บทที่ 349 บริกร

บทที่ 349 บริกร

ชื่อร้านอาหารในยุคนี้ส่วนใหญ่จะเป็น ‘ร้านอาหารต้าจ้ง’ ‘ร้านอาหารชวิ๋นจ้ง’ และ ‘ร้านอาหารเซี่ยงหยาง’

ชื่อร้านอาหารทั่วไปจะดูธรรมดามาก ส่วนร้านอาหารฝรั่งชื่อจะแปลก ๆ หน่อย คนอ่านไม่เข้าใจ ซึ่งชื่อทั้งสองแบบนี้มันตัดกันมาก

แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีชื่อที่แตกต่างออกไป และมีเสน่ห์ความเป็นโบราณเล็กน้อย มันจึงดึงดูดผู้คนจำนวนมากได้ชั่วขณะหนึ่ง

คนเฒ่าคนแก่บางคนถึงกับเริ่มคิดถึงชื่อร้านอาหารในเมืองหลวงเมื่อหลายสิบปีก่อนอะไรพวกนี้แล้ว

และยังมีคนหนุ่มสาวที่รู้สึกว่าชื่อหออีหมิงน่าสนใจมาก ยังดีกว่าพวกต้าจ้ง เซี่ยงหยางอะไรพวกนั้นเสียอีก

แน่นอนว่าก็มีบางส่วนที่รู้สึกว่าชื่อหออีหมิงไม่ดี และมีความคิดว่าเราจะสูญเสียมรดกความเป็นศักดินาไป

สรุปแล้วก็คือ การเปิดตัวของร้านหออีหมิงสร้างผลกระทบเล็กน้อยในเมืองหลวง

คนส่วนใหญ่มีความคิดแบบเดียวกัน อีกอย่างชื่อนี้ก็ดึงดูดความสนใจของคนได้เยอะมาก เรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่น่าประหลาดใจจริงเชียว

ขนาดไม่ได้โฆษณาเรื่องร้านด้วยนะ แค่เปิดตัววันแรกก็มีคนสนใจเยอะแยะเลย

ส่วนลูกค้าพวกนี้ก็มีทุกแขนง ช่วงแรกที่เปิดร้าน สถานการณ์แบบนี้คือเรื่องปกติมาก

เพราะตอนนี้ยังไม่มีแวดวงลูกค้าประจำเกิดขึ้น

แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป วันเวลาจะคัดลูกค้าที่ไม่เหมาะกับร้านเราออก และในที่สุดก็จะมีลูกค้าประจำเกิดขึ้นมาเอง

ตอนนี้พวกเด็ก ๆ ยังไม่เปิดเทอม พวกเขาเลยมาคอยช่วยงานที่ร้าน เด็ก ๆ รู้ความมาก ต่างคนต่างทำหน้าที่และดูแลร้านอย่างเป็นระบบระเบียบ

ฉืออี้หย่วนเริ่มใส่ผ้ากันเปื้อนและช่วยงานต่าง ๆ เขาเคยขายอาหารเช้ากับคุณย่าซูมาช่วงหนึ่ง พอทำเรื่องแบบนี้จึงคุ้นเคยกว่าเด็กบ้านซูมาก

เสี่ยวเถียนไม่อยากช่วยงานในครัว เธออยากเสิร์ฟอาหาร แต่คุณย่ากลัวเพราะหลานยังเด็กเกินไป ถ้าเกิดทำซุปหกแล้วลวกใส่ขึ้นมาล่ะ สุดท้ายก็ไม่ได้ให้ทำ

เพราะแบบนี้ สิ่งเดียวที่เสี่ยวเถียนทำได้คือต้อนรับแขก

วันนี้มีแขกไม่น้อยเลย โต๊ะยี่สิบตัวรวมชั้นบนและชั้นล่างนั่งไปครึ่งนึงหลังจากใช้เวลาไม่นาน

เสี่ยวเถียนเป็นคนปากหวาน ชอบยิ้มแย้ม ตอนนี้กำลังต้อนรับแขกอยู่ตรงโถงใหญ่

คนอื่น ๆ ที่กำลังทำงานของตน เมื่อเห็นเสี่ยวเถียนไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายอะไรก็ปล่อยให้เธอทำต่อไป

ชาติก่อน เสี่ยวเถียนก็ทำงานในร้านอาหาร เธอทำได้ราบรื่นมาก ๆ ทั้งต้อนรับแขกและพาไปนั่งที่โต๊ะ ใช้คำพูดอย่างมีชั้นเชิงเพื่อกระตุ้นอารมณ์ของพวกเขา

พวกแขกประหลาดใจมากที่เด็กผู้หญิงตัวเล็กแบบเสี่ยวเถียนจะทำได้

บางคนยังชื่นชมด้วยซ้ำ

หลังจากส่งแขกโต๊ะนี้ขึ้นไปชั้นบน เสี่ยวเถียนก็มองไปที่ประตู

ตอนนั้นเองที่เธอเห็นคนรู้จัก!

เขาไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเสี่ยวหรุ่ยนั่นเอง

นับได้ว่าเสี่ยวเถียนกลัวผู้หญิงสติไม่ค่อยดีคนนี้นัก พอเห็นเธอปรากฏตัวก็แทบจะเอามือตบหน้าผากและบอกไปว่าบ้านเราไม่รับคนแบบพวกเธอหรอกนะ

เธอคร่ำครวญก่อนถอนหายใจ เป็นชะตากรรมที่โหดร้ายอะไรแบบนี้!

ทำไมคนทั้งสองที่ไม่ควรจะได้พบกัน ถึงเจอกันบ่อยครั้งอย่างอธิบายไม่ได้นะ?

ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะปฏิเสธในทันทีนะ

แต่คนทำธุรกิจต้องมีน้ำอดน้ำทน คนที่มาที่ร้านคือแขก ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธพวกเขาไม่ให้เข้าร้าน!

เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง เสี่ยวเถียนตัดสินใจแทบจะทันที

เธอหลบอย่างรวดเร็วและพุ่งเข้าไปหลังครัว

เช่นนั้นเสี่ยวหรุ่ยจึงไม่เห็นเสี่ยวเถียน

หลังจากเข้ามาในร้านอาหาร เด็กหญิงก็กวาดสายตามองไปรอบ ๆ เพราะมันแค่แวบเดียวทำให้เธอเห็นคนที่คิดถึงทั้งวันทั้งคืน

เสี่ยวหรุ่ยไม่รู้ว่าตนเป็นอะไร ทำไมเธอถึงสนใจผู้ชายที่เคยเจอกันเพียงครั้งเดียวด้วย!

แต่ไอ้ความรู้สึกที่คิดถึงทั้งวันทั้งคืนมันน่าอึดอัดเหลือเกิน อันที่จริงวันนี้พ่อแม่พาเธอมากินข้าว แต่เธอไม่ได้สนใจเลย

แต่ตอนนี้เธอกลับขอบคุณที่มาด้วยกันกับพวกเขา

และเรื่องประหลาดใจก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว!

เสี่ยวหรุ่ยมองไปรอบ ๆ อีกครั้งโดยไม่รู้ตัว เพื่อให้แน่ใจว่าไม่เห็นซูเสี่ยวเถียน

และเธอมีความสุขมากก่อนรีบบอกพ่อกับแม่ และวิ่งไปทางฉืออี้หย่วน

ผู้เป็นพ่อขมวดคิ้วทันทีเมื่อเห็นลูกสาววิ่งไปหาเด็กหนุ่มอย่างมีความสุข เสี่ยวหรุ่ยมีความสุขมากจนลืมไปเสียสนิทว่าพ่อแม่ต้องค้านเรื่องนี้แน่

ส่วนผู้เป็นแม่แปลกใจที่เห็นลูกสาววิ่งไปหาเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้างดงาม

“เหล่าโจว เสี่ยวหรุ่ยมาทำอะไรที่นี่?”

ตอนที่ลูกสาวไปสอบ ผู้เป็นแม่ไม่ได้มาด้วยจึงไม่เคยพบฉืออี้หย่วนเลย

แต่หลังจากที่มองไปยังเด็กคนนั้น โดยเฉพาะตอนที่เห็นว่าสวมผ้ากันเปื้อนและเหมือนจะช่วยงานร้านอาหารอยู่ สีหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นย่ำแย่ทันที

พ่อเสี่ยวหรุ่ยจำเด็กคนนี้ได้ ใบหน้าเขามืดมน แต่ก็ต้องตอบคำถามของภรรยา

“ก่อนหน้านี้ที่พาลูกมาสอบ บังเอิญเจอเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งน่ะ เสี่ยวหรุ่ยดูจะสนใจเขา”

ยิ่งเขาพูดเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองอาจจะเจอปัญหา

และแน่นอนว่าวินาทีต่อมา เสียงแหลมเสียดหูของภรรยาก็ลอยเข้าหู!

“ไร้สาระ เสี่ยวหรุ่ยเพิ่งจะอายุเท่าไร? ตอนนี้ต้องตั้งใจเรียนอย่างเดียวเท่านั้น จะไปมีความรักไร้สาระพวกนั้นได้ยังไง?”

แม่เสี่ยวหรุ่ยลดเสียงลง และน้ำเสียงของเธอฟังดูไม่ค่อยดีเท่าไรนัก

“ก็บ้านเด็กคนนั้น…” เขาพยายามอธิบาย

“บ้านเด็กคนนั้นมันทำไม เรื่องแบบนี้เราประมาทได้หรือ? เด็กอายุสิบสามสิบสี่ เรื่องพวกนี้น่าจะเข้าใจได้แล้ว!” ภรรยาพูดอย่างเดือดดาล

“งั้นฉันจะไปเรียกลูกกลับมา!”

ถึงเขาจะเอ่ยแบบนั้น แต่เท้ากลับไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด

“ดูไม่ออกหรือไงว่าคนพวกนี้มันเป็นใคร ทำงานร้านอาหารจะมารู้จักมักจี่กับลูกได้ยังไง? เหล่าโจว ฉันให้คุณดูลูกแค่วันเดียว เห็นบ้างไหมว่าตอนนี้ผลของมันเป็นยังไง?

“เขาเป็นเด็กนักเรียนอยู่แล้ว” เขาอธิบายต่อ

“งั้นคุณดูผ้ากันเปื้อนบนตัวเขาสิ ดูมือที่มันเยิ้ม ดูหน้าดูตาแบบนั้นด้วย ตรงไหนที่มันเหมือนนักเรียนหรือ? เหล่าโจว คุณทำให้ฉันผิดหวังมาก!”

ตอนแม่ของเสี่ยวหรุ่ยพูด น้ำเสียงของเธอย่ำแย่ ทั้งยังกล่าวโทษสามีอีกต่างหาก

เธอคิดว่าเพราะสามีดูลูกไม่ดี เลยเกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นมา ถ้ารู้ก่อนหน้านี้คงจะส่งลูกไปสอบเป็นการส่วนตัว แล้วก็จะไม่เกิดเรื่องอย่างลูกปวดท้องจงส่งผลต่อคะแนนด้วย

และจะยิ่งไม่เกิดเรื่องอย่างที่ลูกสาวสนใจคนต่ำต้อยด้วย

แม้ว่าพ่อเสี่ยวหรุ่ยจะวางมือจากตำแหน่งหัวหน้าสำนักการศึกษาแล้ว แต่เวลาคนนอกมองมา เขาก็ยังดูมีอำนาจอยู่

ส่วนแม่เสี่ยวหรุ่ยทำหน้าที่ดูแลครอบครัว

ตอนนั้นเสี่ยวหรุ่ยมาถึงตรงหน้าฉืออี้หย่วนแล้ว

และฉืออี้หย่วนก็ยังจำเสี่ยวหรุ่ยได้ขึ้นใจ