บทที่ 233 เจ้าใส่แล้วไม่ดูดี

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา

โจวกุ้ยหลานมองจางเสี่ยวจุ๋ยอย่างประหลาดใจ “อาสะใภ้สาม ช่วงนี้ท่านไม่ใช่ว่าไม่ได้ออกไปไหนหรือ แล้วรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร”

“วันนี้วันปีใหม่ข้าได้ยินตอนไปอวยพรปีใหม่บ้านลุงใหญ่เจ้า ข้าก็อะไรไม่ได้มาก ไม่งั้นนะ ข้าจะด่าชิวเซียงสักรอบ” จางเสี่ยวจุ๋ยตอบกลับอย่างสงบนิ่ง

“ที่แท้เป็นเช่นนี้…” โจวกุ้ยหลานก็เข้าใจ

หลังจากคุยเรื่องสัพเพเหระกับจางเสี่ยวจุ๋ยไปสองสามประโยค ก็ถามจางเสี่ยวจุ๋ยว่าต้องการกลับบ้านกับนางไปกินข้าวด้วยกันไหม จางเสี่ยวจุ๋ยปฏิเสธไม่ไป โจวกุ้ยหลานก็ไม่อยากนั่งอยู่นาน กล่าวลาแล้วก็รีบจากไป

รอนางจากไป จางเสี่ยวจุ๋ยรีบกลับเข้าบ้านตนเอง หยิบตลับชาดทาปากวางเข้าไปในตู้

โจวกุ้ยหลานถือตะกร้ากลับบ้านเหล่าไท่ไท่ กินข้าวเที่ยงกับครอบครัว

หลังจากนางนั่งลง เห็นสวีฉางหลินอุ้มเจ้าก้อนน้อยมานั่งข้างนาง นางยื่นมือไปอุ้มเจ้าก้อนน้อยมา มองไปรอบ ๆ ก็ยังไม่เห็นซุนโก่วต้าน

“พี่สาวใหญ่ ทำไมไม่เห็นพี่เขยใหญ่”

สีหน้าโจวคายจือไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย ใบหน้าฝืนยิ้ม ตอบว่า “เขากลับไปเองแล้ว”

กลับไปเองแล้ว? ภรรยากับลูกยังอยู่ที่นี่อยู่เลยนะ

“คงจะรีบกลับไปปรนนิบัติพ่อแม่เขานั่นแหละ!” เหล่าไท่ไท่ตอบกลับมาอย่างไม่พอใจ

“ท่านแม่ ท่านกินเนื้อให้เยอะหน่อย” โจวต้าไห่รีบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งให้เหล่าไท่ไท่ กลัวว่าเหล่าไท่ไท่จะพูดให้โจวคายจือทุกข์ใจอีก

หมายความว่าพี่สาวใหญ่เลยไม่คิดจะกลับไปแล้วหรือ?

“เฮ้อ พี่เขยใหญ่ไม่ใช่รู้กตัญญูรึไง เลยไม่ให้ความสำคัญกับลูกและภรรยาตัวเอง ข้าว่านะ พี่สาวใหญ่ต้องจัดการเขาสักรอบ ให้เขาเชื่อฟัง ถ้าตอนนี้เขากับเจ้าเป็นเพียงครอบครัวเล็ก ไหนเลยจะต้องอยู่ไม่ไกลกับพ่อแม่เขากัน” ขณะโจวซ่านเย่พูด ก็คีบเท้าหมูชิ้นหนึ่งให้ตัวเอง

ที่บ้านท่านแม่นี่ดีจริง ๆ ! อยู่บ้านไม่กี่วัน วัน ๆ ไม่เป็นเนื้อก็เป็นไข่ ภายหลังต้องพาลูกกับเหล่าหู กลับมาเยี่ยมท่านแม่บ่อย ๆ แล้ว!

โจวคายจือถูกกล่าวว่าจนอึดอัดไปทั้งตัว แต่ไม่กี่วันมานี้ ในใจก็รู้สึกว่าช่วงที่อยู่บ้านท่านแม่นี่แหละคือการใช้ชีวิตของคนเรา วัน ๆ พวกเด็ก ๆ ได้กินอิ่ม ยังได้กินเนื้ออีกด้วย ไม่ได้อึดอัดเหมือนอยู่ที่บ้านสามี นางคงทั้งมีความสุขทั้งปวดใจ

“พอแล้ว ก็ให้พี่สาวใหญ่ของเจ้าพาลูกมาพักอยู่บ้าน พวกเจ้าก็ไม่ต้องพูดมากแล้ว!” เหล่าไท่ไท่กล่าวสรุปด้วยเสียงหนักแน่น ก็คีบเท้าหมู ให้เสียวหู่ที่นั่งอยู่ด้านข้างนาง

โจวกุ้ยหลานก้มหน้าก้มตากินข้าวของตนเอง เรื่องเหล่านี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนาง

สวีฉางหลินที่อยู่ด้านข้างมองดูข้าวในถ้วยของนางแห้งฝืด ตักน้ำแกงถ้วยหนึ่งแล้ววางไว้ด้านหน้านาง จากนั้นก็อุ้มเจ้าก้อนน้อยมาไว้ในอ้อมแขน ให้เขาคีบอาหาร กินด้วยตัวเอง

พวกเขากินข้าวเสร็จ โจวกุ้ยหลานพาสวีฉางหลินกับเจ้าก้อนน้อยกลับบ้านอีกครั้ง โจวซ่านเย่จะฉวยโอกาสนี้ กลับไปพร้อมกับพวกเขา

โจวกุ้ยหลานไม่รั้งรอ พาสวีฉางหลินและพวกเขาไป

พอถึงบ้านพวกเขา โจวซ่านเย่ก็นั่งในบ้านหาเรื่องคุยเล่นกับโจวกุ้ยหลาน

โจวกุ้ยหลานนั่งลงผิงไฟ ต่อบทสนทนาไปตามอารมณ์

ผ่านไปครู่หนึ่ง โจวซ่านเย่ก็ดึงหัวข้อมาที่ความเปลี่ยนไปของที่บ้าน

“กลับคราวนี้ข้าถึงพบว่า ทุกวันนี้บ้านแม่พวกเราใช้ชีวิตกันอย่างดีเชียว เมื่อก่อนพวกเรากลับบ้านมื้อหนึ่งมีแต่ไข่ตุ๋น แต่วันนี้ แต่ละมื้อมีทั้งเนื้อทั้งข้าวขาว! ท่านแม่บอกว่า ล้วนเป็นเพราะกุ้ยหลานช่วยเหลือถึงเป็นอย่างทุกวันนี้”

โจวกุ้ยหลานส่ายหัวยิ้ม ๆ บุ้ยปากไปทางสวีฉางหลินทันที “นู่น เป็นเพราะความดีของเขา เขาเผาถ่านเป็น ถึงช่วยให้ที่บ้านได้กินข้าวอิ่ม ถ้าบอกว่าทุกวันนี้มั่งคั่ง คงยังไม่ใช่อยู่ดี”

โจวซ่านเย่มองสวีฉางหลินที่กำลังสานตะกร้า รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย

นางก็เป็นคนผ่านโลกมาแล้ว แต่ไม่เคยเจอใครเย็นชาเช่นนี้มาก่อน

ยังไงก็คือน้องสาวตนเองคุยได้ดีๆ นางหันกลับมา ยิ้มถามโจวกุ้ยหลานว่า “กุ้ยหลาน ข้ารู้ว่าถ่านที่ดีที่สุดของตำบลย่อมเป็นถ่านของพวกเจ้า ช่วงแรกที่เจ้าบอกว่ามีถ่านดี ๆ พวกนั้น ทำไมไม่เอาไปขายให้ร้านขายของชำของพี่เขยเจ้าล่ะ ถึงอย่างไรพี่เขยเจ้าก็ต้องช่วยเจ้าขึ้นราคาแน่!”

พี่เขย? ความประทับใจที่นางพบเจอพี่เขยรองนั้น พี่เขยรองไม่เคยมีสีหน้าดี ๆ ให้นางเลย คิดว่าบ้านพวกเขายากจน จะไปเอาเปรียบบ้านพวกเขา

หลังจากนั้นเจ้าของร่างเดิมซื้อของก็ไม่ไปร้านขายของชำของพี่เขยรองนางอีกเลย กลัวผู้คนจะหาว่านางไปเอาเปรียบเขา

“ข้าไม่ได้กลัวว่าญาติจะทำธุรกิจได้ไม่ดี อีกอย่าง ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าถ่านของพวกข้าจะดีกว่าบ้านอื่น และไม่รู้ว่าสามารถหาเงินได้ ถ้าไม่สำเร็จ จะไม่เป็นการหลอกลวงพี่เขยรองข้าหรอกรึ”

โจวกุ้ยหลานยิ้มตอบ

โจวซ่านเย่ตบที่ต้นขา ถลึงตามอง “กุ้ยหลาน แม้ข้าเป็นพี่สาวรองเจ้า ถ้าเจ้าเผาถ่านได้ไม่ดี พี่เขยรองของเจ้าคงไม่ให้เจ้ากลับมามือเปล่าหรอก! พวกเราเป็นพี่น้องกัน ทำไมจะไม่ช่วยเหลือกันและกันล่ะ”

คำพูดพวกนี้ ฟังดูดีเสียจริง

โจวกุ้ยหลานไม่อาจควบคุมสีหน้าของตัวเอง ก็กล่าวเพิ่มอีกหนึ่งประโยค “ญาติพี่น้องไม่ควรคุยธุรกิจ ถ้าทำได้ไม่ดี จะเสียน้ำใจกันเปล่า ๆ ”

ฟังคำเหล่านี้ สวีฉางหลินหันหน้าไปมองโจวกุ้ยหลาน ในแววตาแฝงความหยอกล้ออย่างหาได้ยาก

มองอะไรกัน!

โจวกุ้ยหลานจ้องอย่างดุดันกลับไป

โจวซ่านเย่อ้าปาก ชั่วขณะหนึ่งก็ไม่รู้ว่าจะต้องต่อบทสนทนายังไงต่อ คำพูดเหล่านี้ติดอยู่ที่ปาก โจวกุ้ยหลานกลับทำให้นางกลืนคำลงไป

“พี่สาวรอง อีกไม่กี่วันท่านก็คงกลับใช่ไหม บ้านข้ายังมีผ้าเหลือสองสามผืน ท่านเอากลับทำเสื้อผ้าให้หลานชายข้าเถอะ ท่านรอครู่หนึ่ง ข้าจะไปหาสักเดี๋ยว”

ขณะพูด นางก็ลุกขึ้นทันที แล้วเข้าในบ้านตัวเองอย่างไว

ในใจโจวซ่านเย่ก็ยินดี “เจ้ายังจะเกรงใจกันอีก มีผ้าก็ทำเสื้อผ้าให้น้องเขยเถอะ”

“พวกเราที่นี่ไม่ได้ขาดแคลนเสื้อผ้า ให้พวกท่านไปก็จะได้ใช้งานด้วย” ขณะพูด โจวกุ้ยหลานรีบเดินเข้าไปในบ้านตัวเอง ดึงผ้าพับหนึ่งออกมาจากตู้ เดินออกมา แล้วส่งให้โจวซ่านเย่

ผืนผ้านั้นสีดูเก่า ผ้าสีดำเทา แต่เมื่อสัมผัสเนื้อผ้าแล้วโจวซ่านเย่ก็รู้ว่าคือผ้าบาติส ในใจก็เริ่มครุ่นคิด

เนื้อผ้าดี ถ้านางนำไปตัดเสื้อคลุมนอกให้เหล่าหู เย็บฝีเข็มให้ดี ก็ไม่กลายเป็นเสื้อผ้าดี ๆ แล้วรึ

เพียงคิด ใบหน้าก็ซ่อนรอยยิ้มไม่อยู่ อยู่คุยกับโจวกุ้ยหลานอีกสองสามประโยค ถึงจะกลับไป

รอส่งนางกลับไปแล้ว โจวกุ้ยหลานก็ถอนหายใจด้วยความสบายใจ

กลับเข้ามานั่งในห้อง ในใจก็เริ่มครุ่นคิด “ข้าต้องคุยกับท่านแม่สักหน่อยว่า รีบให้พี่สาวรองกลับไป ไม่งั้นนางก็จะมาบ้านพวกเราอีก”

“พวกเจ้าไม่ใช่ว่าสายสัมพันธ์พี่น้องลึกซึ้งหรอกรึ” หายากที่สวีฉางหลินจะหยอกล้อภรรยาตัวน้อยของตัวเอง

“พี่สาวรองข้าเป็นพวกที่ถ้าไม่มีเป้าหมายก็จะไม่ลงมือ เมื่อก่อนไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กัน อยู่ ๆ มาทำตัวสนิทสนม ไม่อึดอัดรึไร” โจวกุ้ยหลานเบะปาก พูดความคิดเห็นใจจริงออกมา

“ไม่ใช่ว่าเจ้าคิดถึงหลานชายเจ้าหรอกหรือ” สวีฉางหลินพูดตามอารมณ์ คุยเรื่อยเปื่อยกับภรรยาตัวน้อยของตัวเอง