ภาค-2-ตำนานเฟิงอี้ ตอนที่ 41 ศึกริมฝั่งน้ำ (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

เสี่ยวซุ่นจื่อเอ่ยอย่างนิ่งสงบ เดิมทีข้าสมควรทรมานบีบให้เจ้าเอ่ยความจริง ทว่ายามนี้ชีวิตเจ้าเหลืออีกเพียงชั่วครู่ เช่นนั้นก็ช่างเถิด เจ้าดื่มด่ำกับมันให้ดีก็แล้วกัน เมื่อไปพบชินอ๋องในยมโลกก็ฝากทักทายแทนคุณชายของข้าด้วย กล่าวจบก็คำนับน้อยๆ

เพชฌฆาตใจทมิฬจิตใจผ่อนความตึงเครียดจึงทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น ตอนนี้เองเสี่ยวซุ่นจื่อจู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า เผยอวิ๋นกับเซี่ยโหวหยวนเฟิงผู้ใดวรยุทธ์สูงกว่า

เพชฌฆาตใจทมิฬไม่เข้าใจความนัยจึงตอบว่า เซี่ยโหว… ทันใดนั้นเขาก็ได้สติ แล้วรีบเปลี่ยนคำพูด เซี่ยโหวหยวนเฟิงมิเคยประมือด้วย จึงมิรู้ตื้นลึก

เสี่ยวซุ่นจื่อมองเขาอย่างเฉยชา ไผ่ระทม คุณชายของข้าฝากถ้อยคำมอบให้ท่านหรงกับท่านลู่กง ก่อนนี้แม้คุณชายมิเคยผิดต่อหนานฉู่ แต่หวนคะนึงความผูกพันแต่หนหลัง ในใจจึงยังละอาย ทว่าวันนี้คุณชายเกือบจบชีวิต ย่อมมิมีเยื่อใยใดกับหนานฉู่อีก วันหน้าหากพบหน้าในสนามรบคงเป็นเพียงคนแปลกหน้าเท่านั้น กล่าวจบ ร่างกายของเขาก็ขยับวูบเดียวออกไปไกลหลายจั้งในชั่วพริบตา เพียงครู่เดียวก็หายลับไปท่ามกลางความมืด

ไผ่ระทมมีสีหน้าโล่งใจแล้วก้าวเข้าไปตรวจสอบ เพชฌฆาตใจทมิฬตายแล้ว ไม่เหลือลมหายใจสักเศษเสี้ยว บนใบหน้ายังมีรอยยิ้มเหนื่อยล้าประดับอยู่ราวกับได้ละวางภาระหนักอึ้งลงเสียที เขาอุ้มศพของเพชฌฆาตใจทมิฬขึ้นมาแล้วมองดูศัตรูที่ไร้เรี่ยวแรงอยู่บนพื้น เขารู้ว่าหากตนสังหารพวกเขาย่อมล่วงเกินหลี่ซุ่นครั้งใหญ่จึงได้แต่ถอนหายใจแผ่วเบา แล้วขึ้นเรือคว้าไม้พายลอยเรือจากไป

เรือลำน้อยของเขาเพิ่งหายลับพงดอกกกฝั่งตรงข้าม แม่นางสามแห่งสำนักเฟิงอี้ผู้มีวรยุทธ์สูงที่สุดก็ขยับตัวได้แล้ว นางลุกขึ้นยืนแล้วป้อนยาแก้ควันสลายเรี่ยวแรงสูตรลับของสำนักให้แก่ทุกคน แม้มิใช่ยาแก้โดยตรงแต่ก็ได้ผลเช่นกัน ผ่านไปไม่นานทุกคนก็ล้วนลุกยืนได้

แม่นางเจ็ดอุทานอย่างตกตะลึง พี่สาม คิดไม่ถึงว่าในโลกนี้จะยังมียอดฝีมืออายุน้อยเช่นนี้อยู่อีก แม้แต่พี่ใหญ่หรือน้องเก้าก็คงเอาชนะเขามิได้ง่ายดายกระมัง

พวกตวนมู่ชิวแม้มีสีหน้าอับอายแต่ก็พยักหน้าเห็นด้วย

แม่นางสามมีสีหน้าสงสารเวทนาแล้วเอ่ยว่า พวกเจ้ารู้เพียงวรยุทธ์เขาสูงส่ง แต่มิรู้ว่าคนผู้นี้ต้องจ่ายค่าตอบแทนหนักหนา ฟังจากบทสนทนาของพวกเขา คนผู้นี้มีภูมิหลังเป็นขันที ถ้าเช่นนั้นใต้หล้าย่อมมีเพียงวิชาเดียวที่ทำให้เขาเก่งกาจได้ปานนี้ นั่นก็คือคัมภีร์ทานตะวันที่หายสาบสูญไปนานแล้ว แต่มิทราบว่าเขาตอนตนเองเพื่อฝึกวรยุทธ์วิชานี้ หรือว่าหลังจากเป็นขันทีจึงฝึกฝนวรยุทธ์วิชานี้ เฮ้อ วรยุทธ์วิชานี้แม้ยอดเยี่ยมล้ำเลิศ แต่หลังจากฝึกวิชา นิสัยจะโหดเหี้ยมอำมาหิตอย่างมิอาจเลี่ยง มีคนเช่นนี้อยู่ในยุทธภพ เกรงว่าสุดท้ายคงจะกลายเป็นเภทภัยใหญ่หลวง

แม้เมื่อครู่เฉียวเยี่ยนเอ๋อร์จะเอ่ยวาจาไร้มารยาท แต่ถึงอย่างไรนางก็ซาบซึ้งบุญคุณที่เสี่ยวซุ่นจื่อช่วยชีวิตนางไว้ ยามนี้จึงเอ่ยปากโต้ว่า พี่หมิงกังวลเกินไปแล้ว ในเมื่อคนผู้นี้มาแก้แค้นแทนนาย ถ้าเช่นนั้นเขาย่อมเป็นบ่าวรับใช้ของเจียงเจ๋ออัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งหนานฉู่ แม้ข้ามิเคยพบหน้าใต้เท้าเจียง แต่ก็รู้ว่าเขาใจกว้างสง่างาม มีความสามารถเหนือผู้คน บ่าวรับใช้ของเขาจะทำอันตรายใต้หล้าได้เช่นไรเล่า

แม่นางสามถอนหายใจ เพราะเป็นเช่นนี้ ข้าจึงหวั่นใจ แม้คนผู้นี้น่ากลัวแต่ก็เป็นเพียงจอมยุทธ์ผู้หนึ่ง ทว่าเจียงเจ๋อผู้นั้นเป็นยอดบัณฑิตแห่งแคว้นที่ไร้ผู้ทัดเทียม สองคนส่งเสริมกันและกัน เกรงว่าราชสำนักจรดปวงประชาของต้ายงคงมิอาจสงบสุข ครั้งนี้กลับไปจะต้องรายงานอาจารย์ หากอนาคตไม่จัดการเสีย เกรงว่าคงมีเพียงท่านแม่เฒ่าที่แก้ไขสถานการณ์ได้แล้ว

ทุกคนฟังจบพลันรู้สึกว่ามีเหตุผล ชนชั้นหัวหน้าของสำนักเฟิงอี้ช่างมองการณ์ไกลจริงๆ

พวกเขาต่างบอกกล่าวให้รักษาตัวแล้วแยกย้ายกันไปตามทางของแต่ละคน แม้ศึกนี้มิได้เล่าลือไปถึงหมู่ชาวบ้าน แต่ในราชสำนักมีผู้ล่วงรู้มากมาย เพชฌฆาตใจทมิฬเดิมก็เป็นยอดฝีมือที่มีน้อยนิดของหนานฉู่ ครั้งนี้ลอบสังหารในจวนยงอ๋อง ‘สำเร็จ’ แล้วยังสู้รบพันลี้จนเกือบจะหนีออกจากต้ายงได้ ครานี้เมื่อเสี่ยวซุ่นจื่อกำราบเขาลงได้จึงกลายเป็นบุคคลที่ถูกทุกฝ่ายจับตามองทันที หากมิใช่ชาติกำเนิดของเขากระอักกระอ่วน เกรงว่าคงมีคุณสมบัติท้าสู้ชิงตำแหน่งยอดฝีมือรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งของต้ายงแล้ว

ทว่าในยามนี้เสี่ยวซุ่นจื่อไม่รับรู้เรื่องนี้สักนิด ในใจเขาสงสัยเซี่ยโหวหยวนเฟิงยิ่งนัก แต่เกรงว่าคุณชายจะไม่อนุญาตให้ตนลงมือสังหารอีกฝ่าย ทว่าหากปล่อยเซี่ยโหวหยวนเฟิงลอยนวลเช่นนี้ ใต้หล้าไยมิเย้ยหยัน มิสู้ข้าชิงสังหารเขาเสีย ขอเพียงมิมีผู้ใดเห็น ใครจะรู้เล่าว่าข้าเป็นผู้ลงมือ ดังนั้นเสี่ยวซุ่นจื่อจึงไม่ติดต่อกับคนของจวนยงอ๋อง แต่รีบเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนกลับฉางอัน ผ่านไปไม่กี่ทิวาเขาก็กลับถึงฉางอัน หลังจากปลอมตัวเล็กน้อย เขาก็เลือกค่ำคืนหนึ่งมาเยือนจวนของเซี่ยโหวหยวนเฟิง เขารู้ว่าวันนี้เซี่ยโหวหยวนเฟิงน่าจะไม่มีธุระ ดังนั้นเขาจึงเตรียมตัวเข้าไปในจวนเพื่อลอบสังหาร ใครจะรู้ว่าเพิ่งเข้าใกล้จวนเซี่ยโหว ร่างหนึ่งก็ขวางเขาไว้ ขณะที่เขากำลังจะลงมือ คนผู้นั้นก็ถอดหมวกออกเผยให้เห็นใบหน้าที่ยังมีเค้าความอ่อนวัย คนผู้นั้นก็คือชื่อจี้ หนึ่งในแปดหัวหน้าแห่งค่ายลับ เสี่ยวซุ่นจื่อสีหน้าถมึงทึงหมายจะเดินผ่านไปอย่างไม่สนใจไยดี

ชื่อจี้รีบกล่าวว่า ข้ารับคำสั่งจากคุณชายมารอคอยท่านหลี่ที่นี่ คุณชายกล่าวว่า ท่านหลี่อย่าได้บุ่มบ่าม กลับไปพบหน้าเขาก่อนค่อยว่ากัน

เสี่ยวซุ่นจื่อสีหน้าเย็นยะเยือกไม่เอ่ยวาจาสักคำ ชื่อจี้จึงได้แต่เอ่ยต่อว่า คุณชายกล่าวว่าหากท่านหลี่มิกลับไปตอนนี้ หลังจากนี้ก็มิต้องกลับไปอีก

เสี่ยวซุ่นจื่อกำสองหมัดแน่น เขาย่อมรู้ว่าเจียงเจ๋อไม่มีทางเอ่ยเรื่องเช่นนี้เล่นๆ ดูท่าตนคงต้องกลับไปจริงๆ เขามองจวนเซี่ยโหวอย่างเหี้ยมเกรียมแวบหนึ่งแล้วหมุนตัวจากไป

ชื่อจี้รีบดึงหมวกลง เงาร่างหายลับไปท่ามกลางราตรีอย่างรวดเร็ว

เสี่ยวซุ่นจื่อรีบเร่งเดินทางกลับจวนยงอ๋อง เขาไม่อาบน้ำจัดการตนเองแต่ตรงไปสวนเหมันต์ทันที เมื่อเห็นองครักษ์ที่คัดเลือกมาใหม่ล้อมที่นี่ไว้จนน้ำมิอาจลอดผ่าน เขาจึงวางใจอยู่บ้าง เสี่ยวซุ่นจื่อเดินเข้าไปในห้องพักของเจียงเจ๋อ เห็นเจียงเจ๋อกำลังนอนท่องบทกวีซือจิง[1]อยู่บนตั่งนุ่มท่าทางผ่อนคลาย โหรวหลันที่ไม่ได้พบมาหลายวันอยู่ข้างกายเขา คล้ายกำลังฟังอย่างเพลิดเพลิน

เสี่ยวซุ่นจื่อรู้สึกว่าอารมณ์ผ่อนคลายลงในพริบตา ช่างเถิด ต่อให้ตอนนี้ไม่ได้ฆ่าเซี่ยโหวหยวนเฟิง คุณชายจะปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่สบายหรือไร เขาก้าวเข้าไปก้มตัวคารวะแล้วเอ่ยว่า บ่าวกลับมาแล้ว ขอคุณชายโปรดอภัย หลังจากนี้บ่าวมิกล้ากระทำบุ่มบ่ามอีกแล้ว

ข้าวางตำราลงแล้วมองเสี่ยวซุ่นจื่อผู้เนื้อตัวมอมแมม จากนั้นเอ่ยว่า ลำบากเจ้าแล้ว นั่งก่อนเถิด เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงทราบว่าเจ้าจะไปจวนเซี่ยโหวหยวนเฟิง

เสี่ยวซุ่นจื่อเอ่ยอย่างสงสัย บ่าวก็กำลังฉงนอยู่เช่นกันว่าคุณชายทราบร่องรอยของข้าได้เช่นไร แม้คนเหล่านั้นที่เห็นเหตุการณ์จะได้ยินบทสนทนาของข้า แต่ก็ไม่แน่ว่าพวกเขาจะส่งข่าวออกไปได้ทันเวลา

ข้ายิ้มเฝื่อนแล้วเอ่ยว่า เมื่อวานเซี่ยโหวหยวนเฟิงมาเยี่ยมเยือนด้วยตนเองเพื่อขออภัยกับข้า เขากล่าวว่าวันนั้นเขาอยู่ที่สวนเหมันต์จริง แต่ผู้ที่ลงมือลอบสังหารมิใช่เขา เขาเพียงพาเพชฌฆาตใจทมิฬจากไปเท่านั้น เพราะฐานะของผู้ที่ยิงศรใส่ข้าผู้นั้นสูงศักดิ์ เขาจึงมิกล้าออกหน้าขัดขวาง เพียงนำตัวเพชฌฆาตใจทมิฬไปเพราะต้องการทราบข้อมูลบางอย่าง แต่เพชฌฆาตใจทมิฬไม่ยอมบอกสิ่งใดทั้งสิ้นแล้วยังฉวยโอกาสหนีออกมา

เสี่ยวซุ่นจื่อตะลึง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า นั่นไยมิใช่เหลือเพียงหลี่หันโยวแล้ว

ข้ายิ้มชืดชาตอบว่า เดิมข้าก็เดาอยู่แล้วว่ามือสังหารดวงตาดุจสายน้ำวสันต์ มือเรียวงาม น่าจะเป็นสตรีนางหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าเซี่ยโหวหยวนเฟิงกลับยอมรับว่าตนเองอยู่ที่นั่นด้วย คิดว่าวันนั้นผู้ที่มาลอบสังหารคงมีกันถึงสามคน เพชฌฆาตใจทมิฬมาตามคำสั่งเสียของเต๋อชินอ๋องจึงไม่ต้องกังวลมาที่สุด เซี่ยโหวหยวนเฟิงกับรัชทายาทใกล้ชิดกัน เรื่องเช่นนี้คิดว่ารัชทายาทคงไม่ยินดีรบกวนสำนักเฟิงอี้ เซี่ยโหวหยวนเฟิงคงจะถูกรัชทายาทส่งมา แต่ประจวบเหมาะกับสำนักเฟิงอี้ต้องการสังหารข้าพอดี พระชายาฉีอ๋องซ่อนคันธนูไว้ก่อน ส่วนหลี่หันโยวลงมือด้วยตนเอง ด้วยเหตุนี้วันนั้นเซี่ยโหวหยวนเฟิงจึงมิได้ลงมือ ข้าคิดว่าหากเซี่ยโหวหยวนเฟิงเป็นผู้ยิงศรคนนั้นจริง เกรงว่าเขาคงสังหารเพชฌฆาตใจทมิฬปิดปากแล้ว เพียงแต่ว่าเหตุใดสำนักเฟิงอี้จึงคิดสังหารข้าเล่า หรือว่าร่องรอยของเรื่องนั้นหลุดออกไป

เสี่ยวซุ่นจื่อสีหน้าแปรเปลี่ยนไปมาหลายหนแล้วเอ่ยว่า คุณชาย สำนักเฟิงอี้เพ่งเล็งท่านแล้ว ครานี้พวกเราต้องระวังเพิ่มเป็นเท่าตัว

ข้าส่ายศีรษะอย่างเฉยชา ไม่มีปัญหา ครั้งนี้พวกเขาลอบสังหารไม่สำเร็จ หากเจ้าสำนักเฟิงอี้หยิ่งทะนงปานนั้นดังที่เล่าลือกันจริง ถ้าเช่นนั้นพวกนางคงไม่ลอบสังหารอีก หากกำจัดข้าด้วยหนทางอื่นมิได้ ชื่อเสียงของพวกนางคงเสียหาย ถึงอย่างไรตอนนี้หากข้าตายไป ทุกคนคงรู้ว่าเป็นการกระทำของสำนักเฟิงอี้ ข้าคิดว่าตอนนี้คงมิต้องกังวลความปลอดภัยของข้า แต่ต้องระวังลูกไม้อื่นของพวกนาง ยามนี้ข้าบาดเจ็บหนักจึงหลบเลี่ยงปลายกระบี่ของพวกนางที่ชี้มาได้พอดี แต่เจ้าชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมากะทันหัน ต้องระวังตัวเพิ่มสักหน่อย

เสี่ยวซุ่นจื่อพยักหน้า คุณชายกล่าวถูกต้อง บ่าวจะระวัง

ข้าบิดขี้เกียจแล้วเอ่ยว่า เจ้ากล่าวมาก็มีเหตุผล ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้าไปส่งโหรวหลันกลับเถิด

เสี่ยวซุ่นจื่อรีบเอ่ยว่า คุณชาย ข้ากระทำบุ่มบ่ามตามอำเภอใจ ท่านยังมิได้ลงโทษข้าเลยขอรับ?

ข้าเอ่ยอย่างเกียจคร้าน ได้ ลงโทษเจ้า ใช่แล้ว ข้าอยากกินขนมดอกกุ้ยนัก ลงโทษเจ้าไปซื้อขนมดอกกุ้ยอย่างดีมาหนึ่งกล่อง ต้องเป็นแบบที่ข้าชอบกินก่อนหน้านี้ ข้าสะลึมสะลือแล้วจึงมิทันตระหนักอย่างสิ้นเชิงว่าข้ากำลังพูดสิ่งใด

เสี่ยวซุ่นจื่อตะลึงงัน ขนมดอกกุ้ยเป็นขนมเด่นดังที่สุดของเมืองเจี้ยนเย่แห่งหนานฉู่ ที่นี่จะมีให้กินได้เช่นไร ต่อให้ตนกลับไปซื้อมาจากเจี้ยนเย่ นั่นก็ย่อมไม่สดใหม่แล้ว

เสี่ยวซุ่นจื่อเดินผ่านประตูออกมาอย่างเหม่อลอย ตอนนี้เองโจวอู่หัวหน้าขององครักษ์ทั้งห้าสิบคนก็เดินเข้ามา เมื่อเห็นเขาทำสีหน้าประหลาดเช่นนี้จึงถามขึ้นว่า ท่านหลี่ เกิดอะไรขึ้น ใต้เท้าสั่งอันใดหรือ

เสี่ยวซุ่นจื่อตอบอย่างกลัดกลุ้ม ทำเช่นไรจึงจะซื้อขนมดอกกุ้ยได้

โจวอู่อึ้งไปชั่วครู่แล้วพึมพำกับตนเอง ขนมดอกกุ้ย แต่เสี่ยวซุ่นจื่ออุ้มโหรวหลันเดินจากไปไกลแล้ว

[1]ซือจิง ตำรารวมบทกวีที่เก่าแก่ที่สุดของจีน รวบรวมกวีนิพนธ์ระหว่างยุคโจวตะวันตกจนถึงยุคชุนชิว

ตอนต่อไป