บทที่380 เขาสมควรได้รับ
เพราะก่อนหน้านี้บริษัทเจียงซื่อจะเล่นงานลี่จุนถิง ถือได้ว่าเจอเรื่องครั้งแล้วครั้งเล่า บริษัทเลยลุ่มดอนๆ
ในช่วงนี้ เกือบทุกๆ วัน เจียงเย่เฉิงมีแต่ท่าทีตึงเครียดและกังวลอยู่ตลอดเวลา
เมื่อบริษัทเจียงซื่อกรุ๊ปมาอยู่ในมือเขา หรือจะถูกทำลายไปทั้งแบบนี้เลยเหรอ?
เจียงเย่เฉิงไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่อีกด้านก็รู้สึกผิดกับพ่อแม่ของตัวเองมากเช่นเดียวกัน
ฟู้ชูเหม่ยเองก็ไม่ได้มีชีวิตที่ดีในช่วงเหมือนกัน เธอมองออก ว่าสถานการณ์ของบริษัทไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แต่ละวันผ่านไปอย่างลุ่มๆ ดอนๆ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อหน้าเจียงเย่เฉิงมาก เพราะกลัวจะไปจี้ใจดำของเขา
แต่ถึงอย่างไรเธอก็ต้องวางแผนสำหรับอนาคตไว้ให้ตัวเองเหมือนกัน ถ้าเกิดว่าบริษัทเจียงซื่อพังทลายไปจริงๆ เธอก็ไม่อยากมาลำบากกับเจียงเย่เฉิงเหมือนกัน!
วันนี้ ในที่สุดฟู้ชูเหม่ยก็อดไม่ได้ที่จะพูดความคิดที่ผุดขึ้นมาของตัวเอง เลยถามเจียงเย่เฉิงหลังจากที่เขากลับมา: “เจียงเย่เฉิง ตอนนี้สถานการณ์ที่บริษัทเป็นอย่างไรบ้างงั้นเหรอ?”
เจียงเย่เฉิงกลับไม่เข้าใจความคิดของฟู้ชูเหม่ยเท่าไหร่ แต่ว่าวันนี้อารมณ์ของเขาไม่แย่มาก เลยรีบตอบคำถามของฟู้ชูเหม่ยไป
“เพิ่งจะปรับฐานการเงินน่ะ เดี๋ยวน่าจะดีขึ้นในไม่ช้า”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าของเจียงเย่เฉิงก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา เขาไม่ได้ผ่อนคลายขนาดนี้มานานแล้ว
ว่ากันว่าย่อมมีฟ้าหลังฝนเกิดขึ้นเสมอ ถ้าผ่านเรื่องในครั้งนี้ไปได้ จากนี้คงจะไม่มีอะไรยากลำบากแล้วใช่ไหมล่ะ?
เมื่อได้ยินดังนั้น ฟู้ชูเหม่ยก็วางใจลงได้เล็กน้อย ถึงแม้ว่าบางทีเธอก็มั่นใจว่าเจียงเย่เฉิงนั้นไม่มีเงินเท่าไหร่ แต่ไม่พูดไม่ได้เลยว่า ตอนนี้เจียงเย่เฉิงก็เป็นเพียงที่เพิ่งเดียวของเธอ
ตอนนี้เจียงหนิงเอ๋อยังอยู่ในคุก และไม่รู้ว่าจะได้ออกมาเมื่อไหร่……
คนเดียวที่ฟู้ชูเหม่ยจะพึ่งได้ ก็มีแต่เจียงเย่เฉิงแล้วไม่ใช่เหรอ?
ในสถานการณ์แบบนี้ ถึงเจียงหนิงเอ๋อจะอยู่ข้างๆ ตัวเอง ทั้งสองคนก็ยังเป็นคู่ที่อ่อนแออยู่ดี แล้วไม่รู้ว่าจะต่อสู้ไปได้อีกนานแค่ไหน
ในสายตาฟู้ชูเหม่ย กลัวว่ามันจะไม่ไหวแล้วล่ะ
แต่ว่า เจียงเย่เฉิงก็ไม่ได้ทระนงตนมาก เพราะว่าวันที่สองที่เขาไปบริษัทนั้น ก็เห็นว่าเหล่าผู้บริหารอยากจะเอาเขาออกจากตำแหน่งให้ได้
เจียงเย่เฉิงอึ้งไป ถึงเขาจะทำเพื่อให้ตัวเองมีที่ยืน แต่ว่าทั้งหมดนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไร สุดท้ายก็โดนไล่ออกจากตำแหน่งของตัวเอง
ตอนแรกที่เจียงเย่เฉิงคิดว่าจะข้ามผ่านมันไปได้ แต่มาวันนี้ถึงได้เข้าใจ ที่แท้ความลำบากทั้งหมดมันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้นเอง
จิตใจของเจียงเย่เฉิงทั้งหมด เอาแต่จับจ้องไปที่โทรทัศน์ที่กำลังรายงานข่าวอยู่
เสียงของผู้หญิงในโทรทัศน์รายงานสิ่งที่เจียงเย่เฉิงทำด้วยน้ำเสียงเย็นชา โดยที่ไม่มีความเห็นใจเลยแม้แต่น้อย
ซูม่านลีกับเจียงหยุนเอ๋อที่ยืนดูโทรทัศน์อยู่นั้น ก็มีความรู้สึกไม่ต่างกัน
ในใจของซูม่านลีเองก็เห็นใจอยู่บ้าง ตอนแรกที่ตัวเองแต่งงานกับเจียงเย่เฉิงนั้น ก็คิดว่าจะมีวันเวลาที่มีความสุข คิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากนั้น เจียงเย่เฉิงจะเอาเมียน้อยเข้ามาในบ้านแบบนั้น โดยที่ไม่ได้สนใจเธอ
สุดท้าย……ได้แต่มองตัวเองป่วยหนักอย่างไม่ช่วยเหลืออะไรเลย
ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะเจียงหยุนเอ๋อมาได้ทันเวลา ไม่แน่ว่าตัวเองอาจจะกลายเป็นวิญญาณไปแล้วก็ได้
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ซูม่านลีก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ หว่างคิ้วก็มีความไม่สบอารมณ์อยู่เล็กน้อย
เจียงหยุนเอ๋อมองเธอด้วยความแปลกใจ เพราะคิดว่าเธอกำลังสงสารเจียงเย่เฉิง
“แม่ ตอนนี้เจียงเย่เฉิงได้รับกรรมแล้ว คุณอย่าใจอ่อนนะ”
ซูม่านลียิ้มพลางเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะพูดขึ้นว่า: “แม่ไม่ได้คิดแบบนั้นเลย สิ่งที่เขาทำ ฉันยังลืมออกไปไม่ได้เลย ตอนนี้เขาไร้ทางไป มันเป็นสิ่งที่เขาควรได้รับ”
เมื่อเห็นแม่ของตัวเองไม่เหลือความอาลัยอาวรณ์ให้กับผู้ชายคนนั้นแล้ว เจียงหยุนเอ๋อก็แอบถอนหายใจเบาๆ
ข่าวจบลงไปอย่างรวดเร็ว เจียงหยุนเอ๋อเองก็ไม่ได้ดูข่าวต่อไปแล้ว
เรื่องของๆ คนคนนั้น เธอนั้นไม่อยากจะยุ่งด้วย และไม่อยากจะเข้าใจอะไรด้วย
……
เรื่องของการลดราคานั้นก็แย่ลงเรื่อยๆ ในช่วงนี้
เจียงหนิงเอ๋อเองก็ยังอยู่ในคุก และไม่รู้ว่าจะได้ออกมาเมื่อไหร่ แต่เจียงเย่เฉิงที่ถูกไล่ออกจากตำแหน่งนั้น มีช่วงเวลาที่ยากลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่ได้รับสายทวงหนี้ทุกวัย แต่ฟู้ชูเหม่ยก็เริ่มเย็นชากับเขาแล้วด้วย
ในวันที่หดหู่ ฟู้ชูเหม่ยไม่อยากจะอยู่ข้างกายเจียงเย่เฉิงอีกต่อไปแล้ว
“เจียงเย่เฉิง ทำไมก่อนหน้านี้ฉันไม่รู้เลย ว่าคุณติดเงินมากมายขนาดนี้?” เมื่อเห็นเจียงเย่เฉิงได้รับสายที่โทรมาทวงหนี้ทุกวันๆ ฟู้ชูเหม่ยก็ถามด้วยความแปลกใจ
เจียงเย่เฉิงวางสายจากนั้นก็ถอนหายใจ เขาดูเหนื่อยอ่อนไร้เรี่ยวแรงไปทั้งตัวเลยล่ะ
“จะไม่ใช่เพราะเรื่องของบริษัทได้อย่างไรล่ะ เพราะว่าก่อนหน้านี้ขาดทุนเป็นอย่างมาก เลยต้องขายสมบัติมาใช้หนี้ก่อน แต่ก็ยังติดหนี้อยู่ไม่น้อย ฉันเองก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ของบริษัทมันจะดีขึ้นยากขนาดนี้ แถมยังมีคนคิดร้ายเยอะขนาดนี้ด้วย”
เมื่อได้ยินดังนั้น อารมณ์ของฟู้ชูเหม่ยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่ดีขึ้นมา
ถ้าเกิดว่ากันตามที่เจียงเย่เฉิงพูด งั้นต่อจากนี้ชีวิตของพวกเขาก็คงจะแย่เหมือนกันงั้นสิ?
“ไม่ได้นะ คุณเสียสละไปเพื่อบริษัทตั้งมากมาย พวกเขามาไล่คุณออกได้อย่างไร?” ฟู้ชูเหม่ยพูดด้วยความร้อนใจเป็นอย่างมาก
ดูผิวเผิน เหมือนจะไม่ยุติธรรมกับเจียงเย่เฉิง แต่อันที่จริงสำหรับเธอ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือสิ่งที่ตัวเองจะได้ แต่ในวันนี้ผลประโยชน์ของเธอดันไปถูกอยู่กับเจียงเย่เฉิง
ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน จู่ๆ เจียงเย่เฉิงก็เปิดปากพูดออกมาว่าให้ฟู้ชูเหม่ยเก็บของเพื่อย้ายบ้าน
“ย้ายบ้านงั้นเหรอ?ย้ายทำไม?” ฟู้ชูเหม่ยเบิกโพลง พลางมองเจียงเย่เฉิงด้วยความแปลกใจ
หลังจากที่เจียงเย่เฉิงถูกไล่ออก พวกเขาก็ไม่มีรายได้เลย ฟู้ชูเหม่ยยังคิดอยู่ว่าจากนี้จะมีชีวิตอย่างไร แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจู่ๆ เจียงเย่เฉิงจะพูดเรื่องย้ายบ้านขึ้นมาในตอนนี้
หรือว่า……พวกเขาไม่เหลือแม้แต่ที่ซุกหัวนอนแล้ว?
“ทำอะไรไม่ได้ บ้านนี้ถูกเอาไปจำนำแล้ว พวกเราเปลี่ยนไปอยู่ที่อื่นเถอะ”
ฟู้ชูเหม่ยมองเจียงเย่เฉิงด้วยความไม่พอใจ พลางพูดอย่างโกรธเคือง: “เจียงเย่เฉิง คุณหมายความว่าอย่างไรกันแน่?เรื่องนี้คุณไม่เคยมาปรึกษาฉันเลยงั้นเหรอ?”
ตอนแรกเจียงเย่เฉิงยังไม่สบอารมณ์อยู่ ตอนนี้ฟู้ชูเหม่ยยังจะมาบ่นกับเขาอีก สีหน้าของเขาก็ยิ่งดูไม่ดีเท่าไหร่ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงไม่ดี: “คุณคิดว่าฉันอยากให้เป็นแบบนี้เหรอ?แค่ตอนนี้มันทำอะไรไม่ได้แล้วไงล่ะ”
พูดจบ เจียงเย่เฉิงก็เดินผ่านฟู้ชูเหม่ยไป แล้วตัวเองก็กลับมาเริ่มเก็บของที่ห้อง
เมื่อมองเงาของเจียงเย่เฉิง ฟู้ชูเหม่ยก็รู้ ว่าตอนนี้ความเอาแต่ใจของตัวเองมันใช้ไม่ได้ผล เลยได้แต่เดินตามเข้าไปในห้อง
หลังจากที่ทั้งสองคนเก็บข้างของเสร็จ ก็ไปที่บ้านที่ห่างออกไปจากตัวเมือง