ตอนที่ 433 เจรจาต่อรอง ถอยเพื่อรุก (1)
แม้ว่าจะมาสายไปสักหน่อย แต่ว่า ภายใต้สถานการณ์พิเศษเช่นนี้ ด้วยฐานะของนางไม่เพียงแต่ไม่สมควรจะคิดเล็กคิดน้อย แต่ควรจะเปิดใจให้กว้าง ใช้ความรักความเมตตาไปปลอบโยน
ความน่าเกรงขามของตระกูลหนึ่งแผ่ขยายขึ้นมาทันที จึงทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าที่อยู่ในส่วนลึกของเรือนหลังเกิดอกสั่นขวัญแขวน จะยืนก็ยืนได้ไม่มั่นคงเสียแล้ว!
“ใช่…ใช่เจ้าค่ะ! รายงานหัวหน้าตระกูล ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่าร่างกายนางป่วย กลัวแพร่อาการป่วยให้คุณหนูใหญ่ตระกูลมั่ว ดังนั้นถึงได้ไม่พบเจ้าค่ะ…”
เสียงที่อธิบายออกมาของหมัวมัวชราสั่นเทา!
กลัวว่าตนเองไม่ทันระวังล่วงเกินหัวหน้าตระกูลเข้า จากนั้นก็จะโบยนางให้ตายด้วยกระบองแล้วลากไปทิ้งที่เนินป่าช้า
ล่วงเกินหัวหน้าตระกูลแล้วถูกคนโบยตายนั้น ไม่มีสักครึ่งคนจะออกมาเอ่ยวาจาใด!
คิดเช่นนี้แล้ว หมัวมัวชราก็รู้สึกตัดพ้อต่อว่าจิ้งฮูหยินกับเหมยฮูหยินสองคนนั้น ถ้าก่อนหน้านี้ไม่ใช่พวกนางมากระพือเรื่องราวให้ใหญ่โตขึ้น ฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่เจอคุณหนูใหญ่ตระกูลมั่วผู้นี้ได้เช่นไร
ในใจมีความรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกโมโหเช่นกัน
“รายงานหัวหน้าตระกูล ก่อนหน้านี้ตอนเหมยฮูหยินกับจิ้งฮูหยินมาน้อมทักยามเช้า ฮูหยินผู้เฒ่ายังมีชีวิตชีวาดีอยู่ แต่เมื่อฮูหยินทั้งสองท่านจากไปแล้ว ร่างกายของฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่สบายขึ้นมา ถึงได้ไม่ยอมพบหน้าเจ้าค่ะ”
ได้ยินเช่นนั้น มั่วเชียนเสวี่ยที่ยืนนิ่งๆ ไม่เอ่ยอะไรอยู่ข้างๆ หนิงเซ่าชิงมาตลอดก็อดไม่ได้ที่จะมองหมัวมัวชรานางนี้อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง
นิยายทะลุมิติมาสู้รบปรบมือกันในจวนนั้น โดยปกติล้วนจะมีเหล่าหมัวมัวที่ใจดำออกมาขวางทางและยุให้รำ ตำให้รั่ว
มั่วเชียนเสวี่ยแม้จะไม่ชอบแผนการร้ายอะไรพวกนี้ แต่กลับเห็นในโทรทัศน์เยอะมาก
แม้ว่านางจะไม่มีประสบการณ์สู้รบปรบมืออะไรจริงๆ สิ่งที่เชี่ยวชาญก็เป็นพวกการสู้กันซึ่งๆ หน้าพวกนั้น แต่ทว่า สำหรับการลอบกัดลับหลัง ทำเรื่องเลวทรามต่ำช้านั้น หากทำขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ใด
วาจาที่หมัวมัวนางนี้เอ่ยไปเมื่อครู่ ก็มีความหมายชัดเจนแล้ว…
มีคนมายุยงให้ผู้อื่นเข้าใจผิดจนต้องแตกคอกัน!
ถ้าจะคิดบัญชีก็ไปคิดที่จิ้งฮูหยินกับเหมยฮูหยิน ไม่เกี่ยวอันใดกับพวกนาง บ่าวรับใช้ที่มาเอ่ยปฏิเสธการเข้าพบเลยสักนิดเดียว
มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่ได้โมโห เพียงแต่หันหน้าไปยิ้มบางๆ ให้หนิงเซ่าชิง
“หัวหน้าตระกูลหนิง ฮูหยินผู้เฒ่าสุขภาพไม่ค่อยดี เดิมเชียนเสวี่ยสมควรจะอยู่ปรนนิบัติสักหน่อย เพียงแต่เมื่อวานเกิดเรื่องแบบนั้นในจวน ไม่มีคนจะจัดการดูแล ทั้งบนและล่างของจวนกั๋วกงมีเพียงแค่เชียนเสวี่ยจัดการเพียงผู้เดียว ขอขอบคุณสำหรับน้ำใจในการช่วยเหลือของหัวหน้าตระกูลด้วย รบกวนเตรียมการสักหน่อย เชียนเสวี่ยจะกลับจวนแล้วเจ้าค่ะ”
ในที่ส่วนตัวทั้งสองคนจะปฏิบัติต่อกันดีหรือหวานเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น ก็ไม่อาจเรียกชื่อหนิงเซ่าชิงได้ ละครที่สมควรจะแสดงก็ยังต้องแสดงต่อ
ตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยเอ่ย แม้ว่าใบหน้าจะมีรอยยิ้ม แต่กลับทำให้คนเกิดความรู้สึกสงสาร ความหมายในวาจานั้น ยิ่งทำให้คนปวดใจยิ่งกว่า หมัวมัวสาวใช้ที่ดูแลปกป้องเรือนล้วนหัวใจสั่นไหว
หญิงสาวที่ไร้บิดามารดา ไร้คนรักทะนุถนอม ไร้คนให้การสนับสนุนนั้นล้วนน่าสงสาร!
ต่อหน้าคนภายนอก หนิงเซ่าชิงเป็นหัวหน้าตระกูล และเป็นหลานชายของฮูหยินผู้เฒ่า แม้ว่าในใจจะรู้สึกแย่หรือโมโห ตอนนี้เขาก็ทำได้เพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อย แสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ “เจ้ากับข้าได้รับสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้แล้ว จึงไม่ใช่คนนอก เรื่องของจวนกั๋วกงก็คือเรื่องของจวนหนิง ยังจะต้องขอบคุณอันใด! อีกครู่หนึ่ง ข้าจะส่งคุณหนูใหญ่มั่วกลับจวนกั๋วกงเอง”
ให้เกียรติมั่วเชียนเสวี่ยต่อหน้าบ่าวรับใช้ทุกคนก็เป็นการให้การสนับสนุนนาง
เสียงของหนิงเซ่าชิงไม่เบา ฮูหยินผู้เฒ่าที่อยู่ด้านในย่อมได้ยิน ในใจก็บันดาลโทสะจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ขอบคุณน้ำใจที่เหลือล้นของหัวหน้าตระกูลเจ้าค่ะ” มั่วเชียนเสวี่ยหันหน้าไปทางเรือนฉือหย่าง เอ่ยอย่างไม่เร่งรีบว่า “แต่ว่า ในเมื่อเชียนเสวี่ยมาแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะจากไปโดยไม่น้อมทักยามเช้า ให้เชียนเสวี่ยโขกศีรษะให้ฮูหยินผู้เฒ่าโดยมีเรือนกั้นอยู่แล้วค่อยจากไปนะเจ้าคะ หวังว่าสุขภาพของฮูหยินผู้เฒ่าจะดีขึ้นในเร็ววันเจ้าค่ะ”
ไม่ให้นางเข้าไป พอดีเลย นางก็ไม่อยากจะเข้าไปโขกศีรษะเช่นกัน
อยู่ตรงนี้ ก็ถือเสียว่าคุกเข่าให้กับฟ้าดิน ไม่เป็นไร
เอ่ยจบ มั่วเชียนเสวี่ยก็คุกเข่าทันที และโขกศีรษะไปทางเรือนฉือหย่างสามครั้ง
คิดจะเล่นงานนางที่นี่ ไม่มีทางเป็นไปได้!
ฮูหยินผู้เฒ่าที่มองผ่านบานหน้าต่างที่กั้นอยู่นั้นอึดอัดใจ!
ไม่ให้นางเข้ามา นางกลับโขกศีรษะคารวะตนเองจากที่ไกลๆ ภายใต้การถูกจับจ้อง ไม่เพียงแต่จะรักษาหน้าตนเองไว้ได้ หลังจากนี้ก็จะไม่มีใครกล้าหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเล่นงานนางอีก
ถ้าคิดจะจับผิดจริงๆ ก็ทำได้เป็นแค่เอ่ยว่า นางที่เป็นฮูหยินผู้เฒ่าผู้นี้ไร้คุณธรรม
มั่วเชียนเสวี่ยโขกศีรษะแล้ว ก็ลุกขึ้นลูบอาภรณ์อย่างไม่ใส่ใจ ตอนนี้ เกรงว่าอาการป่วยปลอมๆ ของฮูหยินผู้เฒ่าจะกลายเป็นจริงแล้ว อีกทั้ง ‘อาการป่วย’ นี้ ยังต้องแสร้งเป็นไปอีกหลายวัน ถึงจะอุดช่องโหว่ในเรื่องโกหกครั้งนี้ให้ผ่านไปได้
“เชียนเสวี่ย…”
หนิงเซ่าชิงมองมา มั่วเชียนเสวี่ยกลับส่ายหน้าให้เขาเบาๆ
เขาหันหน้าไป ไม่อาจทนมองได้ ประการแรกคือสงสารมั่วเชียนเสวี่ย ประการที่สองคือในใจก็ยิ่งเกลียดตระกูลอวี่เหวินมากขึ้น
เหล่าสตรีของตระกูลอวี่เหวิน พวกเจ้ากล้าคิดฝันถึงเรือนหลังของข้า ข้า หนิงเซ่าชิงกล้าที่จะจัดการจนทำให้พวกเจ้า กระทั่งร้องไห้ก็ร้องไม่ออก
ทั้งสองออกจากจวนหนิง รถม้าวิ่งตรงไปยังจวนกั๋วกง
มั่วเชียนเสวี่ยเพิ่งได้นอนตอนยามเฉิน[1] และไม่ได้นอนนานเท่าใดนัก ร่างกายย่อมอ่อนเพลีย จึงหลับตาพักผ่อนอยู่ในอ้อมแขนหนิงเซ่าชิงตลอดทาง
สิ่งที่ทั้งสองคนควรจะเอ่ย ก็ได้เอ่ยในเรือนข้างไปพอสมควรแล้ว
เดิมหนิงเซ่าชิงได้นำตั๋วเงินแสนตำลึงให้กับมั่วเชียนเสวี่ยเพื่อสร้างจวนกั๋วกงใหม่ แต่กลับถูกมั่วเชียนเสวี่ยดันกลับคืนไป
แม้ว่าเขาจะมีทรัพย์สมบัติส่วนตัว แต่ในตระกูลใหญ่ที่มีสมาชิกในตระกูลมากมายนั้น จุดที่ต้องใช้เงินนั้นย่อมมีมากเช่นกัน นางไม่อยากกลายเป็นปลิงดูดเลือด
เงินหลายแสนไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แม้ว่าจะเป็นตระกูลหนิงที่กุมอำนาจทรัพย์สินเงินทองเอาไว้ ก็ไม่มีทางที่จะไม่สนใจ ยิ่งไปกว่านั้นเงินที่เขามอบให้นาง จะต้องนำออกมาจากทรัพย์สมบัติส่วนตัวของตนเองแน่นอน
นางไม่อาจรับได้
จวนกั๋วกงถูกเผาเพราะผู้ใด ก็ให้ผู้นั้นชดใช้!
นาง มั่วเชียนเสวี่ยไม่ใช่คนที่จะเสียเปรียบแล้วไม่เอ่ยออกมา อีกครู่เมื่อจัดการเรื่องราวตรงนี้เสร็จ นางก็จะไปฉกเงินก้อนนี้จากผู้ที่นั่งอยู่ในห้องโถงอันโอ่อ่าผู้นั้น
จวนของผู้ที่ได้รับอำนาจในระยะนี้มักจะอยู่ทิศตะวันตกของเมือง จวนขุนนางมักจะอยู่ที่ทิศตะวันออกของเมือง จวนทั้งสองแห่งห่างกันค่อนข้างไกล รอจนถึงจวนกั๋วกง ก็เป็นยามอู่[2]แล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยกระโดดลงจากรถม้า หนิงเซ่าชิงกลับไม่ได้ลงไปเป็นเพื่อนนางด้วย
แต่ทิ้งคนหลายคนไว้ให้ช่วยนางจัดการ และนั่งรถม้าจากไป
นี่เป็นความต้องการของมั่วเชียนเสวี่ย เรื่องที่นางต้องสะสางนั้นมีมากและวุ่นวายอย่างยิ่ง มีหนิงเซ่าชิงอยู่เป็นเพื่อนข้างกายนั้นกลับทำให้ไม่สะดวกเท่าใดนัก
ให้หัวหน้าตระกูลขุนนางเก่าแก่ไปช่วยเก็บกวาดเศษซากปรักหักพัง นั่นไม่ใช่การใช้คนมีความสามารถไม่เหมาะสมกับงาน แต่เป็นการลดฐานะตนเองลงมาจนทำให้ผู้คนรู้สึกขบขัน
อีกอย่าง อีกครู่หนึ่งนางต้องไปฝังมั่วเหนียง หนิงเซ่าชิงเป็นถึงหัวหน้าตระกูลขุนนางเก่าแก่คนหนึ่ง จะตามไปฝังศพบ่าวชราคนหนึ่งด้วยหรือ
ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นช่วงเวลากลางวัน ในเขตพื้นที่เมืองหลวงก็ไม่มีผู้ใดกล้ามาทำร้ายนาง
เมื่อวานหนิงเซ่าชิงก็ได้ส่งคนกลุ่มหนึ่งมาเป็นลูกมือให้พ่อบ้านมั่วแล้ว
เฟิงอวี้เฉินไม่เพียงแต่จะให้คนในจวนล้วนมาช่วยเก็บกวาด เขาเองก็มาสั่งการที่นี่ด้วย
พ่อบ้านเป็นคนซื่อสัตย์ คล่องแคล่วว่องไว แม้ว่าจะอายุหกสิบแล้ว แต่กลับฝืนทนไม่พักผ่อน ทำความสะอาดตลอดคืน
ตอนนี้ ทั้งบนและล่างของจวนกั๋วกง แม้ว่าสถานที่ส่วนใหญ่จะถูกเผาทำลาย แต่กลับมีสภาพดูดีขึ้นมาบ้างแล้ว
แม้ว่าจะบอกว่าสภาพดูดีขึ้นมาบ้าง แต่ก็เป็นเพียงแค่เรือนส่วนนอกเท่านั้น สถานที่ที่ค่อนข้างลับตาคนภายในจวนกั๋วกงอย่างเรือนเสวี่ยหว่านที่อยู่เรือนส่วนในกลับถูกเพลิงไหม้เผาจนราบเป็นหน้ากลอง
[1] ยามเฉิน คือ เวลา 07.00 – 08.59 น.
[2] ยามอู่ คือ 11.00 – 12.59 น.