War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1728
ตอนที่ 1,728 : เวทย์พลัง ปีกอีกาทองคำ

ณ ตระกูลซือถู แห่งเมืองหลวงฝูเฟิง

การมาเยือนของคนตำหนักเมฆาครามเช่นนี้ เป็นอะไรที่ป๋ายลี่หงเตรียมตัวรับมือมานานแล้ว อีกทั้งยังวาดรูปเหมือนโฉมหน้าปลอมของต้วนหลิงเทียนตระเตรียมเอาไว้แต่แรก จึงมียื่นส่งให้อวิ๋นตงทันทีที่อีกฝ่ายร้องขอ

ถึงแม้ทั้ง 3 ภาพจะถูกวาดขึ้นด้วย 3 คนที่แตกต่าง ทว่ากลับเหมือนกันหมด

“ข้าได้ยินว่า…ต้วนหลิงเทียนที่ครอบครองตราผนึกมารอยู่เป็นศิษย์น้องของเจ้า เรื่องนี้จริงหรือ?”

เมื่อม้วนเก็บภาพเหมือนที่ได้จากป๋ายลี่หงเสร็จแล้ว อวิ๋นตงพลันมองจี้ถามป๋ายลี่หงออกมาด้วยแววตาเฉียบคม

“ใช่”

ป๋ายลี่หงพยักหน้า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่รู้กันไปทั่วจึงไม่จำเป็นต้องปกปิดอะไร

“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้มันอยู่ที่ใด?”

อวิ๋นตงกล่าวถามออกมาด้วยความสนใจ ถึงแม้มันจะมาที่นี่เพื่อตามหาตัวฆาตกรฆ่าน้องชาย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะให้ความสำคัญกับตราผนึกมาร

“ข้าไม่รู้”

ป๋ายลี่หงส่ายหัวไปมา

ในขณะที่อวิ๋นตงคิดจะซักไซร้กล่าวถามเรื่องอื่น พลันมีเสียงแฝงรำคาญดังขึ้นในหู “เจ้าคิดว่าคนที่ฆ่าอวิ๋นคุนจะปล่อยให้มันที่รู้เบาะแสอะไรอยู่รอดได้งั้นเหรอ อย่าได้ลืมจุดประสงค์การมาของเรา!”

เสียงแฝงรำคาญเย็นชาดังกล่าวไม่ได้มาจากใครอื่น แต่เป็นยอดฝีมือที่ติด 1 ใน 10 อันดับแรกของตำหนักเมฆาคราม จินหั่ว

“ทราบแล้วอาวุโสสูงหั่ว”

เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่คล้ายอารมณ์มิค่อยสู้ดีสักเท่าไรของจินหั่ว อวิ๋นตงก็ไม่กล้ากล่าวถามวุ่นวายอะไรอีก หลังมองป๋ายลี่หงอีกครั้ง มันก็เลือกจากไป

อย่างไรก็ตามอวิ๋นตงไม่ได้รู้เลยว่าที่จินหั่วกล่าวแทรกขึ้นมานั้น ไม่ใช่เพราะรำคาญมันแต่อย่างไร แต่เพราะหากอวิ๋นตงถามต่อไป มันจะเกี่ยวพันถึงต้วนหลิงเทียน

บิดาบุญธรรมของมันนั้น คือผู้ที่ติดตามอยู่ข้างกายจ้าวตำหนักเมฆาคราม…ยังเรียกได้ว่าเป็นมือขวาของจ้าวตำหนักเมฆาคราม!

หรงหยวน หรือผู้อาวุโสหรง ก็คือบิดาบุญธรรมของมัน!

ในตอนนั้นเมื่อข่าวลือเรื่องตราผนึกมารแพร่มาถึงตำหนักเมฆาคราม มันก็คิดจะออกเดินทางมาที่นี่เช่นกัน เผื่อจะมีวาสนาได้รับตราผนึกมารอะไร ทว่ามันกลับถูกบิดาบุญธรรมหยุดเอาไว้!

ตอนนั้นมันจึงได้รู้ ว่าต้วนหลิงเทียนที่ถือครองตราผนึกมารในข่าวลือ ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นบุตรชายคนเดียวของจ้าวตำหนักเมฆาคราม! นี่หมายความว่าอีกฝ่ายคือจ้าวตำหนักน้อยของพวกมัน!!

สำหรับเรื่องที่ไฉนจ้าวตำหนักน้อยถึงมาร่อนเร่อยู่ด้านนอกแบบนี้ มันก็ถามไถ่ไปแล้ว และได้ความจากบิดาบุญธรรมของมันว่า จ้าวตำหนักจงใจปล่อยให้จ้าวตำหนักน้อยเดินทางฝึกฝนด้วยตัวเอง!

เมื่อรู้ว่าต้วนหลิงเทียนเป็นถึงจ้าวตำหนักน้อย เป็นธรรมดาที่มันจะไม่ปล่อยให้อวิ๋นตงสร้างปัญหาอะไรให้ป๋ายลี่หงลำบากใจ เพราะจะอย่างไรคนผู้นี้ก็คือศิษย์พี่ของจ้าวตำหนักน้อยพวกมัน!!

แน่นอนว่าอวิ๋นตงถูกกำหนดมา ไม่ให้รู้เรื่องนี้

และจินหั่วก็ไม่คิดจะกล่าวบอกอะไรมัน

อย่างไรก็ตาม แม้แต่ตัวจินหั่วเองก็คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าผู้ที่ลงมือสังหารอวิ๋นคุน น้องชายอวิ๋นตงนั้น ที่แท้ก็คือจ้าวตำหนักน้อยของตำหนักเมฆาครามพวกมัน!

หากมันรู้เรื่องนี้ล่ะก็มันคงไม่เสียเวลาตามอวิ๋นตงมาถึงที่นี่ กระทั่งมันยังจะตีอวิ๋นตงให้ขาหักเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายไปไหนได้ จนกว่ามันจะเค้นถามเรื่องราวว่าไฉนน้องชายอุบาทว์ของเจ้าถึงได้หาญกล้าไปมีเรื่องมีราวกับจ้าวตำหนักน้อย!!

หากจำเป็นมันก็จะฆ่าอวิ๋นตงทิ้งไปเสีย!

ถึงแม้อวิ๋นตงจะได้รับหน้าที่ให้เป็นผู้ดูแลฐานปฏิบัติการฐานหนึ่ง แต่ในสายตาของจินหั่ว…ฐานะผู้ดูแลฐานปฏิบัติการก็ไม่ต่างอะไรจากศิษย์ที่ต่ำต้อยที่สุดของตำหนักเมฆาคราม!

เป็นธรรมดาที่ต้วนหลิงเทียนจะไม่รู้เรื่องราวการมาถึงประเทศฝูเฟิงของพวกอวิ๋นตงและจงหั่ว

เพราะตอนนี้เขากำลังอยู่ในช่วงหั่วเลี้ยวหัวต่ออันสำคัญในการทะลวงด่าน!

พลังวิญญาณฟ้าดินเหลวที่มากมายจนเหมือนทะเลสาบย่อมๆ ตอนนี้พร่องไปกว่าครึ่ง และหากใครสังเกตจะเห็นว่าระดับของเหลวในสระวิญญาณได้ลดระดับจนมาถึงคอต้วนหลิงเทียนที่นั่งขัดสมาธิบ่มเพาะพลังแล้ว

และหากมองให้ชัดยังสามารถสังเห็นว่า พลังวิญญาณฟ้าดินเหลวยังคงถูกดูดซับด้วยความเร็วอันน่ากลัว ระดับน้ำในสระวิญญาณลดลงด้วยความเร็วที่เห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า!

นี่มากพอจะบอกว่าการบ่มเพาะพลังครั้งนี้ของต้วนหลิงเทียนมันรวดเร็วเพียงใด

จะให้คนที่ทะลวงเปิดจุดชีพจรเซียนได้ 99 จุดบ่มเพาะพลังช้า?

เมื่อพลังวิญญาณฟ้าดินเหลวลดระดับไปเรื่อยๆ จนลดลงไปปริ่มท้องต้วนหลิงเทียน ร่างของเขาก็เริ่มสั่นไหว จากเบาๆก็กลายเป็นแรงขึ้นทุกขณะ!

ตอนนี้ปราณสุริยันแรกกำเนิดของต้วนหลิงเทียน แทบจะเติมเต็ม หนีหว่านกง แล้ว

(ไม่รู้จะแปลยังไงจริงๆ…ถ้าเอาตรงๆ ก็ ‘วังเม็ดโคลน’ คิดซะว่ามันเป็นก้อนกลมๆ ที่เอาไว้เก็บปราณแรกกำเนิดแล้วกัน)

หนีหว่านกง นั้นเป็นสิ่งที่ตัวตนที่บรรลุขอบเขตเซียนแล้วเท่านั้นถึงจะมี มันคือทะเลปราณที่ยกระดับพัฒนาจนแปรเปลี่ยนไป

ปราณแรกกำเนิด ก็จะถูกกักเก็บเอาไว้ใน หนีหว่านกง ที่ว่า

และตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ใกล้จะทะลวงด่านพลังเต็มที ปราณสุริยันแรกกำเนิดของเขาโคจรไหลเชี่ยวปานมังกรคลั่ง ทำให้ชีพจรเซียนในร่างของเขาสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างรุนแรง

และการที่ชีพจรเซียนทั้ง 99 สายของต้วนหลิงเทียนสั่นสะท้านเช่นนี้ ย่อมทำให้ต้วนหลงเทียนปวดประสาทถึงขีดสุด!

ทำให้ร่างเขาของถึงกับสั่นระริกไปด้วยความเจ็บปวด!

อาการเจ็บปวดนี้มันรุนแรงถึงขั้นคิดจะร้องยังร้องไม่ออก! ทำได้แค่สั่นเทิ้มไปทั้งร่างอย่างไม่อาจควบคุม

ผึก!

ทันใดนั้นเชือกรัดผมของต้วนหลิงเทียนพลันขาดผึง พาลให้เส้นผมยาวสลวยเริ่มโบกสะบัดพัดกระพือไปแม้ไร้ลม ที่สำคัญยังแลเห็นแสงสีทองเรืองๆ วูบวาบออกมาตามเส้นผมแต่ละเส้น!

เห็นได้ชัดว่าเป็นปราณสุริยันแรกกำเนิดของเขา!

ขณะเดียวกันทั่วร่างกายของต้วนหลิงเทียนตอนนี้ก็เต็มไปด้วยแสงสีทองเรืองรอง

แสงสีทองดังกล่าวยังค่อยๆขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายมองไปก็คล้ายมี ‘รังไหมสีทอง’ ห่อหุ้มคลุมร่างต้วนหลิงเทียนเอาไว้!

เป็นรังไหมสีทองขนาดใหญ่ที่แลดูน่าเกรงขามไม่เบา แสงสีทองกระพริบวูบวาบออกมาไม่หยุด สามารถวัดเส้นผ่านศูนย์กลางได้ 2 หมี่!

ปุด! ปุด! ปุด! ปุด! ปุด!

……

ตอนนี้เองพลังวิญญาณฟ้าดินเหลวในสระวิญญาณที่ปริ่มท้องของต้วนหลิงเทียน ก็คล้ายกำลังจะเดือดพล่าน! ฟองอากาศลูกแล้วลูกเล่าผุดขึ้นมาระรัว!

ต่อมาในเวลาไม่ถึง 10 ลมหายใจ พลังวิญญาณฟ้าดินเหลวรอบกายต้วนหลิงเทียนก็สลายหายไปไม่มีเหลือ!

แน่นอนว่ามันไม่ได้สลายหายไปไหน หากแต่มันเดือดจนกลาเป็นไอและไปควบรวมกับรังไหมสีทองขนาดใหญ่ที่ห่อหุ้มร่างต้วนหลิงเทียนเอาไว้ รังไหมที่ว่าประหนึ่งเด็กน้อยตะกละตะกลาม มันดูดพลังวิญญาณฟ้าดินเหลวที่ระเหยเป็นไอไปหมดสิ้น!!

“ผู้เฒ่าหั่ว…ตอนนี้ข้าควรทำอย่างไรต่อดี?!”

ภายในรังไหมสีทอง ต้วนหลิงเทียนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตอนนี้ก็ได้ลืมตาขึ้นมาแล้ว และเห็นชัดว่ากำลังคุยกับผู้เฒ่าหั่วที่อยู่ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ

อันที่จริงด้วยปริมาณปราณสุริยันแรกกำเนิดตอนนี้ เขาสามารถทะลวงไปถึงเซียนขัดเกลาขั้นต้นได้นานแล้ว

ทว่าในขณะที่เขากำลังจะทะลวงด่านพลัง ผู้เฒ่าหั่วกลับหยุดเขาเอาไว้เสียก่อน

“หลังจากที่ข้าถ่ายทอดเวทย์พลังขั้นพื้นฐานของตระกูลอีกาทองคำ 3 ขา ‘ปีกอีกาทองคำ’ ให้เจ้าเสร็จสิ้น ค่อยทะลวง…ด้วยวิธีนี้วันใดที่เจ้าทะลวงถึงขอบเขตอริยะเซียนได้ เจ้าจะสามารถใช้เวทย์พลังอย่าง ปีกอีกาทองคำ ได้ทันที…แน่นอนว่าก่อนที่เจ้าจะกระทำเช่นนั้นได้ เจ้าต้องควบรวมต้นแบบปีกอีกาทองคำ เสียก่อน…และตอนนี้ในเมื่อมีพลังวิญญาณเหลวเหลือมากมายเช่นนี้ นับว่าสบโอกาสเหมาะอย่างยิ่ง!”

นี่คือวาจาที่ผู้เฒ่าหั่วกล่าวบอกก่อนหน้า

ตอนที่ด้ยินคำกล่าวนี้ของผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนก็อื้ออึงไปไม่น้อย เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำว่า ปีกอีกาทองคำ!

อย่างไรก็ตามพอได้ฟังคำอธิบายของผู้เฒ่าหั่วแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเข้าใจว่าปีกอีกาทองคำคืออะไร

นั่นคือเวทย์พลังขั้นพื้นฐานของเผ่าพันธุ์อีกาทองคำ 3 ขา เป็นความสามารถที่ผู้คนนอกเผ่าพันธุ์สามารถฝึกฝนจนเชี่ยวชาญได้ ทันทีที่เปิดใช้ มันจะสร้างปีกที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับปีกของอีกาทองคำ 3 ขาไว้ที่แผ่นหลัง เพียงห้วงคิด ร่างเหินทะยานข้ามผ่านพันหมื่นลี้!

แน่นอนว่ากว่า ปีกอีกาทองคำ จะมีพลังอำนาจระดับนั้น จำต้องมีพลังในระดับหนึ่งเสียก่อน

“ตราบใดที่เจ้าควบแน่นต้นแบบของปีกอีกาทองคำเอาไว้ ทำให้มันกลายเป็นดั่งขุมพลังของเจ้าก่อนที่เจ้าจะบรรลุเซียนขัดเกลา เพื่อเป็นการวางรานขุมพลังให้มั่นคง…นั่นจะทำให้เจ้าสามารถใช้เวทย์พลังปีกอีกาทองคำได้ทันทีที่บรรลุขอบเขตพลังอริยะเซียน…ถึงตอนนั้นความเร็วของเจ้าจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล และเป็นธรรมดาที่ความสามารถในการต่อสู้โดยรวมของเจ้าจะทรงพลังขึ้นเช่นกัน!”

วรยุทธ์สรรพวิชาทั่วหล้า ถือความเร็วเป็นที่สุด!

ต้วนหลิงเทียนเองก็รู้เรื่องนี้

ดังนั้นต้วนหลิงเทียนจึงตื่นเต้นไม่น้อยเมื่อได้ฟังคำอธิบายของผู้เฒ่าหั่ว เขาจึงไม่เร่งรีบจะทะลวงผ่านเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดไปยังด่านพลังเซียนขัดเกลา

ทั้งหมดเพื่อให้ต้นแบบของปีกอีกกาทองคำควบรวมก่อเกิดแล้วเสร็จ!

และการปรากฏตัวของรังไหมสีทองนี้ ก็เป็นการชี้แนะของผู้เฒ่าหั่วเช่นกัน และในเวลาเพียงแค่ไม่ถึง 20 ลมหายใจดี รังไหมสีทองก็ดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเหลวที่เหลืออยู่ในสระวิญญาณจนหมดสิ้น!!

หลังจากนั้นภายใต้การชี้แนะของผู้เฒ่าหั่ว รังไหมสีทองดังกล่าวก็เริ่มถูกต้วนหลิงเทียนใช้พลังแบ่งออกเป็น 2 ส่วน!

หลังจากที่แบ่งออกเป็น 2 ส่วน รังไหมสีทองดังกล่าว ก็เริ่มกลายเป็นกลุ่มก้อนมวลของเหลวสีทองตามการควบคุมอันแยบคาย

ทันใดนั้นเองมวลของเหลวสีทองทั้ง 2 ก็ค่อยๆก่อรูปลักษณ์เป็นปีกสีทองอันงดงาม! สองตาต้วนหลิงเทียนมองเพ่งอย่างตั้งใจ พยายามก่อรูปลักษณ์มันให้เหมือนกับที่ผู้เฒ่าหั่วถ่ายทอดนิมิต ให้ได้มากที่สุด

“ตอนนี้ล่ะ!”

ทันทีที่ผู้เฒ่าหั่วตะโกนเสียงดัง ต้วนหลิงเทียนก็สะดุ้งตกใจเล็กน้อย และทันทีที่เขาคืนสติก็เร่งหลับตาลง ทั้งควบคุมปราณสุริยันแรกกำเนิดในร่างให้แผ่พุ่งออกไปชักนำปีกสีทองทั้ง 2 ให้เข้ามาผสานกับร่างกายของเขาทันที!

กล่าวให้ชัด ชักนำให้พวกมันไปติดแปะอยู่ที่แผ่นหลังของเขา!!

หลังจากที่ปีกสีทองคู่งามผสานควบรวมเรียบร้อยแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงความร้อนรุ่ม 2 จุดกลางหลังเขา! ทว่าความร้อนทั้ง 2 จุดเพียงดำรงอยู่แค่ 2 เค่อก่อนที่จะหายไป..

“เอาล่ะ ปีกผสานเข้าร่างกลายเป็นหนึ่งในขุมพลังของเจ้าแล้ว…ตอนนี้เจ้าทะลวงด่านพลังต่อได้”

เสียงกล่าวเตือนของผู้เฒ่าหั่วก็ดังขึ้นพอดี

ได้ยินเช่นนั้น ต้วนหลิงเทียนก็สงบสติอารมณ์ ก่อนที่จะกระตุ้นปราณสุริยันแรกกำเนิดในร่างให้ทะลวงด่านพลัง

ก่อนหน้านี้เขาได้แตะปากประตูของด่านพลังเซียนขัดเกลาแล้ว เรียกว่าพร้อมทะลวงด่านพัฒนาพลังได้ทุกเวลา ทว่าเป็นเพราะผู้เฒ่าหั่วรั้งเอาไว้เลยหยุดลงชั่วคราว..

คราวนี้พอคิดทะลวงด่านยกระดับพลัง จึงเป็นอะไรที่ราบรื่นและง่ายดายนัก

ทั่นใดนั้นคลื่นพลังขุมหนึ่งพลันระเบิดออกจากร่างต้วนหลิงเทียน ก่อเกิดคลื่นอากาศซัดออกไปทุกทิศทาง ปราณสุริยันแรกกำเนิดในร่างของต้วนหลิงเทียนบังเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่!

ส่วนหนีหว่านกงนั้นยังคงดูมีขนาดเท่าเดิม…แทบไม่มีอะไรแตกต่างจากเดิมสักนิด

ทว่าปราณสุริยันแรกกำเนิดที่บรรจุอยู่ภายในนั้น กลับพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปครั้งใหญ่ พวกมันคล้ายจะมีสีทองที่เข้มข้นทั้งสวยงามมากขึ้นหากเทียบกับปราณสุริยันแรกกำเนิดก่อนหน้าที่ยังไม่พัฒนา!

“ทะลวงแล้ว!”

ต้วนหลิงเทียนกำหมัดแน่นทันใด รอยยิ้มพลันคลี่กางบนใบหน้า

ถึงแม้เขาจะพึ่งทะลวงมาถึงเซียนขัดเกลาขั้นต้น ทว่าด้วยความพิเศษของปราณสุริยันแรกกำเนิด ตอนนี้ทำให้พลังอำนาจของมันทัดเทียมกับปราณแรกกำเนิดของตัวตนด่านพลังอริยะเซียนขั้นต้น!

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ด้วยปราณสุริยันแรกกำเนิด ทั้งความแข็งแกร่งของร่างกาย เขาไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่นิลสวรรค์ ก็สามารถเอาชนะอริยะเซียนขั้นต้นได้อย่างง่ายดาย!

ส่วนตัวตนที่มีพลังฝึกปรือต่ำกว่าอริยะเซียน ตอนนี้ไม่แม้แต่จะอยู่ในสายตาของเขาอีกต่อไป

“ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว…ได้เวลาออกไปซะที”

ทันทีที่คิด ร่างต้วนหลิงเทียนก็โดดลอยออกมาจากก้นสระวิญญาณที่ว่างเปล่า…

ตอนนี้เรียกว่าพลังวิญญาณฟ้าดินเหลว ไม่เหลือให้เห็นแม้แต่หยดเดียว ทั้งหมดถูกต้วนหลงเทียนดูดซับไปจนเกลี้ยง!

“ท่านผู้อาวุโส นี่ข้าบ่มเพาะพลังไปนานเท่าไหร่แล้วหรอ?”

หลังจากที่กลับออกมานอกสระ ต้วนหลิงเทียนก็มองถามผู้อาวุโสชราแขนเดียวที่เฝ้าสระวิญญาณทันที