไม่หยุด
อย่างไรก็ตามด้วยความที่มันอยู่มาหลายร้อยปีแล้ว มันย่อมสามารถสงบอารมณ์ลงได้ในเวลาไม่นาน
เพราะมันรู้ดีแก่ใจ จะร่ำไห้หรือโศกเศร้าฟูมฟายเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ ที่สำคัญตอนนี้ที่สุดคือมันต้องมีสติ และสืบให้ได้ว่าน้องชายของมันไปที่ไหน แล้วไปเพื่อทำอะไร!
หลังจากใช้เวลาไปกว่าครึ่งชั่วยาม อวิ๋นตงก็ไปไถ่ถามสหายของอวิ๋นคุนเพื่อสอบถามข้อมูลทั้งหมด ในที่สุดมันก็ได้เบาะแสที่ต้องการ “เสี่ยวคุนไปประเทศฝูเฟิง…ที่ๆมีข่าวลือเรื่องตราผนึกมารงั้นหรือ?
อวิ๋นตงเองก็ได้ยินข่าวลือเรื่องการปรากฏของตราผนึกมารที่ประเทศฝูเฟิงมาแล้วเช่นกัน
กระทั่งตัวมันเองตอนที่ได้ยินเรื่องนี้ ยังคิดอยากจะออกเดินทางไปประเทศฝูเฟิงสักครา เผื่อมันจะมีวาสนาได้ครอบครองตราผนึกมารกับเค้าบ้าง…
อย่างไรก็ตามพอมันครุ่นคิดไตร่ตรองดู มันก้รู้สึกว่าเรื่องนี้มีโอกาสเป็นไปได้น้อยเกินไป อีกทั้งมันเองก็มีภาระหน้าที่วุ่นวาย สุดท้ายจึงเลิกคิดไป
แต่มันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าน้องชายของมันกลับเลือกที่จะไปประเทศฝูเฟิงเพียงลำพัง อนิจจาสุดท้ายก็ไปแล้วไปลับไม่มีวันได้หวนกลับ
เพราะไข่มุกวิญญาณแตกสลาย…ย่อมหมายถึงตาย!
“ประเทศฝูเฟิง…มันแค่ประเทศขุมพลังชั้น 6 อย่างดีก็มีแค่เซียนขัดเกลาทั่วๆไป…เสี่ยวคุนจะอย่างไรก็บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด เช่นนั้นมือสังหารมิน่าจะใช่คนของประเทศฝูเฟิง!”
อวิ๋นตงสูดลมหายใจเข้าลึกๆพยายามสงบอารณ์ หากแต่ในแววตาของมันก็คล้ายจะลุกโชนไปด้วยเพลิงโทสะ!
“ใครก็ตามที่ฆ่าเสี่ยวคุน ข้าจะให้เจ้าตายทรมาน!!”
ลำคอของอวิ๋นตงสั่นสะเทือน มันกล่าวออกด้วยเสียงเข้มดังจนแทบจะกลายเป็นการคำราม
แน่นอนว่าอวิ่นตงยังไม่รีบร้อนออกเดินทางไปประเทศฝูเฟิงทันที มันไปส่งรายงานการตายของน้องชายมันให้เบื้องบนก่อน เพราะสุดท้ายแล้วการที่มีคนของตำหนักเมฆาครามตาย นั่นหมายความว่ามีคนหาญกล้าท้าทาย!
ตราบใดที่มีการรายงานเรื่องนี้ขึ้นไป ทางตำหนักจะส่งยอดฝีมือมาช่วยเหลือตามความเหมาะสม
และเป็นดั่งที่อวิ๋นตงคิด หลังจากที่มันรายงานเรื่องราวการตายของอวิ๋นคุนไปได้ไม่นาน เบื้องบนของตำหนักเมฆาครามก็ส่งยอดฝีมือมาช่วยมันสืบคดี เป็นชายวัยกลางคนที่มาในชุดคลุมสีแดงเพลิงขลิบทอง
“ท่านอาวุโสสูงหั่ว!”
ได้เห็นชายวัยกลางคนในชุดแดงเพลิงขลิบทองผู้นี้ อวิ๋นตงอดไม่ได้ที่จะตกใจแทบสะดุ้ง!
ถึงแม้มันจะรู้ดี ว่าการที่น้องชายมันที่นับเป็นญาติของผู้ดูแลฐานปฏิบัติการตกตายเช่นนี้ เบื้องบนของตำหนักเมฆาครามต้องส่งชนชั้นยอดฝีมือมาช่วยเหลือมันสืบคดี ทั้งช่วยล้างแค้น..
แต่มันก็ไม่คิดจริงๆ ว่าเบื้องบนของตำหนักเมฆาครามจะถึงขั้นส่งตัวตนระดับนี้มา!
อาวุโสสูงหั่วผู้นี้ นับเป็นชนชั้นสุดยอดฝีมือของตำหนักเมฆาคราม! กระทั่งในการจัดอันดับพลังฝีมือ อาวุโสหั่วผู้นี้ยังติด 1 ใน 10!!
“ข้ารับทราบเรื่องราวของเจ้าจากรายงานแล้ว…ข้าจะตามเจ้าไปสืบคดีและหาเบาะแสการตายของน้องชายเจ้า ตอนเจอตัวฆาตกรหากเจ้าฆ่ามันไม่ได้ ข้าจะฆ่ามันเอง”
จินหั่ว เหลียวมองอวิ๋นตงเล็กน้อยค่อยกล่าว
หากแต่มันมองอวิ๋นตงด้วยความไร้แยแส กล่าวจบก็หันหน้าไปมองทางอื่นทันที แลดูหยิ่งยโสนัก
ทว่าเห็นดังนี้อวิ๋นตงไม่เพียงไม่ได้ไม่พอใจอะไร มันยังเร่งประสานมือกล่าวออกมาด้วยความตื้นตัน “ขอบคุณท่านอาวุโสสูงหั่วมากขอรับ!”
ด้วยมีอาวุโสสูงหั่วไปกับมันเช่นนี้ มันไม่ต้องกลัวว่าหากเจอฆาตกรแล้วจะไม่ได้ล้างแค้น!!
หลังจากนั้นอวิ๋นตงกับจินหั่วก็เดินทางออกจากตำหนักเมฆาคราม มุ่งหน้าสู่เขตอิทธิพลของคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวนทันที
คฤหาสน์หลิ่งหนานหยวนนั้นเป็นขุมพลังชั้น 5 ..ประเทศฝูเฟิงที่เป็นขุมพลังชั้น 6 ก็นับว่าเป็นขุมพลังที่อยู่ในเขตของมัน
เมื่อเดินทางมาถึงเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิง อวิ๋นตงสืบเรื่องราวไม่นาน ก็ได้รับทราบว่าทางตระกูลราชวงศ์ต้อนรับขับสู้น้องชายมันในฐานะแขกกิตติมศักดิ์อย่างดี
ดังนั้นมันจึงมุ่งหน้าไปยังวังหลวง กระทั่งเข้าพบฮ่องเต้ฝูเฟิงทันที
“ท่าน…ท่านคือพี่ชายของใต้เท้าอวิ๋นคุน?”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอวิ๋นตง จูหยวน ฮ่องเต้ฝูเฟิงก็ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง!
ในอดีตตอนที่อวิ๋นคุนยังอยู่ที่วังหลวงในฐานะแขกกิตติมศักดิ์ อีกฝ่ายก็ได้เล่าถึงพี่ชายเอาไว้ไม่น้อย ยังกล่าวอวดหลายครั้งว่าพี่ชายของมันเป็นถึงผู้ดูแลฐานปฏิบัติการของตำหนักเมฆาคราม และพี่ของมันยังเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตอริยะเซียน!
ขอบเขตอริยะเซียนนั้นไม่ใช่ว่าจูหยวนจะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่มันก็เคยได้เห็นแค่ครั้งเดียว อีกทั้งยังเป็นการมองจากที่ไกลๆ…
นี่นับเป็นครั้งแรกในชีวิตจริงๆ ที่จูหยวนได้ใกล้ชิดกับขอบเขตอริยะเซียนเช่นนี้!
“ผู้ใดสังหารน้องชายข้า!!”
อวิ๋นตงไม่กล่าวเวิ่นเว้อ เปิดประตูเห็นภูผาถามจูหยวนทันที
จูหยวนพอได้ยินก็ไม่กล้าลีลา เร่งเล่ารายละเอียดทั้งหมดออกมาหมดพุง และหลังจากที่เล่าจบมันก็กล่าวย้ำด้วยใบหน้าอับจนหนทาง “ยอดฝีมือผู้นั้นมิเปิดเผยอันใดออกมาสักอย่าง…บางทีมันคงกลัวตำหนักเมฆาครามจะมาล้างแค้น”
“ไม่เปิดเผยอันใด?”
ได้ยินคำของจูหยวน คิ้วอวิ๋นตงขมวดขึ้นมาเป็นปม “แล้วเจ้าจดจำรูปร่างหน้าตาของมันได้หรือไม่ ทั้งมั่นใจเพียงใดว่ามันมิได้ปลอมแปลงโฉม?”
“ถึงแม้ว่าข้าจะไม่กล้าตรวจสอบมันอย่างละเอียด แต่ข้ามั่นใจกว่า 9 ส่วนว่ามันมิได้ปลอมแปลงรูปโฉมมา”
เรื่องนี้จูหยวนค่อนข้างมันใจ
การปลอมแปลงใบหน้านั้น เพียงใช้สำนึกเทวะตรวจเล็กน้อยก็พบได้ ไม่จำเป็นต้องตรวจละเอียดอะไร
“เช่นนั้น เจ้ารวมถึงคนที่เคยเห็นหน้ามัน จงวาดรูปเหมือนมันมาให้ข้าเสีย”
อวิ๋นตรงกล่าวออกเสียงดังฟังชัด
คนที่เห็นอวิ๋นคุนถูกสังหาร นอกจากจูหยวนกับจูเลี่ยแล้ว ก็ยังมีป๋ายลี่หงอีกคน..
ดังนั้นหลังจากได้รับภาพเหมือน 2 ภาพ อวิ๋นตงก็ออกจากวังหลวง มุ่งหน้าไปยังตระกูลซือถู เพื่อหาตัวป๋ายลี่หง