ตอนที่ 434 เจรจาต่อรอง ถอยเพื่อรุก (2)
มั่วเชียนเสวี่ยมองสำรวจอาณาเขตพื้นที่ของตนเองไปทั่ว จากนั้นก็ยืนอยู่กลางระเบียงทางเดินของสวนบุปผา จ้องมองบึงสัตตบงกช
พื้นที่แห่งนี้ไม่มีสิ่งปลูกสร้างอันใด ย่อมเป็นสถานที่ที่ถูกเพลิงไหม้น้อยมากที่สุด เก็บกวาดเพียงเล็กน้อยก็ฝืนนั่งลงได้
มั่วเชียนเสวี่ยทำได้เพียงแค่ทอดถอนใจ กาลเวลาผ่านไป เรื่องราวก็ได้เปลี่ยนแปลงไป สรรพสิ่งยังเหมือนเดิม แต่คนเปลี่ยนไป ในตอนนี้ของเมื่อวาน สวนบุปผาแห่งนั้นยังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ในช่วงเวลานี้ของเมื่อวาน นางยังพาสตรีชั้นสูงทุกคนไปดูเรื่องสนุกในป่าไผ่ด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสุข…
ระหว่างนั้น เฟิงอวี้เฉินก็เคยมาหานาง ปลอบโยนนาง และเสนอว่าจะรับนางไปพักที่เรือนอื่นของตระกูลเฟิง แต่ถูกนางปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม
หากว่านางไปจริงๆ ก็เกรงว่าหนิงเซ่าชิงจะเป็นคนแรกที่คลั่งขึ้นมา
จย่าฮูหยินก็มาเยี่ยมมั่วเชียนเสวี่ยด้วยตนเอง และเสนอว่าจะรับนางไปพักที่จวนหย่าสักระยะหนึ่ง
นางก็ปฏิเสธเช่นกัน
ไม่ใช่เพื่อสิ่งใด จะกระทำสิ่งใด ก็ต้องมีฐานะและเหตุผลที่สมเหตุสมผลก่อน จึงจะสามารถกระทำได้ นางกลัวว่าจะนำหายนะไปสู่ตระกูลจย่า
นางเคยตอบรับคำเชิญของนายท่านจย่าไปบรรยายที่สถานศึกษาของแคว้นวันหนึ่ง การปฏิบัติตัวต่อผู้อื่นของนายท่านจย่า พี่ใหญ่จย่า นางรู้ดีแจ่มแจ้ง
พวกเขาล้วนเป็นคนเที่ยงธรรม นางไม่อยากให้พวกเขาต้องเผชิญกับภัยพิบัติโดยไม่มีเค้าลางมาก่อนกับนาง
ท่านหญิงซูซูก็เคยมาเยือนเช่นกัน เดิมคิดจะอยู่เป็นเพื่อนนางวันหนึ่ง แต่ว่าถูกนางไล่กลับไป
สถานที่แห่งนี้ กระทั่งสถานที่ที่จะดื่มน้ำชาก็ยังไม่มี ทำไมจะต้องผู้อื่นอยู่เพิ่มความเศร้าให้กับตนเองด้วย
ขณะที่จ้องมองอยู่ พ่อบ้านมั่วก็ได้เรียกบ่าวรับใช้ดูแลเรือนที่เหลือในจวนมารวมตัวกันตามคำสั่งนาง
มั่วเชียนเสวี่ยกลับไม่ได้เข้าไปเอ่ยอันใด เพียงแค่ให้พ่อบ้านมั่วนำเงินออกมาแบ่งให้กับทุกคนคนละยี่สิบตำลึงเงิน
บอกกับพ่อบ้านมั่วว่า หากใครยินยอมที่จะอยู่ต่อ ในภายหลังก็ยังคงเป็นคนของจวนกั๋วกง
หากไม่ยินยอมที่จะอยู่ต่อ ก็รับยี่สิบตำลึงเงินนั้นแล้วให้พ่อบ้านมั่วไปลบชื่อออกจากทะเบียนชนชั้นทาสในจวนราชการ ตั้งแต่นี้ก็จะกลายเป็นชนชั้นคนธรรมดา
ไม่ใช่ว่าเกิดเหตุเพลิงไหม้เผาทำลายสัญญาขายตัวเป็นทาสไปแล้ว พวกเขาจะไม่ใช่ข้ารับใช้อีก ไม่ได้รับการลบชื่อออกจากทะเบียนของผู้เป็นนาย และไม่ได้อยู่ในจวน ขอเพียงแค่ผู้เป็นนายถือสาหาความ ก็สามารถจัดการพวกเขาด้วยการจับข้าทาสที่หลบหนีกลับไปขายได้ตลอดเวลาตามใจชอบ
นางสามารถอาศัยโอกาสนี้ในการกำจัดคนออกไปได้บางส่วน
คนที่ไม่ซื่อสัตย์ แม้ว่าฝืนอยู่ต่อไป ก็จะสิ้นเปลืองเสบียงอาหารของนางเท่านั้น
คนแบ่งออกเป็นสองกลุ่มทันที
รับเงินแล้วขอจากไปมีเพียงแค่สองสามคน แต่คนที่คิดจะอยู่ต่อที่จวนกลับมีจำนวนมาก
อวิ๋นอิ๋นยืนอยู่ตรงกลางอย่างตัดสินใจไม่ได้ ลังเลครู่หนึ่งก็เดินไปยังกลุ่มที่ยังอยู่ที่จวนต่อ
มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มเย็นในใจ
คราแรก นางขายตัวเพียงเพราะต้องการฝังสามีของตนเอง ฝากฝังบัญชีให้นางดูแล ปกติก็ปฏิบัติต่อนางไม่เลว นางกลับคิดจะจัดการตนเองให้ตาย รู้คนรู้หน้าไม่รู้ใจจริงๆ!
ตอนนี้ ยังยินยอมที่จะเป็นบ่าวในจวนอีก ไม่ใช่เพราะคิดจงรักภักดีต่อตนเอง แต่เป็นเพราะมีแผนมุ่งร้ายสินะ
นอกจากอวิ๋นอิ๋น คนที่ยอมอยู่ในจวน พ่อบ้านมั่วล้วนกระซิบรายละเอียดข้างหูนางอย่างชัดเจน พื้นฐานล้วนเป็นคนชรากับบุตรและบุตรีของข้าทาสที่อยู่ในจวนมาสิบยี่สิบปี
พวกเขาปักหลักอยู่ที่จวนกั๋วกง เมื่อออกจากจวน หากไม่เป็นข้าทาส ก็ไม่มีทางรอดอะไร
ยิ่งไปกว่านั้น เป็นคนเฝ้าประตูให้กับขุนนางก็มีตำแหน่งฐานะเท่ากับขุนนางขั้นสาม อยู่ในจวนกั๋วกงอย่างมีความสุข ดีกว่าพวกลักเล็กขโมยน้อย และชาวบ้านทั่วไปกว่าร้อยเท่า
สาวใช้เรือนเสวี่ยหว่านที่มีชื่อนำว่าจื่อสี่คน ถูกเผาตายไปสาม ตอนนี้เหลือเพียงแค่จื่อจู้คนเดียว
เห็นนางยืนอยู่กลางบรรดาคนที่เลือกอยู่ต่อโดยไม่ลังเล ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยที่ซึมเศร้าเสียใจเพราะเรื่องของอวิ๋นอิ๋นกับการตายของหมัวมัว เกิดความอบอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย
มั่วเชียนเสวี่ยฟังวาจาของพ่อบ้าน และจดจำความเป็นมาของคนเหล่านี้เอาไว้ในใจ
กวาดตามองอวิ๋นอิ๋นที่อยู่ในกลุ่มคนนั้น และมองคนที่ยินยอมจะอยู่ต่อทั้งหมดอีกครั้งเงียบๆ
เอ่ยชมเชยความจงรักภักดีของคนกลุ่มนี้ จากนั้นสัญญาว่าในภายภาคหน้าจะต้องปฏิบัติต่อพวกเขาเป็นอย่างดี ค่อยให้คนเหล่านี้แยกย้ายกันไป
ตอนนี้คนที่ยังอยู่ในจวนน่าจะเป็นคนที่สามารถไว้ใจได้
สองสามคนที่ไม่อยากอยู่ที่จวนต่อ มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่ทำให้ลำบากใจ เพียงแค่กล่าวว่ารอจัดการเรื่องพวกนี้ผ่านไปสองสามวัน ก็จะให้พ่อบ้านมั่วไปจวนราชการยกเลิกทะเบียนทาสของพวกเขา
หลังจากสองสามคนนั้นมองสบตากันและกันแวบหนึ่ง ก็คุกเข่าโขกศีรษะ พลางกล่าวขอบคุณอย่างสุดซึ้งแล้วจากไป
ถัดมาก็มีฮูหยินที่เคยสนทนากับมั่วเชียนเสวี่ยในงานเลี้ยงอีกหลายตระกูลส่งคนมาถามไถ่นางไม่หยุด นางก็กล่าวขอบคุณทีละคนๆ
นับตั้งแต่ยุคโบราณ ในขณะที่เจ้าพบเจอเรื่องดี อีกฝ่ายก็จะอวยพรให้เจ้าดียิ่งขึ้น แต่หากเจ้าตกต่ำ อีกฝ่ายก็จะขอให้เจ้าแย่ลงยิ่งกว่าเดิม ผู้ที่จะสามารถให้ความช่วยเหลือในยามคับขันได้อย่างทันท่วงทีจะมีสักกี่คน
ในบรรดาคนเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นห่วงนางอย่างจริงใจก็ดี แสร้งมาสืบข่าวคราวก็ช่าง อย่างไรน้ำใจในวันนี้ มั่วเชียนเสวี่ยก็จะจดจำเอาไว้ในใจ
ชูอีกับสืออู่เดินตาแดงเข้ามา รายงานกับมั่วเชียนเสวี่ยว่า เรื่องพิธีศพของมั่วเหนียงจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยถึงได้ลุกขึ้น ให้คนยกโลงศพของมั่วเหนียงไปยังสุสานของเจิ้นกั๋วกงกับฮูหยิน
หนึ่งโลงศพ หนึ่งหลุมลึก นี่เป็นบทสรุปสุดท้ายในชีวิตที่ทำให้บ่าวที่ซื่อสัตย์คนหนึ่งได้
แต่ แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น มั่วเชียนเสวี่ยก็ยังสามารถมองเห็นสายตาอิจฉาจากบ่าวพวกนั้น
ข้ารับใช้ไม่มีคุณสมบัติที่จะพักดวงวิญญาณ และไม่มีคุณสมบัติจะจัดพิธีศพ
สามารถฝังร่างอยู่ข้างกายผู้เป็นนาย และได้เสวยสุขกับธูปเทียน หลังจากตายไปก็ไม่เดียวดายเกินไป นี่เป็นเกียรติสุดท้ายที่สามารถมอบให้ข้ารับใช้ได้!
……
หลังยามอู่[1] เป็นช่วงเวลาที่ทำให้คนง่วงนอนมากที่สุด
ฮ่องเต้สะสางภารกิจเรียบร้อยหมดแล้ว หลังจากเสวยมื้อเที่ยงเสร็จ ก็เตรียมตัวจะพักที่ตำหนักของอวี้กุ้ยเฟยสักครู่
ด้านนอกมีคนมาถ่ายทอดวาจาให้ขันทีคนสนิท
ขันทีคนสนิทสีหน้าผ่อนคลาย เดินเข้ามา
“ทูลฝ่าบาท มั่วเชียนเสวี่ยกล่าวว่าตนเองไม่ได้ปกป้องจวนกั๋วกงที่ฝ่าบาทพระราชทานให้เอาไว้ให้ดี จึงเข้าวังมารับโทษ ตอนนี้กำลังทูลขอเข้าเฝ้าอยู่ที่ด้านนอกประตูวังพ่ะย่ะค่ะ”
หัวหน้าขันทีรู้ดีแก่ใจว่า ขอเพียงแค่เป็นเรื่องเกี่ยวกับมั่วเชียนเสวี่ย ในใจฮ่องเต้ย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย จึงให้ข้างนอกถ่ายทอดวาจา รายงานฮ่องเต้โดยไม่ตกหล่นแม้แต่น้อย
สตรีธรรมดาไม่มีสิทธิ์ขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้
แต่มั่วเชียนเสวี่ยไม่ใช่สตรีธรรมดา
ฮ่องเต้พยักหน้า นางเป็นทายาทของเจิ้นกั๋วกง ในบางแง่ ตำแหน่งฐานะของนางเท่ากับตำแหน่งกั๋วกง นางต้องการขอเข้าพบฮ่องเต้ ย่อมมีคุณสมบัติมากพอให้ขอเข้าพบ
ดังนั้นเหล่าองครักษ์ถึงได้ช่วยรายงานให้
ความอ่อนล้าบนพระพักตร์ฮ่องเต้หายไปหมดสิ้น ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสนใจ
“หืม? นางรู้จักดูทิศทางลม หรือรู้จักกลัวตายกัน”
หลังจากยิ้มแล้ว กลับแค่นเสียงเย็นว่า “นึกว่ามาขอรับโทษแล้ว ข้าจะให้นางมีชีวิตอยู่ต่อเช่นนั้นหรือ สาเหตุที่ตอนนี้ยังไม่ให้นางตาย ก็เพียงเพราะการสืบข่าวทางชายแดนตะวันตกยังไม่ถูกส่งกลับมา”
ขันทีหรี่ตาเอ่ยด้วยใบหน้าประจบสอพลอ “ฝ่าบาททรงพระปรีชาญาณ เช่นนั้น…จะถ่ายทอดไปว่าให้นางเข้าเฝ้าหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พระพักตร์ลึกซึ้งจนคาดเดาไม่ถูก “ให้เข้าเฝ้า!”
จะไม่ให้เข้าเฝ้าได้เช่นไร ในเมื่อหาของสิ่งนั้นไม่เจอ ก็ถามตรงๆ เสียเลย คิดว่าสตรีนางหนึ่งถูกทำให้ตกใจกลัว ขอเพียงแค่สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ไม่ว่าสิ่งใดก็ล้วนยอมเอ่ยออกมา
พระราชวังประดับตกแต่งงดงาม แต่ทางเดินกลับเปล่าเปลี่ยวเงียบงัน
[1] ยามอู่ คือ 11.00 – 12.59 น.