บทที่ 379 : สองคนนั้นมาไม่ได้หรอกครับ
บทที่ 379 : สองคนนั้นมาไม่ได้หรอกครับ
วินสตันตื่นขึ้นได้จากคลื่นกระแทกของการระเบิดครั้งสุดท้าย
เขาไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในสถานะโคม่านานแค่ไหนแล้ว ไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหนในสนามรบ
เรื่องโชคดีเรื่องเดียวก็คือ เมื่อลืมตาขึ้น เขาก็พบว่าแคโรไลน์อยู่ห่างจากเขาเพียงนิดหน่อย
ดูเหมือนว่าก่อนที่เขาจะหมดสติไป เขายังไม่ลืมที่จะปกป้องหัวหน้าหน่วยโลจิสติกส์ผู้อ่อนแอกว่าคนนี้ท่ามกลางความชุลมุน
แคโรไลน์ตื่นขึ้นก่อนเขา เธอยืน ‘มอง’ สนามรบอยู่ข้าง ๆ เขาด้วยดวงตาที่หลับลง คิ้วขมวดเข้าหากัน
“แค่ก ๆ…ถุย!”
วินสตันกระอักเลือดแล้วยืนขึ้น ปัดฝุ่นบนหัวของเขา
เพราะอีเธอร์ในร่างของเขาใช้ป้องกันคลื่นกระแทกไปหมดแล้ว ดังนั้นจึงไม่สามารถรักษาบาดแผลเองได้ จึงทำได้เพียงต้องใช้ผ้าพันแผลเปื้อนเลือดที่หาได้จากช่องเก็บของบนชุดเกราะมาพันต้นแขนไว้ก่อนเพื่อห้ามเลือด
หลังพันแผลเสร็จ วินสตันก็เมินความเจ็บปวดบนร่างกาย เดินไปหาแคโรไลน์
เขามองตามสายตาอีกฝ่าย เขม่าควันรอบ ๆ ตัวเต็มไปด้วยฝุ่นผง รอบข้างเงียบเสียจนได้ยินเพียงเสียงลมเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าแคโรไลน์สัมผัสได้ว่าตัวเองเดินเข้ามาหา เธอพูดว่า “ฉันกำลังพยายามหาข้อมูลที่เกี่ยวกับโจเซฟอยู่…”
วินสตันผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบโพล่งอย่างกระวนกระวาย “เป็นอย่างไรบ้าง คุณเจอมันไหม?”
แคโรไลน์ขมวดคิ้วแน่นขึ้นกว่าเก่าพลางส่ายหน้า “ไม่เลย…”
เธอเพิ่งพูดไปครึ่งเดียวขณะที่จู่ ๆ ก็โอดครวญ เลือดทะลักออกมาจากตาอีกครั้ง
โชคดีที่วินสตันประคองเธอไว้ ไม่เช่นนั้นเธอคงได้ล้มลงไปกองกับพื้นแล้ว
อารมณ์ร้อนใจของวินสตันเปลี่ยนผัน ตระหนักได้ว่าการทำเช่นนั้นมีอันตรายขนาดไหนในสภาพแวดล้อมที่อัดแน่นด้วยอีเธอร์จากสงครามระดับเหนือนภา
เขาถอนหายใจ “…อย่าฝืนตัวเองเกินไปนะครับ”
“ฉันเป็นคนเดียวที่มีความสามารถตรวจจับ ถ้าไม่ฝืน ฉันจะให้ฝืนคุณได้เหรอคะ?” แคโรไลน์ที่เลือดยังคงทะลักจากตาแตะกระเป๋าเสื้อของเธอ อยากจะล้วงบุหรี่ออกมาอย่างไม่รู้ตัว แต่สุดท้ายก็หยิบเจอแต่เศษซองบุหรี่ยับ ๆ
ทั้งสองพบสถานที่ราบเรียบที่สูงพอจะนั่งลงมอง ‘ทิวทัศน์’ ที่ปกคลุมด้วยหมอกควันไกลออกไป
ศึกระดับเหนือนภาจบลงในที่สุด…!
สุดท้ายแล้ว พวกเขาทั้งสองเปลี่ยนเป็นบอลแสงสีขาวและดำ สาดแสงสว่างและความมืดออกมากลืนกินทุกสิ่ง จากนั้นก็ปะทะกันอย่างไม่ลังเล เชื่อว่าต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายแน่ ๆ
ใจกลางสนามรบในตอนนี้เปลี่ยนเป็นหลุมขนาดยักษ์ไปแล้ว และสิ่งปลูกสร้างรอบ ๆ ก็ถูกป่นเป็นผงไปเรียบร้อย สภาพหลังสงครามจึงเต็มไปด้วยฝุ่นผงสีดำเหมือนทะเลทรายที่ถูกฉาบด้วยแนวคิดแห่งความตาย
เพราะสองคนนี้ ไม่สิ ต้องพูดว่าเพราะการระเบิดตัวของระดับเหนือนภาสามคน ตอนนี้สนามรบทั้งสนามจึงเต็มไปด้วยอีเธอร์ที่รุนแรงเหมือนมลพิษ
ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติทั่วไปจะหูอื้อและอาเจียนได้แม้แค่เฉียดกรายเข้าใกล้ ไม่สามารถเข้ามาใกล้มากกว่านี้ได้ แต่หากแทนที่ด้วยคนธรรมดา พวกเขาจะร่างบิดเบี้ยวทันทีแน่นอน
นอกเหนือจากนั้นยังมีพลังส่วนเกินหลงเหลืออยู่อีกมาก กฎเกณฑ์ที่พังทลายไร้เจ้าของจะส่งผลต่อทุกอย่าง คนที่นี่จะถูกเผาไหม้อย่างอธิบายไม่ได้ เวลาจะแปรปรวน คนแก่ตายอย่างไร้สัญญาณเตือน หรือจู่ ๆ ก็หลุดเข้าไปในแดนนิมิต…
วินสตันคาดว่ารัศมีสองถึงสามพันเมตรนับจากซอยหกสิบเจ็ด จะกลายเป็นเขตปลอดชีวิตแห่งใหม่ไปอีกนาน
“บ้าจริง…” วินสตันทึ้งผมอย่างหัวเสียพลางสบถเสียงต่ำ “ในสถานการณ์แบบนี้ หอพิธีกรรมต้องห้ามส่วนใหญ่คงคิดว่าโจเซฟตายไปแล้ว และจะไม่ส่งใครไปตายเพิ่มแน่ เพื่อลดจำนวนผู้บาดเจ็บล้มตาย พวกเขาจะปิดพื้นที่ตรงนี้ไว้ก่อน”
“ถึงจะหาไม่เจอ แต่ฉันยังรู้สึกได้ว่าโจเซฟน่าจะยังมีชีวิตอยู่…” แคโรไลน์กล่าว ยังใช้สายตาของเธอกวาดมองสนามรบอยู่
“เขาจะต้องยังมีชีวิตอยู่แน่ ๆ!” วินสตันกัดฟันกรอด ความทรงจำเกี่ยวกับเพื่อนเก่าคนนี้แล่นเข้ามาสู่โสตประสาท…ฉันนี่มันสวะไร้ค่าแท้ ๆ ได้ช่วยอะไรโจเซฟมาบ้างไหมเนี่ย?
ความเสียใจและเจ็บปวดโอบกอดเขาไว้ หัวใจเหมือนถูกมีดเสียบบิดลึกเข้าไป แทบอยากถูกฝังไปพร้อมกับโจเซฟ
การมองเมลิสซ่าหายตัวไปต่อหน้าทำให้วินสตันรู้สึกเสียใจ แล้วตอนนี้ชายหนุ่มก็ทำอะไรไม่ได้ในการหาร่องรอยของโจเซฟ ความรู้สึกของเขาแทบไม่ต่างอะไรกับการทรยศเพื่อน
“ฉันยังยอมแพ้ไม่ได้” วินสตันเงยหน้าขึ้นกระซิบ “ยังมีคน ๆ หนึ่งที่ช่วยโจเซฟได้”
“เจ้าของร้านหลินเหรอ?” แคโรไลน์นิ่งไป “แต่ว่า…”
“ไม่หรอก เจ้าของร้านหลินช่วยชีวิตโจเซฟมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้เราก็ทำได้แค่พึ่งตัวเองในการลากโจเซฟกลับออกมาจากนรก”
วินสตันสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวว่า
“แอนดรูว์ต่างหาก”
เมื่อแคโรไลน์ได้ยินตัวเลือกของวินสตัน เธอก็เงียบไปครู่หนึ่ง
“เขาเองก็เป็นหนึ่งในลิ่วล้อของเจ้าของร้านหนังสือ ในเมื่อเจ้าของร้านหลินเข้ามาแทรกแซง มันหมายความว่าโจเซฟจะต้องยังไม่ตาย ตอนนี้มีแค่สมาคมแห่งสัจธรรมเท่านั้นที่สามารถเข้าออกสนามรบโดยอิสระได้”
“นี่คือความหวังเดียวของเรา” วินสตันมองขึ้นไปบนสนามรบที่กฎเกณฑ์ยุ่งเหยิง พลังกระจัดกระจายราวปากของสัตว์ประหลาด
อุปกรณ์สื่อสารของเขาถูกทำลายไปแล้ว เขาจึงต้องหาอุปกรณ์ที่ยังใช้งานได้ใกล้ ๆ ตัวแล้วกดหมายเลขของแอนดรูว์
—
หลินเจี๋ยวางนาฬิกาลงบนมือของจี้จือซู่ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยการให้กำลังใจ “ที่จริงแล้วมันน่ารักออกจะตายครับ คุณเองก็ลองจับมันได้นะ”
จี้จือซู่ตัวสั่นเล็กน้อยขณะรับนาฬิกาเรือนน้อยที่สร้างขึ้นอย่างประณีตบรรจง แล้วยิ้มฝืน ๆ “จริงด้วยค่ะ ไม่น่ากลัวเลย คุณพูดถูก ฉันจะไม่กลัวมันแล้ว…”
ว่าไปนั่น แต่เธอไม่กล้าวางมือของเธอลงบนเจ้าหนอนนี่แม้แต่น้อย
ถ้าความแข็งแกร่งของเธอไม่พอจะปลุกความสามารถควบคุมมิติเวลาของมันก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าเธอบังเอิญไปเขี่ยเวลาให้ขยับไปมาสักสองสามทีแล้วไปเปลี่ยนอะไรสำคัญเข้า เธอก็คงเป็นคนบาปจริง ๆ
เธอมองมือที่กำลังต่อต้านแล้วสูดหายใจลึก ๆ “ขอโทษค่ะ ให้คุณเห็นด้านที่น่าอายเข้าแล้ว…”
“ฮะ ๆ” หลินเจี๋ยโบกมือกล่าวยิ้ม ๆ “ทุกคนต่างมีบางอย่างที่กลัวทั้งนั้นครับ จะขอโทษเพราะเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?”
“กุญแจก็คือ คนเราต้องก้าวข้ามความกลัวของตัวเอง สิ่งที่กลัว บ่อยครั้งคือความกลัวแบบคิดไปเอง ยิ่งคุณกลัว คุณก็ยิ่งต้องเผชิญหน้ามันตรง ๆ เพื่อที่คุณจะได้มีโอกาสเติบโต รวบรวมความกล้าลองเผชิญหน้าให้มากขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้จะดีเสมอครับ”
“ค่ะ” จี้จือซู่พยักหน้าเร็ว ๆ
เหตุผลหลักที่หลินเจี๋ยออกมาก็คือเพื่อรอเกร็กและมอบของขวัญ ในตอนนี้เขาที่ว่างอยู่จึงลดศีรษะลงมองไปเบื้องล่างจากชั้นสองของอาคาร
แม้ว่าจะเกิดแผ่นดินไหวใหญ่เจ็ดถึงแปดริกเตอร์ คฤหาสน์ A16 ยังคงรักษาสภาพตัวเองไว้ได้ สำหรับตระกูลจี้ มันก็แค่โคมไฟระย้าหรือจานที่ตกแตกไม่กี่ใบ ไม่มีอะไรน่ากังวลเลย
หลินเจี๋ยอดไม่ได้ที่จะคิดว่าด้วยแผ่นดินไหวระดับนี้ คนรวยยังคงอยู่ปลอดภัยราวขุนเขา ไม่เหมือนร้านหนังสือเล็ก ๆ ที่โดนทั้งลมทั้งพายุเลย
หลินเจี๋ยปวดใจ…
จี้จือซู่รอที่ด้านข้างอย่างเงียบ ๆ มองใบหน้าด้านข้างของหลินเจี๋ย เจ้าของร้านหนังสือตกสู่ความเงียบ สีหน้าของเขาไม่เรื่อยเปื่อยลอยชายอีกต่อไป แต่เป็นสีหน้าจริงจัง ดวงตาของเขาสะท้อนภาพผู้คนที่ชั้นล่างที่แตกตื่นจากแผ่นดินไหว ราวกับมองมดที่รังถูกไฟไหม้ ทุกสิ่งอย่างเหมือนเป็นเพียงสิ่งเล็กจ้อยในสายตาของเขา และเขาก็เป็นเพียงผู้ชมเพียงผู้เดียว
จี้จือซู่มองลงไปที่หนอนเฟืองนาฬิกาในมือ นิ้วออกแรงจับมันไว้แน่น… นี่เป็นแค่ละครเวทีที่เจ้าของร้านหลินกำกับเท่านั้น…
เธอเองก็อยากเป็นตัวเอกเหมือนกัน
คุณหนูจี้สูดหายใจลึก เธอต้องไม่กลัว ไม่อย่างนั้น แม้แต่ตัวหมากเธอก็จะไม่ได้เป็น
เหมือนโจเซฟกับไวลด์…
“ไม่รู้ว่าคุณไวลด์กับคุณโจเซฟเป็นอย่างไรบ้างแล้วนะคะตอนนี้…” จี้จือซู่พูดอย่างผิดหวังเล็กน้อย “สองคนนี้กับฉันต่างเป็นสหายอ่านหนังสือ ฉันอยากเชิญพวกเขามางานเลี้ยงวันเกิดนี้เหมือนกันค่ะ แต่น่าเสียดาย…”
ไอเดียดีแม่สาวน้อย
แต่ถ้าพวกเขาเจอกัน พวกเขาจะตีกันนี่ใช่ไหม?
ที่จริงแล้ว หลินเจี๋ยรู้สึกยินดีที่ได้ยินเช่นนั้น เพราะถึงอย่างไร จุดประสงค์การตั้งคาเฟ่หนังสือขึ้นมาของเขาก็คือเพื่อให้เหล่าลูกค้าสหายหนังสือได้ติดต่อสื่อสารกัน ต่างฝ่ายต่างผลักดันกันให้ร่ำเรียน และซื้อหนังสือให้มากขึ้นอีก
แต่ตอนนี้ที่โจเซฟกำลังปฏิบัติภารกิจ ไวลด์ก็คงทำวิจัยอยู่เหมือนเดิม ด้วยลักษณะนิสัยชอบปลีกวิเวกเดียวดายของเขา คงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้
“สองคนนั้นมาไม่ได้หรอกครับ” หลินเจี๋ยยักไหล่อธิบาย
หัวใจของจี้จือซู่บีบตัว “สองคนนั้นเกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”
“ไม่หรอกครับ สองคนนั้นจะเป็นอะไรไปได้ล่ะ…” หลินเจี๋ยครุ่นคิด ก่อนจะพูดเย้า “ผมคิดอยู่นะว่าคุณคิดไม่เข้าท่า ถ้าสองคนนี้เจอหน้ากัน พวกเขาสู้กันแน่ สุดท้ายพวกเขาก็จะแยกทางกันอย่างไม่มีความสุขเหมือนเดิม”
แยกทาง?
แยกทาง!
จี้จือซู่เบิกตาเล็กน้อย การที่คนจะแยกทางกันอย่างไม่มีความสุขได้ แน่นอนว่าต้องไปเจอกันก่อนจะแยกได้!
หรือเจ้าของร้านหลินจะหมายความว่า…สองคนนี้ยังมีชีวิตอยู่?