โจวกุ้ยหลานเบะปากอีกครั้ง “ไม่ทำอย่างนี้แล้วนางจะไปหรือ อีกอย่าง ผ้าผืนนั้นสีเข้ม เจ้าใส่แล้วไม่ดูดี ให้นางไปคงไม่เสียเปล่าหรอก”
ฟังคำเหล่านี้ สวีฉางหลินก็ขยับมือกำแน่น
ไม่ดูดี…
“พี่เขยรองใส่แล้วดูดี?” สวีฉางหลินหยุดกำมือ เงยหน้าขึ้นมองภรรยาตัวน้อยของตัวเอง ไม่ผิดแน่สีหน้าของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ย่อมไม่ใช่อยู่แล้ว เจ้าคิดดูนะเจ้าเพิ่งจะยี่สิบกว่า สวมใส่เสื้อผ้าสีเข้ม ไม่เป็นการทำให้หน้าตาอันหล่อเหลาของเจ้าเสียเปล่าหรอกหรือ ส่วนพี่เขยรอง เขาก็สามสิบปีกว่าแล้ว ใส่สีเข้มได้ อีกอย่าง เขาใส่แล้วดูดีหรือไม่ดูดีเกี่ยวอะไรกับข้ากันล่ะ”
โจวกุ้ยหลานตอบตามใจ
บุรุษของตัวเองย่อมต้องแต่งตัวดี ถึงจะเป็นบุญตาให้นางได้ ส่วนพี่เขยรอง?ทั้งไม่ใช่บุรุษของนาง แล้วอีกอย่าง พี่สาวรองคงชอบเสื้อผ้านั้นนั่นแหละ
ฟังภรรยาตัวน้อยพูดอย่างนี้ สวีฉางหลินถึงจะวางใจ เก็บสายตากลับมา แล้วสานตะกร้าของตัวเองต่อไป
เจ้าก้อนน้อยกำลังเขียนอักษร ฟังพ่อแม่พูดคุย ก็เงยหน้าขึ้นไปมอง ถามโจวกุ้ยหลาน “ท่านแม่ อะไรคือหล่อเหลา”
“ก็คือบุรุษที่หน้าตาดี นั้นไง เหมือนพ่อเจ้าที่เป็นคนหน้าตาหล่อเหลา”
“งั้นข้าหล่อเหลาไหม” เจ้าก้อนน้อยถามต่ออีกหนึ่งประโยค
โจวกุ้ยหลานส่ายหน้าไปมา ก่อนเจ้าก้อนน้อยยังไม่ทันจะได้เสียใจก็เปิดปากพูดว่า “เจ้ายังเป็นเด็ก หน้าตาดีเรียกว่าน่ารัก น่าเอ็นดู เจ้าดู ตอนนี้เจ้าเป็นที่รักใคร่ยิ่ง”
สองประโยคนี้ ทั้งคนน้อยทั้งคนใหญ่ล้วนพึงพอใจ เจ้าก้อนน้อยยิ้มกว้างอย่างมีความสุข ในใจสวีฉางหลินด้านข้างก็เบิกบานใจ ใบหน้าก็อ่อนโยนขึ้นไม่น้อย ความเร็วบนมือในการทำงานก็เร็วขึ้นไม่น้อย
สองคนนี้ปลอบง่ายจริงเชียว แค่สองประโยคน่าฟังก็ทำให้พวกเขาดีใจขนาดนี้ ไม่ต้องเปลืองแรงนาง วันหน้าคงต้องพูดสองประโยคนี้บ้างเป็นครั้งคราว ให้พวกเขามีความสุขเสียหน่อย
“สวีฉางหลิน ข้าบอกเจ้าเลยว่า ถ้าวันหน้าพี่สาวใหญ่ ต้องออกมาอยู่คนเดียว พวกเราให้นางมาช่วยพวกเราทำงาน ถึงเวลานั้นพวกเราจะให้เงินเดือนนางอย่างไรดี”
“อืม”
“เจ้ายังไม่ได้ถามว่าให้นางทำงานอะไรเลย” โจวกุ้ยหลานเอ่ยเตือนสวีฉางหลิน
เจ้าบุรุษผู้นี้นี่ไม่ขัดแย้งความเห็นนางสักนิด แล้วนางจะต่อบทสนทนาอย่างไรกันล่ะ
“ทำงานอะไรล่ะ” สวีฉางหลินคล้อยตาม
“เริ่มฤดูใบไม้ผลิข้าอยากลงแรงทำการเกษตร รอหิมะหยุด เงินที่เจ้าขายถ่ายพวกเราก็เก็บออมไว้ พอถึงเวลาพวกเราซื้อเป็ดไก่มากหน่อย ข้าคนเดียวคงดูแลไม่ไหวแน่ ตอนนั้นก็ให้พี่สาวใหญ่มาช่วยดูแลละกัน”
โจวกุ้ยหลานค่อย ๆ อธิบาย แม้สวีฉางหลินไม่เคยพูดถึงเรื่องอะไรพวกนี้ ล้วนให้นางอยากทำอะไรก็ทำแต่นางก็คิดว่า เป็นไปไม่ได้ที่อะไรก็ไม่ปรึกษากับเขามัน
“ได้”
เรื่องนี้ก็ได้ตัดสินใจตามนี้ โจวกุ้ยหลานเลยพูดคุยไปเรื่อยเปื่อย แล้วหัวข้อมาหยุดที่เรื่องจางเสี่ยวจุ๋ย กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยแน่ใจ“ข้ารู้สึกว่าอาสะใภ้สามแปลกๆ เจ้าว่าวัน ๆ นางหน้านิ่วคิ้วขมวด เอะอะก็ทำท่าทางเสียใจ ไหนเลยจะมีแก่ใจทาชาด ไหนจะเสื้อผ้านางอีก ก่อนหน้าไม่รู้สึก แต่วันนี้กลับมาคิด เสื้อผ้านางล้วนไม่แย่ ทำให้นางดูดีทีเดียว”
ถ้าว่ากันตามจริง เสื้อผ้าจางเสี่ยวจุ๋ยก็ไม่ได้ดูดีมาก ล้วนเป็นสีเรียบง่าย แต่เสื้อผ้านั้นเหมาะสมกับรูปร่างมาก ทำให้รูปร่างดีของนางขับเน้นออกมา อีกทั้งก็นานมาขนาดนี้แล้ว ที่นางก็ไม่เคยใส่เสื้อผ้าที่ปะชุน…
ยิ่งคิด โจวกุ้ยหลานก็ยิ่งรู้สึกแปลก
“เจ้าดูเมื่อสองสามปีก่อนที่ยากลำบาก แต่ละบ้านเรือนล้วนไม่มีอาหารกิน ลุงใหญ่ก็ส่งอาหารมาให้บ้านพวกเรา พวกเราล้วนอดอยากปากแห้ง แต่อาสะใภ้สามก็กินดื่มเหมือนเดิม นางก็ไม่ได้อดอยากปากแห้งเหมือนพวกเรา ตอนนั้นผิวก็ยังขาว”
โจวกุ้ยหลานยิ่งพูด ก็ยิ่งรู้สึกแปลก
เจ้าของร่างเดิมกับจางเสี่ยวจุ๋ยติดต่อกันไม่บ่อย แล้วปกติวันจางเสี่ยวจุ๋ยล้วนอยู่แต่ในบ้านตัวเอง บางครั้งก็ออกมาสักรอบ ล้วนก็ออกมาเอาอาหาร สำหรับโจวกุ้ยหลาน นางไม่ค่อยชอบท่าทางระทมทุกข์ของจางเสี่ยวจุ๋ย แล้วไม่ได้ไปมาหาสู่กับนางนักเลยไม่ได้ใส่ใจ ถ้าไม่ได้พูดถึงหลิวเซียงครั้งนี้นางคงไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้แน่
“ใส่ใจแล้วอย่างไร” สวีฉางหลิวไม่สนใจเรื่องเหล่านี้เลย
โจวกุ้ยหลานก็เห็นด้วย แล้วคุยเล่นกับสวีฉางหลินอีกหลายประโยค
พริบตาวันเวลาผ่านไปก็ถึงเทศกาลโคมไฟ
โจวซ่านเย่วิ่งมาหาโจวกุ้ยหลานครั้งแล้วครั้งเล่า แต่โจวกุ้ยหลานก็พูดดักนางกลับไป โจวซ่านเย่งงงันหาอะไรพูดไม่ได้
ช่วงเวลานี้หิมะไม่ตกแล้ว หิมะค่อย ๆ ละลายไปไม่น้อย สุดท้ายโจวซ่านเย่อยู่บ้านแล้วสบายใจไม่ลง ก็ต้องนั่งเกวียนกลับไป แล้วพกข้าวสารและแป้งสองสามจินที่เหลืออยู่ เนื้อหนึ่งจิน และผ้าหนึ่งพับ ก็ปลอบใจนางได้เล็กน้อย
โจวคายจือพาลูกไม่กี่คนพักอยู่ต่อ อยู่เป็นเพื่อนเหล่าไท่ไท่ ช่วยเหล่าไท่ไท่ทำงาน ใช้ชีวิตดีกว่าเมื่อก่อนมาก พวกเด็ก ๆ ก็ค่อย ๆ ปลดปล่อยตัวเอง ใบหน้าเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
วันเทศกาลโคมไฟ โจวกุ้ยหลานเชิญทุกคนมาที่บ้านนาง ทำหม้อไฟให้ทุกคนกิน ทุกคนกินกันอย่างอบอุ่น ในใจก็มีความสุข
ผ่านวันเทศกาลโคมไฟไป สวีฉางหลินก็พาโจวต้าไห่ เอ้อร์เฉียง และซานเฉียงไปเผาถ่าน โจวต้าซานกับหลี่ซิ่วยิงเริ่มเตรียมสินเดิมของโจวชิวเซียง โจวชิวเซียงเกิดกลัวว่าจะมีผลกระทบต่อลูกในท้องของตัวเอง ไม่ออกไปไหนทั้งวัน ซุกตัวเองอยู่ในบ้าน โจวกุ้ยหลานก็รู้สึกตัวเองเงียบสงบไปไม่น้อย
แม้อากาศยังหนาวอยู่ แต่หิมะก็ไม่ได้ตกลงมา การเดินทางไปมาก็สะดวกสบาย
วันขึ้น 5 ค่ำเดือนอ้าย เป็นวันที่โจวชิวเซียงแต่งงาน โจวกุ้ยหลานพาสวีฉางหลินกลับบ้านแม่ ตอนเช้าตรู่ เหล่าไท่ไท่ก็พาพวกเขาไปช่วยเหลือ
หลี่ซิ่งยิงรู้ว่าโจวกุ้ยหลานทำอาหารอร่อย ต้องการให้โจวกุ้ยหลานทำอาหาร ปกตินางก็ไม่ได้ยินดีจะช่วยโจวชิวเซียงทำอาหาร แต่คิดแล้วก็เป็นการไว้หน้าให้ลุงใหญ่ตัวเอง เลยตอบตกลงไป
โจวคายจือกับเหล่าไท่ไท่ก็อยู่ช่วยที่ห้องครัว ล้างผัก หั่นผัก ช่วยจุดไฟ คนทำไม่น้อยเลย
เมื่อสตรีเยอะ เรื่องพูดคุยย่อมเยอะด้วย
ชุ่ยฮวาล้างจานชามที่ยืมมาแต่ละบ้านในมือ อดไม่ได้จะถอดหายใจด้วยความอิจฉา “แหม ชิวเซียงนี่มีความสามารถจริงเขียว ได้แต่งเข้าเมืองไป บ้านนั้นร่ำรวยล่ะ คงจะใช้ชีวิตมั่งคั่งกินดื่มสุขสบายแล้ว!”
คนอื่น ๆ คล้อยตามสองประโยคนี้ ล้วนพูดว่าโจวชิวเซียงได้งานแต่งดี ครู่หนึ่ง นางก็หันไปมองใบหน้าของเหล่าไท่ไท่ ขยิบตาให้นาง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแปลกใจ “พี่สะใภ้เหมยฮวา ได้ยินว่าชิวเซียงตั้งท้อง นี่ใช่เรื่องจริงหรือไม่”
เหล่าไท่ไท่พูดด้วยใบหน้าเย็นชา “เจ้าไปฟังใครพูดจาไร้สาระมากัน”
“มันแพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้านแล้ว ว่าชิวเซียงเพื่อจะได้แต่งเข้าไปในเมือง ตัวเองเลยปีนขึ้นเตียงเถ้าแก่เฉียน จนตั้งท้องเถ้าแก่เฉียนเลยยอมแต่งกับนาง พวกบ้านหยู่ชุนพูดมา พวกข้าไม่ได้ใส่ความชิวเซียงนะ!”
เด็กสาวหลายคนด้านข้างฟังเรื่องเหล่านี้ ล้วนลอบหัวเราะ
ความอิจฉาเมื่อครู่ก็กลายเป็นการเหน็บแนม
โจวชิวเซียงน่าขายหน้าเสียจริง แต่งให้ตาแก่นั้น ยังต้องส่งตัวเองไปถึงประตู ก็ไม่รู้ว่าทำไมแม่นางอย่างนางถึงไร้ยางอายนัก!