“ออกหมายเรียกพี่สามไปไต่ถามงั้นรึ” เจียงซื่อหัวใจกระตุกวาบ
อวี้จิ่นยิ้ม “อาจมีความเป็นไปได้ เจ้าควรเตรียมใจไว้ก่อน แต่อย่าเพิ่งยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดกับพี่สามของเจ้า เพราะบางทีข้าอาจจะกังวลมากไปเอง”
เจียงซื่อพยักหน้า “อื้ม”
“เช่นนั้นข้าจะนำตัวมือสังหารกลับไปก่อน แล้วให้หลงต้านส่งเจ้ากลับจวน”
ทั้งสองเดินเคียงคู่กันออกไป
เจียงเชี่ยวและอีกสองคนหันมามองพร้อมกัน
เจียงซื่อเดินเข้าไป พูดด้วยท่าทางเรียบเฉย “พี่สาม น้องห้า น้องหก พวกเราไปกันเถอะ”
สี่พี่น้องนั่งเบียดอยู่ในรถม้าคันเดียวกัน มีเหล่าฉินเป็นคนขับมุ่งหน้าไปที่จวนตงผิงปั๋ว ขณะที่เจียงเชี่ยวและอีกสามคนเดินพ้นประตูออกมาขึ้นรถ รถม้าที่เคลื่อนตามหลังมานั้นไม่มีผู้ใดนั่ง
เจียงเพ่ยมองสำรวจสีหน้าของเจียงซื่อเงียบๆ เพียงครู่เดียวก็เอ่ยถามออกไป “พี่สี่ เมื่อครู่ท่านผู้นั้นคือเยี่ยนอ๋องหรือเจ้าคะ”
เจียงซื่อมองนางพร้อมกับรอยยิ้มที่เหมือนไม่ยิ้ม จากนั้นก็ถามย้อนกลับไป “มิเช่นนั้นล่ะ”
เจียงเพ่ยได้รับคำถามเป็นคำตอบแทนเช่นนี้ จึงยิ้มหน้าเหยเก
นางรู้อยู่แล้วว่าบุรุษที่สามารถอยู่สองต่อสองกับเจียงซื่อได้ท่านนั้นก็มีเพียงแต่เยี่ยนอ๋องพี่เขยของนาง ทว่าก็อดถามออกไปไม่ได้จริงๆ
พี่สี่ของนาง เป็นคุณหนูจากจวนปั๋วธรรมดาสามัญที่เคยถูกยกเลิกการถอนหมั้น เหตุใดถึงได้ก้าวกระโดดขึ้นกลายเป็นพระชายาอ๋องได้นะ
จนถึงตอนนี้เจียงเพ่ยยังรู้สึกไม่อยากจะเชื่อเลย
ในหัวของนางมีภาพอวี้จิ่นฉายซ้ำไปซ้ำมา จึงชำเลืองมองเจียงซื่ออย่างอดไม่ได้พร้อมกับคิดอยู่ในใจ สุดท้ายแล้วก็เป็นเพราะพี่สี่หน้าตาสะสวย เยี่ยนอ๋องจึงถูกใจความงดงามของพี่สี่
โฉมหน้าที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด นี่เป็นเรื่องที่อิจฉาไม่ลง ใครใช้ให้นางไม่เกิดมาจากฮูหยินปั๋วที่เสียไปเมื่อนานมาแล้วกันล่ะ
เจียงเพ่ยครุ่นคิดด้วยความขุ่นเคือง ภายในรถม้าที่อัดแน่น ตามมาด้วยเสียงเอี๊ยดอ๊าดอันน่าเบื่อของล้อรถ ทำให้ต้องพูดอะไรออกมาสักอย่างอย่างอดไม่ได้
“พี่สี่ เมื่อครู่ได้ยินท่านกับพี่เขยคุยกัน มีคนชั่วลอบสังหารจอหงวนหลานจริงรึเจ้าคะ”
เจียงลี่ดึงปลายแขนเสื้อเจียงเพ่ยเบาๆ พลางเอ่ยกระซิบ “น้องหก อย่าถามอีกเลย พวกเราไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนี้”
เจียงเพ่ยกลอกตาใส่เจียงลี่ “พี่ห้าขี้ขลาดเสียจริง ในรถไม่มีผู้อื่นสักหน่อย ถามดูจะเป็นอะไรไป เรื่องน่ากลัวเช่นนั้น ท่านไม่อยากรู้หรือ มัวแต่นี่ก็ไม่กล้าถาม นั่นก็ไม่กล้าพูด เช่นนั้นก็ไปหลบซ่อนตัวให้ดีเถอะ”
เจียงลี่หลุบตาลง ไม่เอ่ยปากพูดอะไรออกมาอีก
เจียงเชี่ยวทนดูไม่ได้ จึงถลึงตาใส่เจียงเพ่ย “น้องหก ในฐานะที่เป็นน้องสาว พูดจาเช่นนี้กับพี่สาวได้อย่างไรกัน”
ในใจเจียงเพ่ย ถึงแม้นางจะเป็นลูกสาวของอนุภรรยา แต่บิดาเป็นลูกคนโต และเป็นขุนนางตำแหน่งผิ่นระดับสี่ที่มีอนาคตไกล ทว่าเจียงเชี่ยวนั้นถึงแม้จะเป็นลูกแท้ๆ โดยสายเลือด แต่กลับเกิดจากสามัญชน บิดาไม่ได้เป็นขุนนางเลยด้วยซ้ำ เป็นเพียงแค่ลูกน้องช่วยท่านลุงจัดการงานต่างๆ เท่านั้นเอง หากพูดถึงเรื่องสถานะ นางยังมีเกียรติมากกว่าซะอีก
เมื่อได้ยินเจียงเชี่ยวพูดเช่นนี้ นางยอมได้เสียที่ไหน จึงพูดพึมพำออกมา “พี่สี่ยังไม่ว่าอะไรเลย พี่สามจะรีบพูดออกมาทำไม”
เจียงเชี่ยวโมโหขึ้นมาทันที และกำลังจะเถียงกับเจียงเพ่ย
เจียงซื่อแค่นเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ “น้องหกอยากฟังข้าพูดจริงหรือ”
เจียงเพ่ยเก็บอารมณ์โกรธอย่างรวดเร็ว ยิ้มพูดออกไป “แน่นอนเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อมองตรงไปที่เจียงเพ่ย จึงพูดอย่างไม่รีบร้อน “ในเมื่อน้องหกอยากฟังข้าพูด เช่นนั้นข้าจะเตือนเจ้าไว้อย่างหนึ่ง ขอน้องหกโปรดจำไว้ด้วย จากนี้ไปห้ามเรียกเยี่ยนอ๋องว่าพี่เขย”
“เช่นนั้นควรเรียกว่าอะไรล่ะเจ้าคะ” เจียงเพ่ยถามด้วยความอึดอัดใจ
“เจ้าควรจะเรียกเขาว่าท่านอ๋อง”
ดวงตาคู่สวยฉายแววไม่สะทกสะท้าน แต่เจียงเพ่ยรู้สึกราวกับว่ามันเต็มไปด้วยการเย้ยหยัน
นางหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันที พร้อมกับยิ้มเหยเกพูดขึ้น “แต่ว่าเขาเป็นพี่เขยจริงๆ นี่นา”
เจียงเชี่ยวหัวเราะเยาะออกมา “น้องหก น้องสี่เตือนเจ้าแล้วนะ เหตุใดเจ้าถึงยังไม่เข้าใจอีก กฎของราชวงศ์จะเหมือนกับสามัญชนคนธรรมดาได้อย่างไร นั่นคือท่านอ๋องผู้สง่างาม ยังไม่ได้อภิเษกสมรสกับน้องสี่เลย เจ้าเอาแต่เรียกว่าพี่เขยเต็มปากเต็มคำ ผู้ใดได้ยินเข้าจะไม่เอาไปหัวเราะเยาะกันรึ”
เมื่อเห็นว่าเจียงเพ่ยยังไม่ยอมแพ้ เจียงเชี่ยวจึงถามย้อน “เจ้าเคยได้ยินพ่อตาของฮ่องเต้เรียกฮ่องเต้ว่าลูกเขยหรือไม่”
ในที่สุดเจียงเพ่ยก็เงียบ แล้วก้มหน้าพูดออกไป “พี่สี่ ข้าผิดไปแล้ว จากนี้ไปจะไม่เรียกมั่วซั่วแล้วเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อหลับตาลง ไม่พูดอะไรออกมาอีก
ความอดทนของนางที่มีต่อน้องสาวคนนี้สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้
รถม้ามุ่งหน้าไปยังประตูที่สองของจวนตงผิงปั๋ว พี่น้องทั้งสี่คนเดินตามกันลงมาจากรถม้า
หลังจากที่แยกกับเจียงลี่และเจียงเพ่ยที่ทางเข้า เจียงเชี่ยวก็คว้ามือเจียงซื่อไว้ “น้องสี่ ข้าทำให้เจ้าลำบากหรือไม่”
เจียงซื่อยืนนิ่ง เอ่ยถามออกไปน้ำเสียงเรียบเฉย “พี่สามถามเช่นนี้ได้อย่างไร”
ในบรรดาพี่น้องในจวน แม้เจียงเชี่ยวจะมีนิสัยตรงไปตรงมา ดูเหมือนเป็นคนเปิดเผย ทว่าในช่วงสำคัญกลับอ่อนไหวยิ่งนัก
เจียงซื่อคิดว่าทุกคนล้วนมีข้อเด่นข้อด้อยแตกต่างกันออกไป อย่างเช่นนางที่แม้แต่ผ่านการกลับชาติมาเกิดแล้ว บางครั้งก็ยังคงทำเรื่องโง่ๆ เช่นเดิม
เจียงเชี่ยวบิดผ้าเช็ดหน้า “ได้ยินท่านอ๋องตรัสว่าเป็นมือสังหาร ข้าเลยคิดว่ามันจะบังเอิญขนาดนี้ได้อย่างไร ตอนที่ข้าถูกผลักออกไปขวางขบวน มือสังหารก็กระโดดออกมา ในเมื่อคนที่ผลักข้าไม่ใช่น้องหก บางที…บางทีอาจจะเป็นมือสังหาร หากเป็นเช่นนี้ข้าสร้างความลำบากให้เจ้าแล้วสินะ…”
เจียงเชี่ยวยิ่งพูดก็ยิ่งกลุ้มใจ “หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้แต่แรก ข้าก็ไม่ควรออกไปเล่นสนุกข้างนอก…”
เจียงซื่อกุมมือเจียงเชี่ยวไว้ พลางเอ่ยปลอบใจ “พี่สามอย่าเพิ่งคิดมาก กลับไปพักผ่อนเถิด หากเป็นเรื่องขึ้นมาจริงๆ ข้าจะไปหาท่านอ๋องเพื่อคิดหาทางออกแน่นอน”
“เช่นนั้นก็รบกวนน้องสี่แล้ว” เจียงเชี่ยวรู้สึกกลุ้มใจเล็กน้อย
ทั้งสองแยกกันได้ไม่นาน ก็มีคนในวังมาเชิญเจียงเชี่ยวออกไป
“เรียกตัวคุณหนูสามจริงรึเจ้าคะ” เฝิงเหล่าฮูหยินถามซ้ำอีกรอบ พร้อมกับพึมพำอยู่ในใจไม่หยุด
หรือว่าจะผิดพลาด แม้ในวังจะเรียกตัวก็ควรจะเรียกเจียงซื่อสิ เจียงเชี่ยวเกี่ยวข้องอะไรกับในวังกัน
ขันทีหงุดหงิดเล็กน้อย “เป็นคุณหนูสามแน่นอนไม่มีผิด”
เฝิงเหล่าฮูหยินเห็นสีหน้ามั่นใจของขันที จึงทำได้เพียงกำชับบ่าวรับใช้ให้ไปเรียกตัวเจียงเชี่ยว
เจียงซื่อทราบข่าวก็ออกไปส่งเจียงเชี่ยวด้วยตัวเอง ระหว่างเดินก็เอ่ยกระซิบไปด้วย “พี่สามทำใจให้สบาย หากมีคนถามเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นก็พูดออกไปตามความจริง มีเยี่ยนอ๋องอยู่ พวกเขาไม่ทำให้ท่านลำบากใจหรอก”
เจียงเชี่ยวพยักหน้า ตามขันทีขึ้นไปบนรถม้า
พอเห็นว่ารถม้าขับออกไปไกลแล้ว เจียงซื่อถึงได้กลับ
เฝิงเหล่าฮูหยินเอ่ยถามอย่างร้อนใจ “ซื่อเอ๋อร์ เหตุใดถึงได้มีคนในวังมาเรียกตัวพี่สามของเจ้าไป”
เจียงซื่อทำหน้างงงวย “หลานก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินแทบสำลักตาย เห็นอยู่แท้ๆ ว่าเจียงซื่อกำลังกลับกลอกปลิ้นปล้อน แต่กลับโมโหออกมาไม่ได้ ได้แต่อดกลั้นจนใจเจ็บ
ณ ภายในพระราชวัง จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็อดกลั้นจนใจเจ็บเช่นกัน
“พวกเจ้าทำอะไรลงไป คาดไม่ถึงเลยว่าขบวนอวดโฉมขุนนางจะมีคนชั่วบุกเข้าไปสังหารจอหงวนหลาง แถมยังเป็นคนต่างถิ่นอีก! พวกเจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าหากเขาถูกคนสารเลวเอาตัวไป ผลที่ตามมาจะเกิดอะไรขึ้น”
ทุกคนต่างคุกเข่าก้มหัวลงกับพื้น น้อมรับความพิโรธของจิ่งหมิงฮ่องเต้ พร้อมกับรู้สึกหวาดกลัวกันขึ้นมา
ตำแหน่งจอหงวนหลางครั้งนี้ไม่เหมือนที่ผ่านมา นี่เป็นนิมิตมงคลอันหาได้ยากเชียวนะ หากถูกสังหารต่อหน้าประชาชนนับร้อยนับพัน จะเรียกว่ารากฐานต้าโจวสั่นคลอนก็ยังได้เลย
เมื่อประชาชนสามัคคี บ้านเมืองก็จะมั่นคง แต่หากประชาชนสั่นคลอน บ้านเมืองก็จะตกอยู่ในอันตราย
ความเจริญนั้นมีขึ้นมีลงตามสถานการณ์ของบ้านเมือง ยามมงคลผู้คนรวมตัว หากอัปมงคลผู้คนล้วนสลาย โชคชะตาของบ้านเมืองขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจของประชาชนไม่น้อย บางครั้งเพียงแค่เหตุการณ์ไม่ลงรอยกันเรื่องเดียว ก็อาจทำให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายอย่างหนัก
จิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นท่าทีคัดค้านของพวกข้าราชบริพานจนชิน ยากที่จะได้เห็นเจ้าหัวแข็งพวกนี้กลัวจนตัวสั่นงันงก จู่ๆ ระหว่างที่โกรธก็แอบรู้สึกดีอยู่เล็กน้อย
เขาทำหน้าเคร่งขรึม ชำเลืองมองอวี้จิ่นที่อยู่ไม่ไกล