ตอนที่ 393 แผนการของสวี่หลิงอวิ๋น

สตรีมเมอร์สาว กินพิชิตอวกาศ

ตอนที่ 393 แผนการของสวี่หลิงอวิ๋น

ตอนที่ 393 แผนการของสวี่หลิงอวิ๋น

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันไปล่ะโฮ่ง!” เสี่ยวอ้ายหันหลังจากไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้มนุษย์เป็นคนจัดการร่างของอสุรกาย

สวี่เทียนอวี๋ออกมาจากห้องใต้ดิน

เขามองดูความหายนะที่เกิดขึ้นบนพื้นดิน และพบว่าตอนนี้มีผู้เสียชีวิตมากกว่าหนึ่งร้อยคน

นี่ไม่ใช่จำนวนเล็กน้อย…!

แต่เมื่อเทียบกับความร้ายกาจของอสูรยักษ์ตนนั้นแล้ว มันก็เป็นตัวเลขที่ยังพอรับได้มากที่สุด

สวี่เทียนอวี๋คิดว่าหากเสี่ยวอ้ายอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก ผู้คนบริสุทธิ์ก็อาจจะไม่ถูกฆ่าตาย เขาถึงกับแอบสาบานว่าจะไม่ยอมปล่อยให้เสี่ยวอ้ายไปไหนอีกเด็ดขาด

ส่วนวิกฤตของจักรวรรดิอื่นก็เป็นของจักรวรรดิอื่นสิ เกี่ยวอะไรกับเขา? เกี่ยวอะไรกับชิงเหย้าเล่า?

ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนออกมาจากชั้นใต้ดินเพื่อมองดูเสี่ยวอ้ายแล้วส่งเสียงให้กำลังใจ นอกจากนี้ยังมีคนหนุ่มสาวผู้กล้าหาญพยายามจะสัมผัสขนสีขาวดุจหิมะของเสี่ยวอ้าย

เสี่ยวอ้ายตกใจมาก คนพวกนี้กำลังทำอะไรอยู่? ทำไมถึงมาสัมผัสขนของมัน?

มันตกใจกลัว รีบทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า และทะยานลงพระราชวัง

หลังจากหลีกเลี่ยงมนุษย์บ้าคลั่งพวกนั้นมาได้ เสี่ยวอ้ายก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะเห็นชายอ้วนท้วมวัยกลางคนตรงดิ่งเข้ามากอดมัน

“เสี่ยวอ้าย เสี่ยวอ้าย แกน่าทึ่งมากเลยนะ” สวี่เทียนอวี๋โอบวงแขนล้อมรอบคอของเสี่ยวอ้าย ลูบขนราวกับหิมะของมันด้วยความชื่นชม

“โชคดีจังที่เจ้าอยู่ที่นี่ ไม่งั้นพวกเราก็ไม่รู้จะทำยังไง?”

เสี่ยวอ้ายตั้งใจจะโยนสวี่เทียนอวี๋ออกไป แต่ก็พบว่าตัวเองกำลังสั่นเทาเล็กน้อย! มันกำลังกลัวอยู่เหรอ?

ช่างเถอะ อดทนอีกสักหน่อย ใครใช้ให้เขาเป็นพ่อของนายท่านล่ะ?!

จักรพรรดินีเดินออกมาด้วยใบหน้าซีดเผือด เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังหวาดกลัว

“พอแล้วเพคะเสด็จพี่ ปล่อยเสี่ยวอ้ายเถอะ” จักรพรรดินีสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามควบคุมอาการประหม่าและความกลัว ก่อนจะหันไปพูดกับสามี

“ก็ได้ ๆ พี่จะปล่อยมันเดี๋ยวนี้แหละ พี่ก็แค่ดีใจมากไปหน่อย” สวี่เทียนอวี๋พยายามปกปิดความกลัว เขาจับมือของจักรพรรดินีและมองดูเสี่ยวอ้าย ก่อนจะเอ่ยขอบคุณ “ขอบใจมากนะเสี่ยวอ้าย”

เสี่ยวอ้ายส่ายหัว “โฮ่ง! ไม่ต้องขอบใจหรอก”

“มีพลังที่แข็งแกร่งกว่านี้รอท้าทายพวกเราอยู่ เราจะมัวเอ้อระเหยไม่ได้!” เสี่ยวอ้ายพูดด้วยท่าทีจริงจัง

“โฮ่ง! เมื่อไม่นานมานี้อสุรกายเข้ามาก่อจลาจลกันมากขึ้น อ้างจากคำให้การของอสุรกายร้ายกาน่าที่บุกรุกไปยังไอเดน สรุปได้ว่าอาจมีอสุรกายบุกรุกเข้ามาเพิ่มอีก!”

“แล้วเราจะทำยังไงกันดี?” สวี่เทียนอวี๋รู้สึกกังวลเมื่อได้ยินเช่นนั้น แค่อสุรกายตัวเดียวก็ทำให้พวกเขาตื่นตระหนกกันมากพอแล้ว หากมีอสุรกายเข้ามาเพิ่มอีก จักรวรรดิชิงเหย้าจะไม่ย่อยยับหรือไง?

“ดูสถานการณ์ไปก่อน! ฉันจะไปค้นหาวิธีการข้างนอกนั่นและตรวจสอบดู โฮ่ง!” เสี่ยวอ้ายตัดสินใจที่จะออกไปจัดการกับอสุรกายนอกบาเรีย

ไม่ว่าในอนาคตจะต้องเผชิญหน้ากับอสุรกายร้ายอีกกี่ตัว แต่สิ่งที่สำคัญคือการสร้างรากฐานใหม่ โชคดีที่ขอบเขตการทำลายล้างของอสุรกายตัวนี้มีไม่มากนัก

สวี่หลิงอวิ๋นกลับมาถึงที่หมายโดยใช้เวลาไม่ถึงวัน

จักรพรรดิเรียกจอมพล นายพล และกองทัพทหารทุกหน่วยเข้ามายังห้องประชุม

จอมพลพวกนี้ไม่รู้ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เนื่องจากกองทัพทหารของพวกเขาไม่ได้มีบทบาทในการต่อสู้กับอสุรกายตัวล่าสุด ไม่ได้มีบทบาทยิ่งใหญ่อะไร แล้วตอนนี้จะมาถามหาความรับผิดชอบกับพวกเขาอย่างนั้นเหรอ?

พวกเขารู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม อสุรกายพวกนั้นทรงพลังมาก พวกเขาจะเอาชนะได้ยังไง?!

สวี่หลิงอวิ๋นนั่งลงตรงกลาง ขณะที่สวี่เทียนอวี๋นั่งลงด้านข้าง เห็นได้ชัดว่าการประชุมในครั้งนี้ขึ้นอยู่กับสวี่หลิงอวิ๋น

จอมพลทั้งหลายจับตาดูการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งที่นั่งของจักรพรรดิและองค์หญิงสาม พวกเขาแอบคาดเดาว่าเป็นไปได้หรือไม่ว่าจักรพรรดิได้หลีกทางให้กับองค์หญิงสามแล้ว?

สวี่หลิงอวิ๋นไม่รู้ว่าคนเหล่านี้กำลังคิดอะไรอยู่

“เราต้องขอโทษด้วยที่เรียกพวกท่านมา แต่เพราะว่าเราต้องการจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ถึงแม้ว่าในอนาคตมันอาจจะไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไปแล้วก็เถอะ” สวี่หลิงอวิ๋นพูด “เรารู้ว่าหลายคนสงสัยว่าทำไมผู้ติดตามของเราจึงได้ฝึกฝนกันเร็วนัก และตอนนี้มีมากกว่ายี่สิบคนที่ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นระดับ 8 ดาว”

แน่นอนว่าจอมพลและนายพลเหล่านี้รู้ดี และพวกเขาก็สงสัยกันมาก แม้พวกเขาจะรู้อยู่แล้วว่าองค์หญิงสามใช้วิธีการฝึกฝนแบบใด แต่เมื่อองค์หญิงสามไม่พูด พวกเขาเองก็ไม่กล้าถามเช่นกัน เพราะท้ายที่สุดแล้ว มันคือเทคนิคลับเฉพาะของเธอ

เมื่อตอนนี้องค์หญิงสามเป็นคนริเริ่ม นั่นหมายความว่าเธออยากจะบอกกับพวกเขาเองใช่ไหม?

แน่นอนว่าคำพูดถัดมาของสวี่หลิงอวิ๋นเป็นการยืนยันการคาดเดาของพวกเขา

“ใช่ เรามีวิธีการฝึกฝน แต่ขั้นตอนการฝึกฝนเหล่านั้นขึ้นอยู่กับรอยประทับที่เราสร้างให้พวกเขา” สวี่หลิงอวิ๋นไม่ลังเลที่จะต้องพูดถึงวิธีฝึกฝนในขั้นตอนแรกเริ่ม

คนส่วนใหญ่ที่ได้ยินเกี่ยวรอยประทับ คิดว่ามันเป็นขั้นตอนที่ค่อนข้างคดโกง พวกเขารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ แต่ในเมื่อมันออกมาจากปากของสวี่หลิงอวิ๋น พวกเขาจึงเลิกคิดเช่นนั้น

ครั้นสวี่หลิงอวิ๋นยื่นมือออกไป ต้นกล้าสีเขียวอ่อนก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา

“ต้นกล้าขนาดเล็กนี้คือต้นไม้แห่งชีวิต รอยประทับคือเมล็ดพันธุ์ของมัน เมล็ดพันธุ์จะถูกประทับลงบนสมองของพวกท่าน เมื่อพวกท่านฝึกฝนกันมากขึ้น ต้นกล้าก็จะโตขึ้นเรื่อย ๆ”

“เมื่อไหร่ที่มันเติบโตจนสูงตระหง่าน เมื่อนั้นพวกท่านจะรู้ซึ้งถึงความเร็วในการฝึกฝนเอง!” สวี่หลิงอวิ๋นพูด

คำพูดของเธอพุ่งออกไปราวกับกระสุนปืนใหญ่ จนพลเอกและนายพลทั้งหมดหยุดชะงักเป็นเวลานาน

จอมพลนายหนึ่งแสดงความกังวลออกมา “รอยประทับจะไม่แอบดูความเป็นส่วนตัวของพวกกระหม่อมใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?!”

คำถามดังกล่าวมีนัยยะว่าเธอสามารถติดตามชีวิตของพวกเขาได้หรือไม่

สวี่หลิงอวิ๋นหัวเราะและส่ายหัว “เราไม่มีเวลามากพอที่จะมานั่งติดตามพวกท่านหรอก!”

“คิดดูสิ เรามีผู้ติดตามตั้งหลายหมื่นคน ท่านคิดว่ามีเวลามากพอที่จะติดตามดูชีวิตของพวกท่านทีละคนเหรอ?!”

สวี่หลิงอวิ๋นพูดอย่างตรงไปตรงมา จนจอมพลทั้งหลายรู้สึกอายเล็กน้อย

ทว่าคำพูดของเธอค่อนข้างสมเหตุสมผล

ถูกต้อง! จะเฝ้าติดตามผู้คนหลายคนพร้อม ๆ กันได้อย่างไร?

“วันนี้พวกท่านจะต้องตัดสินใจ เราจะได้ถ่ายทอดสดอธิบายวิธีการลงบนอินเทอร์เน็ต และเราหวังว่าภายในเดือนหน้าเราจะประทับตราให้ผู้คนทั้งหมดในเมืองชิงเหย้าที่มีอายุต่ำว่าสามสิบปีได้สำเร็จ”

“แน่นอนว่าเราเต็มใจ” สวี่หลิงอวิ๋นพูด

จอมพลกับนายพลทั้งหลายเริ่มซุบซิบกัน ขณะที่สวี่หลิงอวิ๋นเดินออกจากห้องประชุม และการถ่ายทอดสดก็เริ่มต้นขึ้นอย่างที่เธอพูดไว้

การถ่ายทอดสดของสวี่หลิงอวิ๋นดึงดูดความสนใจของชาวชิงเหย้าอย่างมาก พวกเขาพบว่าครั้งนี้องค์หญิงสามใช้เครือข่ายส่วนตัวในการถ่ายทอดสด

เครือข่ายส่วนตัวได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมได้โดยการใช้บัตรประชาชนของชิงเหย้าเท่านั้น จักรวรรดิอื่นไม่มีสิทธิ์!

สิ่งนี้ทำให้จักรวรรดิอื่นรู้สึกฉงน!

ทำอะไรกัน?! เป็นความลับยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเชียวเหรอ!?

ชาวเน็ตจำนวนนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง จากล้านคนก็กลายเป็นพันล้าน และหลายหมื่นล้าน…

จนกระทั่งถึงเจ็ดหรือแปดหมื่นล้าน จำนวนคนก็ชะลอตัวลง