“เหอะ อาจจะอยากจับเถ้าแก่เฉียน รอข้าแต่งเข้าบ้านเถ้าแก่เฉียน อยากจะได้ประโยชน์อะไรของข้า ฝันไปเถอะ!”
โจวชิวเซียงเชิดคอขึ้น ยืดตัวตรงยังไม่เห็นเหมือนหน้าท้องตั้งครรภ์ มือก็ลูบไปที่ท้อง
มองดูหน้าท้องของนาง หลี่ซิ่วยิงก็มีความสุข “นี่อาจเป็นไข่ทองคำ เจ้าแต่งเข้าบ้านเถ้าแก่เฉียน ไม่ต้องกังวลเรื่องกินดื่มไปตลอดชีวิต ถึงเวลานั้นแล้วจะสนใจนางทำไม”
ใบหน้าโจวชิวเซียงไม่อาจซ่อนรอยยิ้มได้ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าอนาคตวันข้างหน้าตนเองจะดียิ่ง
ภายในบ้านพูดจบ โจวกุ้ยหลานถือตะกร้าออกมา ช้อนตาขึ้นไป ก็เห็นสองแม่ลูกยืนอยู่กลางโถงบ้าน
“ท่านป้า ทำไมท่านยืนอยู่ที่โถงบ้านล่ะ รีบเข้าไปในบ้านเถอะ ข้างนอกหนาวยิ่ง” ขณะโจวกุ้ยหลานพูด ก็ถือตะกร้าไว้ที่แขน เตรียมพร้อมออกไป
หลี่ซิ่วยิงตอบกลับด้วยรอยยิ้มทันทีว่า “แหมกุ้ยหลาน คุยกันจบแล้วรึ ไทไมไม่นั่งอีกสักหน่อย ข้าจะได้เอาน้ำร้อนมาให้เจ้าสักแก้ว”
“นางอยากดื่มไม่ให้นางไปเอาเองล่ะ” โจวชิวเซียงเชิดคอขึ้น มองโจวกุ้ยหลานด้วยความรังเกียจ แล้วกล่าวอย่างเย็นชา
“เจ้ายังจะพูดอีก!” จู่ ๆ โจวต้าซานก็เดินออกจากในบ้านมา
เสียงดังโกรธเคือง ทำให้โจวชิวเซียงตัวสั่น รีบหลบไปอยู่ด้านหลังหลี่ซิ่วยิง
โจวกุ้ยหลานดึงโจวต้าซานไว้ กล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ท่านลุงโกรธไปไย ที่ชิวเซียงพูดก็ไม่ผิด ข้าก็ไม่ได้เป็นแขก ช่างเถอะ ข้าต้องไปบ้านอาสะใภ้สาม พวกท่านพักผ่อนกันเถอะ”
กล่าวจบ นางก็เดินจากไป หลี่ซิ่วยิงรีบส่งสายตาให้ชิวเซียง รีบยิ้มส่งโจวกุ้ยหลานกลับไป
โจวกุ้ยหลานหันกลับไปมองลานบ้านของโจวต้าซาน เบะปาก แล้วเดินต่อไป
นางไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไมโจวชิวเซียงโง่เง่าขนาดนี้ ไม่คิดบ้างเถ้าแก่เฉียน อายุอานามก็มากแล้ว ลูกชายของเขายังโตกว่านางอีก ผ่านอีกไม่กี่ปี เถ้าแก่เฉียนจากไป สะใภ้ของลูกชายเขายังจะทนโจวชิวเซียงรึไร
นางโง่เง่าขนาดนี้ ยังไม่ถูกใครฆ่าตายอีก
แน่นอนว่า ไม่ว่าทางไหนก็เป็นหนทางสู่ความตาย นางยังจะภูมิใจอยู่อีกนะ
สงสารก็แต่ท่านลุงใหญ่ ยังต้องกังวลใจแทนนาง
คิดแล้ว ก็หันกลับไปมองอีกครั้ง จึงหันหลังกลับ แล้วเดินต่อไป
บ้านของจางเสี่ยวจุ๋ยตั้งอยู่ทิศตะวันออกของหมู่บ้าน เป็นบ้านหินที่แข็งแรงหลังหนึ่ง ปีนั้นโจวต้าซานและโจวเอ้อซานสร้างให้โจวเสี่ยวซาน ขนาดไม่ใหญ่นัก มีสองห้องนอน หนึ่งห้องโถงบ้านกับห้องครัว
ด้านนอกมีรั้วล้อมรอบลานบ้าน ขนาดไม่ใหญ่ แต่ก็พอให้ครอบครัวหนึ่งอยู่อาศัยได้ น่าเสียดาย โจวเสี่ยวซานแต่งงานไม่ถึงปีก็ตายจาก จางเสี่ยวจุ๋ยกลายเป็นม่าย บ้านเจ้าใหญ่และบ้านเจ้ารองก็ดูแลนางมาโดยตลอด
โจวกุ้ยหลานเดินไปถึงหน้าลานบ้าน มองประตูบ้านปิดอยู่ นางยืนอยู่ด้านนอกตะโกนเรียกคน ครู่เดียวจางเสี่ยวจุ๋ยก็ออกมา เปิดประตูให้นาง
“อ้าว กุ้ยหลานมาแล้วรึ”
“อาสะใภ้สาม ข้ามาอวยพรปีใหม่ท่าน” ขณะโจวกุ้ยหลานพูด ก็ยกตะกร้าส่งไปให้
จางเสี่ยวจุ๋ยหยักหน้าที่แต้มไปด้วยรอยยิ้ม ยื่นมือไปรับตะกร้าใบนั้นมา แล้วพาโจวกุ้ยหลานเข้ามาในบ้าน จากนั้นก็ปิดประตู
“มาก็มาแล้ว ยังจะเอาเนื้อมาทำไมเยอะแยะอีก” จางเสี่ยวจุ๋ยพูด แล้วพาโจวกุ้ยหลานเดินมา
“เริ่มใบไม้ผลิปีใหม่นี้ อยากให้อาสะใภ้สามได้กินของบำรุงบ้าง” โจวกุ้ยหลานตอบกลับยิ้ม ๆ มาหนึ่งประโยคแล้วถามนางต่อ “อาสะใภ้สามอยู่บ้านทั้งวันไม่อุดอู้หรือ”
รอยยิ้มบนใบหน้าจางเสี่ยวจุ๋ยค่อย ๆ หายไป ขมวดคิ้ว “เลือกได้ที่ไหนกัน ข้าเป็นแม่ม่ายออกไปข้างนอกจะดูไม่ดี ต้องถูกผู้คนติฉินนินทา อีกอย่าง ข้าจะต้องปักผ้าเช็ดหน้าอยู่บ้าน ไปขายในเมืองแลกเงินกินข้าว”
โจวกุ้ยหลานพยักหน้า “แต่ว่า อาสะใภ้สามใช้ชีวิตจืดชืดนัก ถ้างั้นให้ข้าจับสุนัขสักตัวมาเป็นเพื่อนให้ท่านไหม”
“ตัวข้าเองล้วนต้องพึ่งพาความช่วยเหลือแม่กับลุงใหญ่ของเจ้า เลี้ยงสุนัขได้ที่ไหนกัน” จางเสี่ยวจุ๋ยขมวดคิ้วแน่นขึ้นกว่าเดิม
ขณะทั้งสองพูดคุย ก็เดินเข้ามาถึงในบ้านแล้ว จางเสี่ยวจุ๋ยให้โจวกุ้ยหลานนั่งบนเตียงเตา ตัวเองก็เดินไปที่ห้องครัว
โจวกุ้ยหลานมองดูภายในบ้าน มีเพียงเตียงเตาหนึ่งหลัง โต๊ะหนึ่งตัว เก้าอี้หนึ่งตัว บนโต๊ะตัวนี้เต็มไปด้วยของไม่น้อย
นางลุกขึ้น เดินเข้าไป ไม่คิดว่าจะเห็นตลับชาดทาปากวางอยู่บนโต๊ะ
นางขมวดคิ้ว คิดถึงใบหน้าอมทุกข์ทั้งวันของจางเสี่ยวจุ๋ย ในใจก็เกิดความรู้สึกความอึดอัดที่ไม่สามารถพูดออกไปได้
หมู่บ้านแห่งนี้ล้วนมีแต่ชาวนา ไม่น่ามีใครผลัดแป้งบนหน้าตัวเอง อีกทั้งคนที่เป็นแม่ม่ายอย่างจางเสี่ยวจุ๋ย ยิ่งไม่น่าผลัดแป้ง…
“กุ้ยหลาน ที่นี่ข้าก็ไม่ได้มีของดีอะไร ข้าเอาน้ำหวานให้เจ้าละกัน เจ้ารีบดื่มเข้า!” เสียงของจางเสี่ยวจุ๋ยดังมาจากด้านหลัง
โจวกุ้ยหลานหันขวับ มองจางเสี่ยวจุ๋ยถือถ้วยเดินมาทางนาง
“ขอบคุณอาสะใภ้สาม” โจวกุ้ยหลานเดินยิ้มไป มือยื่นไปรับถ้วยน้ำหวา แล้วนั่งลงบนเตียงเตา
“อาสะใภ้สาม ท่านยังมีชาดทาปากอยู่หรือ”
ใบหน้าจางเสี่ยวจุ๋ยชะงักไปชั่วครู่ แล้วถอนหายใจ “มีหญิงใดไม่รักสวยรักงามบ้าง ข้าซื้อมาตอนแต่งงาน ก็ได้แต่วางไว้ตลอด ข้าเป็นแม่ม่ายไม่อาจใช้มัน วัน ๆ ได้แต่มองดู ให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นบ้าง”
ขณะพูด หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดตาตัวเอง
โจวกุ้ยหลานมองดูแล้วในใจก็รู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย ความอ่อนแอแบบนี้ ทำให้กายนางรู้สึกไม่สบายยิ่ง
นางเงยหน้าดื่มน้ำหนาวอึกหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “อาสะใภ้สามอย่าเสียใจเลย ท่านอาสามของข้าก็ตายไปสิบกว่าปีแล้ว ท่านก็ให้ตัวเองใช้ชีวิตดี ๆ บ้าง ไม่งั้นท่านจะแต่งงานใหม่ หรือท่านอยากรับเด็กมาเลี้ยงสักคน ที่หมู่บ้านยังมีเด็กดี ๆ ที่ไม่มีใครดูแลอีกหลายคนเลย”
“ที่เจ้าพูดก็ใช่ วันข้างหน้าข้าไม่มีใครฝากผีฝากไข้ได้ แก่แล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ทุกวันนี้ของที่ข้ากินที่ข้าดื่มล้วนได้แม่และลุงใหญ่ของเจ้าให้มา ข้าไหนจะกล้าคิดเลี้ยงเด็กสักคน ให้พวกเขาช่วยเลี้ยงดูเฉย ๆ รึ”
ขณะจางเสี่ยวจุ๋ยพูด ตาก็เริ่มแดงอีกครั้ง
โจวกุ้ยหลานถอดหายใจ “ถ้ารู้แต่แรก ข้าคงไม่ขายหลิวเซียงออกไป ถ้าให้นางกับท่าน จะได้ช่วยท่านทำงาน และดูแลท่านได้ แก่แล้วก็ไม่กลัว”
ได้ยินชื่อหลิวเซียง ตาจางเสี่ยวจุ๋ยฉายแววสว่างวาบ กลัวถูกโจวกุ้ยหลานมองออก รีบก้มหัวลงต่ำ “จิตใจของนางนั้นล้ำลึก ข้ากลัวว่าจะดูแลนางไม่ไหว ขายไปก็ดีแล้ว เก็บไว้มีแต่จะยุ่งยาก จริงสิ นางถูกขายไปที่ไหนหรือ”
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ข้าขายให้แม่เล้าไป แต่ดูจากความโหดเหี้ยมของแม่เล้า แน่นอนว่าที่ไหนได้เงินเยอะคงจะขายไปที่นั่นแหละ”
ขณะโจวกุ้ยหลานพูดไปเรื่อย ก็เหลือบตาผ่านตัวจางเสี่ยวจุ๋ย
“อย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับพวกเรา แต่ว่านะ ข้าก็ยังคิดไม่ออกว่า ชิวเซียงกลับมาก็ไม่ได้ไปบ้านข้า นางไปสมคบคิดกับหลิวเซียงได้อย่างไร”
ในใจจางเสี่ยวจุ๋ยเคร่งเครียด เงยหน้าขึ้นมา หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดจมูกตนเอง แล้วถามเหมือนไม่ใส่ใจว่า “เจ้าไม่ถามหลิวเซียงรึ”
“วันนั้นข้าถูกทำให้โมโหมาก ไหนเลยจะถึงไปถึงตรงนั้น ยังไม่วันถัดไปข้าก็ขายนางไปแล้ว ยังไม่ทันได้ถาม มาคราวหลัง ข้ายิ่งครุ่นคิดยิ่งว่าผิดปกติ…”
ใจจางเสี่ยวจุ๋ยลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก “ชิวเซียงไม่รู้เรื่องรู้ราว เจ้าเป็นลูกพี่ลูกน้องของนาง นางคิดทำเรื่องอย่างนั้นได้อย่างไร”