ภาค-2-ตำนานเฟิงอี้ ตอนที่ 42 ราชทูตจากหนานฉู่ (1)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

หนานฉู่ รัชศกถงไท่ปีที่หนึ่งเดือนสี่ เจ้าแคว้นจ้าวหล่งส่งราชทูตมายังต้ายงเพื่อมอบบรรณาการยอมสวามิภักดิ์ หมายเจรจาขอสงบศึกและใช้เงินทองมากมายไถ่ตัวเชลย

…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน บันทึกฉู่หยางอ๋อง

เที่ยงคืน ขณะที่ข้ากำลังหลับสนิท จู่ๆ ก็ถูกคนปลุกให้ตื่น เมื่อข้าลืมตาขึ้นอย่างโมโหโทโสก็เห็นเสี่ยวซุ่นจื่อประคองขนมดอกกุ้ยควันฉุยเข่งหนึ่งอย่างภูมิใจประหนึ่งกำลังถวายสมบัติ ข้านึกประหลาดใจแล้วถามเขาว่าเอามาจากที่ใด ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเมนูเด็ดของถนัดของ ‘ร้านกุ้ยเซียง’ ร้านขนมชื่อดังที่สุดของหนานฉู่เชียวนะ ข้าหยิบมาเคี้ยวหนึ่งชิ้น หอมหวานนุ่มหนึบ เข้าปากพลันละลาย ข้าถามอย่างพึงพอใจ ซื้อมาจากที่ใด หลังจากนี้ต้องไปเป็นลูกค้าบ่อยๆ แล้ว

เสี่ยวซุ่นจื่อสีหน้าเปลี่ยนไปหม่นหมองในทันที ข้าถามอย่างประหลาดใจ ทำไมหรือ

เสี่ยวซุ่นจื่อลังเลอยู่นานกว่าจะเล่าความจริง ที่แท้เขาคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจไปหาอาหารเลิศรสของต้ายงมาแทน ใครจะรู้ว่าเพิ่งก้าวออกจากประตูก็ได้ยินว่าราชทูตของหนานฉู่มาถึงฉางอันแล้ว เขาไปสืบข่าวที่ศาลาพักม้าตลอดคืน เดิมต้องการไปดูว่ามีเรื่องที่ส่งผลร้ายต่อข้าหรือไม่ ใครจะคิดว่าคณะราชทูตจะพาพ่อครัวสองคนจากร้านกุ้ยเซียงมาด้วย พวกเขากำลังจะทำขนมดอกกุ้ยอันลือชื่อสองเข่งเตรียมจะส่งไปให้เจ้าแคว้นจ้าวเจียกับองค์หญิงฉางเล่อที่ยังถูกกักบริเวณอยู่พอดี บางทีพวกเขาคงคิดจะประจบองค์หญิงฉางเล่อเพื่อให้การเจรจาลุล่วง แต่กลับถูกเสี่ยวซุ่นจื่อฉวยโอกาสใช้วิชาลักนภาเปลี่ยนตะวันขโมยเอาขนมดอกกุ้ยเข่งหนึ่งในนั้นที่เพิ่งทำเสร็จมา

ข้าเกือบจะเป็นลม ไม่รู้ว่าคณะราชทูตหนานฉู่ที่เสียขนมดอกกุ้ยไปจะแจ้งทางการหรือไม่ คิดแล้วก็รีบทำลายหลักฐานเสียเถิด ข้ากับเสี่ยวซุ่นจื่อแบ่งกันกินขนมดอกกุ้ยหนึ่งเข่งอย่างตะกรุมตะกราม ยามนี้ท้องฟ้าเริ่มสว่างแล้ว เสี่ยวซุ่นจื่อก็ออกไปแล้ว ข้าคิดจะนอนหลับอีกสักตื่น เสี่ยวซุ่นจื่อก็เข้ามารายงานอีกครั้ง คุณชาย ราชทูตแห่งหนานฉู่ลู่ช่านขอพบ

ข้านึกฉงน ลูกศิษย์ในอดีตของข้าคนนี้เหตุใดจึงมาขอพบข้าเล่า เขาไม่สมควรจะดูแคลนข้าหรอกหรือ ถึงอย่างไรข้าก็เป็นคนทรยศของหนานฉู่แล้ว ข้ามองเสี่ยวซุ่นจื่อผู้กำลังรอรับคำสั่งอย่างสงสัย เสี่ยวซุ่นจื่อหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก คุณชาย ยามนี้ท่านเป็นคนสนิทของยงอ๋อง เรื่องการเจรจาสงบศึกนี้ อย่างน้อยองค์ชายก็มีส่วนตัดสินใจอยู่สี่ส่วน หากอยากจะลงมือจากทางองค์ชาย คุณชายย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แม้เป็นการรบแพ้ขอเจรจาสงบศึกดุจเดียวกัน แต่คว้าผลประโยชน์มาได้เพิ่มสักส่วนก็เป็นประโยชน์ต่อหนานฉู่

ข้าลุกขึ้นนั่งแล้วรับเสื้อคลุมตัวนอกที่เสี่ยวซุ่นจื่อส่งมาให้ สวมอาภรณ์ไปพลางก็คิดว่าควรจะจัดการเช่นไรดี เดิมข้าคิดว่า ‘พบหน้าเพียงหนมิสู้ไม่พานพบ’ จึงคิดว่าจะไม่ยอมพบลู่ช่าน แต่หากเขาตระเวนไปทั่วเพื่อโน้มน้าวเรื่องการเจรจาสงบศึก ถ้าเช่นนั้นหากข้าไม่ให้โอกาสเขาก็ออกจะเกินไปสักหน่อย ไม่ว่าอย่างไรข้าก็เคยเป็นขุนนางของหนานฉู่ แล้วตอนนี้ยังเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของยงอ๋อง หากตนปฏิเสธอ้อมๆ เช่นนั้น ผู้คนภายนอกคงจะคิดว่ายงอ๋องไม่มีเจตนาจะสงบศึก เรื่องนี้จะหนักก็ได้จะเบาก็ได้ ข้าย่อมมิอาจจัดการส่งเดช

ข้าออกเดินสองสามก้าวแล้วรู้สึกว่าสภาพร่างกายวันนี้ไม่เลว ไปพบแขกน่าจะไม่มีปัญหา จึงเอ่ยว่า เชิญแม่ทัพลู่ไปพบข้าที่โถงบุปผา ตอนนี้ยังเช้าอยู่ เรียกคนจัดสำรับส่งไปที่โถงบุปผาด้วย เตรียมไว้มากสักหน่อย บอกว่าข้าเชิญแม่ทัพลู่รับประทานอาหาร องค์ชายน่าจะทราบแล้ว เจ้าส่งคนไปถามความเห็นขององค์ชายสักหน่อยว่าต้องการพบราชทูตจากหนานฉู่หรือไม่ เรื่องการเจรจาสงบศึกข้าไม่ค่อยรู้เรื่องนัก โก่วเหลียนน่าจะรู้กระจ่างกว่าข้า หากองค์ชายมิสะดวกมาก็เชิญพี่โก่วมาร่วมวงสักหน่อย จะได้หยั่งเชิงขีดจำกัดของหนานฉู่ด้วย เสี่ยวซุ่นจื่อ ลู่ช่านมาผู้เดียวหรือ

เสี่ยวซุ่นจื่อเอ่ยตอบ คุณชาย แม่ทัพลู่พาชายหนุ่มคนหนึ่งมาด้วย คนผู้นั้นหน้าตาไม่ธรรมดา น่าจะเป็นพวกที่สติปัญญาเหนือผู้อื่น

ข้ายิ้มน้อยๆ ก็ดี ลู่ช่านอย่างไรก็ยังอายุน้อย หากเขามาเพียงลำพัง ข้ากลับจะสงสัยว่าเขามาพบข้าเป็นการส่วนตัว ในเมื่อมีคนมาด้วย ถ้าเช่นนั้นย่อมมาเพราะเรื่องบ้านเมืองเป็นหลัก เอาละ ไปเชิญพวกเขาเข้ามาเถิด

ลู่ช่านยืนนิ่งสงบอยู่หน้าประตูจวนยงอ๋อง ตัวเขาผู้อายุยี่สิบสองปีกำลังอยู่ในช่วงวัยที่เต็มเปี่ยมด้วยกำลังวังชา แต่ชีวิตหลายปีในกองทัพทำให้เขาแลดูเป็นผู้ใหญ่กว่าคนรุ่นเดียวกัน หน้าตาของเขาองอาจไม่คล้ายคนในยุทธภพ เมื่อเห็นดวงตาทั้งคู่ของเขาซ่อนเร้นประกาย ภาพลักษณ์องอาจห้าวหาญแฝงความสุขุม ก็ทราบได้ว่าแม่ทัพหนุ่มผู้นี้เป็นยอดฝีมือผู้เก่งกาจทั้งบู๊และบุ๋น ด้านหลังเขาครึ่งก้าวมีชายหนุ่มอายุราวยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดปียืนอยู่ผู้หนึ่ง เขาสวมหมวกบัณฑิตทรงสี่เหลี่ยม หน้าตาหล่อเหลาสุภาพ ท่วงท่าการเคลื่อนไหวสง่างาม ทำให้คนเกิดความรู้สึกอยากใกล้ชิดสนิทสนม

ชายหนุ่มผู้นี้มองลู่ช่านผู้วางหน้านิ่ง ขณะที่ตัวเขาห้วงอารมณ์ถาโถมดุจเกลียวคลื่น เขามีนามว่าหยางซิ่ว เดิมเป็นคนแคว้นสู่ ยามแคว้นสู่พินาศ เขาท่องเที่ยวหาความรู้อยู่ต่างแคว้น ระหว่างที่หนานฉู่ยึดครองสู่จง เขาหวนกลับบ้านเกิด สู่จงภายใต้การปกครองของลู่โหวสงบเรียบร้อยยิ่งนัก แม้มีกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วก่อความวุ่นวาย แต่พวกเขาก็สร้างคลื่นลมใหญ่โตอันใดมิได้ หยางซิ่วใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านอย่างสงบสุขยิ่ง

กระทั่งเมื่อสองปีครึ่งก่อนหน้านี้ ศิษย์พี่คนหนึ่งของเขามีส่วนร่วมในการลอบสังหารลู่โหวจนต้องโทษกบฏ หยางซิ่วจึงถูกลากไปพัวพันและถูกขังคุก ผู้ที่รับผิดชอบสอบสวนตัดสินคดีก็คือลู่ช่านบุตรชายโทนของลู่โหว แม่ทัพหนุ่มผู้นี้ทำงานเด็ดขาดตรงไปตรงมา อีกทั้งยังว่ากันตามเนื้อผ้า หยางซิ่วจึงถูกตัดสินว่าไร้ความผิดและถูกปล่อยตัวออกมาอย่างรวดเร็วยิ่งนัก ลู่ช่านเห็นว่าเขามีจิตใจและความสามารถเหนือผู้คนจึงมาเยือนถึงบ้าน เชื้อเชิญเขามาเป็นที่ปรึกษาของตน

หยางซิ่วมิใช่คนคร่ำครึ เขาไม่เคยสอบได้ตำแหน่งขุนนางในแคว้นสู่ หากจะทำงานให้หนานฉู่ย่อมไม่นับว่าผิดหลักคุณธรรม หลังจากติดตามลู่ช่าน เขาก็ค้นพบจุดที่ยอดเยี่ยมเหนือผู้คนของแม่ทัพวัยเยาว์ผู้นี้ แม้ลู่ช่านอายุน้อย แต่วิธีจัดกระบวนทัพทหาร การวางกลยุทธ์การศึกล้วนเหนือกว่าผู้อื่นหนึ่งขั้น เมื่อครั้งที่ยงอ๋องบุกหนานฉู่กะทันหัน ลู่ช่านนำทหารกลับมาช่วยเหลือ ชิ่งอ๋องแห่งตงชวนฉวยโอกาสยกทัพประชิดชายแดนสู่จง ลู่ช่านนำทัพออกรับข้าศึก สองทัพปะทะกันหลายหน นายทหารฝีมือแกล้วกล้าที่ลู่ช่านบากบั่นปลุกปั้นมาล้มทหารหาญของต้ายง บีบให้ชิ่งอ๋องถอยทัพจนป้องกันหนานฉู่มิให้ต้องรับศึกสองด้านได้สำเร็จ แม้ความดีความชอบของลู่ช่านจะมิได้ถูกป่าวประกาศเพราะเจี้ยนเย่ถูกตีแตก แต่ในกองทัพหนานฉู่ก็มองลู่ช่านเป็นผู้สืบทอดของเต๋อชินอ่องจ้าวเจวี๋ยอยู่กลายๆ

สิ่งที่ทำให้หยางซิ่วยิ่งถอนหายใจด้วยความชื่นชมก็คือ แม้ลู่ช่านจะเกิดในตระกูลขุนศึก ร่ายกลอนเขียนบทความไม่เป็น แต่กลับแตกฉานปรัชญาและประวัติศาสตร์ ทุกครั้งยามถกเถียงเกี่ยวกับสาเหตุของชัยชนะและความปราชัยของขุนพลในประวัติศาสตร์ เขาล้วนอภิปรายได้แคล่วคล่องดุจนับสมบัติในบ้าน แม้แต่ตนเองในบางครั้งก็อดนับถือความรอบรู้ของลู่ช่านมิได้

หลายวันก่อนหยางซิ่วอดไม่ไหวจึงถามลู่ช่านว่าผู้ใดสอนสั่งบุตรชายแม่ทัพเช่นลู่ช่านจนแตกฉานตำราประวัติศาสตร์ ลู่ช่านกลับเงียบงันไม่ตอบคำ คิดไม่ถึงเมื่อวานเพิ่งมาถึงต้ายง ยื่นสารตราตั้งเสร็จ วันนี้ลู่ช่านก็พาตนมาพบเจียงเจ๋อผู้ที่ตนได้ยินชื่อเสียงมานานผู้นั้น แม้หยางซิ่วรู้จักเจียงเจ๋อผู้นี้ แต่มิได้สนใจเขามากมายนัก ก็แค่อัจฉริยะหนานฉู่ที่ยอมสวามิภักดิ์ หากมิใช่เหตุการณ์ลอบสังหารช่วงก่อนดังกระฉ่อนจนเขาต้องสนใจ เขาก็คงไม่ใส่ใจการมีอยู่ของเจียงเจ๋อ จนกระทั่งเมื่อวานเขาจึงเพิ่งทราบว่า ที่แท้เจียงเจ๋อก็คืออาจารย์ผู้มีบุญคุณต่อลู่ช่าน

จวบจนตอนนี้เขาก็ยังจดจำค่ำคืนเมื่อวานได้อยู่ ใต้แสงโคมสีเงิน ดวงหน้าของลู่ซ่านหลบเร้นอยู่ในเงามืด เขาเอ่ยด้วยท่าทางนิ่งสงบ ข้าดื้อรั้นตั้งแต่เล็ก ทุกวันไม่ปีนกำแพงปีนต้นไม้ก็ฟาดทวนเหวี่ยงกระบอง มิเช่นนั้นก็ไปวิวาทกับอันธพาลตามท้องถนน บิดามิอยากเห็นข้าไร้วิชาความรู้เช่นนี้จึงเชิญอาจารย์มาสั่งสอนข้า แต่ข้ากลับอาศัยกำปั้นไล่อาจารย์ไปหลายคน ท่านเจียงเป็นอาจารย์คนที่สี่ เดิมทีข้าคิดจะแสดงอำนาจให้เขาเห็น แต่เขามาถึงก็บอกข้าว่าเขาเพียงมาทำงานหาเลี้ยงปากท้อง ถึงอย่างไรหากข้าไล่เขาไป บิดาข้าก็ต้องเชิญคนใหม่มาอีก หากข้ายอมประนีประนอมกับเขา เขาจะให้พวกเราสองคนได้อยู่อย่างสบายๆ

ลู่ช่านพูดถึงตรงนี้ ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มจางแล้วเล่าต่อ ท่านเจียงบอกว่าขอเพียงข้าอยู่ในห้องหนังสือตอนเช้าทุกวัน ตอนบ่ายข้าจะไปทำสิ่งใดก็ตามใจ เขาจะไม่รั้งข้าไว้ร่ำเรียนมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นยังจะช่วยข้าปิดบังบิดาอีกด้วย ข้าตกลงทันที แต่ไม่กี่วันข้าก็นึกเสียใจ ทุกวันยามเช้าข้าต้องนั่งอุดอู้อยู่ในห้องหนังสือมองดูท่านเจียงอ่านหนังสืออย่างเพลิดเพลินโดยไม่สนใจข้า แต่หากกลับคำก็ออกจะเสียหน้าเกินไป

ต่อมาข้าจึงได้แต่ขอให้ท่านเจียงคิดหาวิธีให้ข้าฆ่าเวลา ท่านเจียงจึงบอกว่าหากเป็นเช่นนี้มิสู้ให้เขาสอนหนังสือข้าสักหน่อย แม้ข้ารู้สึกว่าน่าเบื่อ แต่ถึงอย่างไรก็ดีกว่าเบื่ออยู่ผู้เดียว คิดไม่ถึงว่าท่านเจียงความสามารถล้ำเลิศอย่างแท้จริง เขามิได้ให้ข้าท่องสี่ตำราห้าคัมภีร์เหล่านั้น ทั้งยังมิบังคับข้าแต่งโคลงกลอนเขียนบทกวี เขาบอกว่าข้าเป็นบุตรตระกูลขุนนางมิต้องไปสอบเคอจวี่ ร่ำเรียนของพวกนั้นไปหามีประโยชน์ไม่

เขาสอนคัมภีร์หลุนอวี่[1]ให้ข้าก่อน คัมภีร์หลุนอวี่ที่ผู้อื่นกล่าวกันว่าน่าเบื่อไร้สีสัน เขากลับสอนได้ลึกซึ้งน่าสนใจ หลังจากนั้นเขาจึงสอนตำราประวัติศาสตร์ให้ข้า เขาไม่ได้ท่องตำราให้ข้าฟัง แต่เล่าเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์เหล่านั้นให้ข้าฟังเหมือนนิทานแล้วสอดแทรกความคิดเห็นของตัวเขาเองกับเรื่องราวในบันทึกประวัติศาสตร์ฉบับไม่เป็นทางการมากมาย นับแต่นั้นทุกวันยามเช้า ข้าล้วนฟังเขาเล่านิทาน ต่อมาเขาเห็นข้าชื่นชอบการรบทัพจับศึกจึงสอนกลศึกและตัวอย่างสงครามในอดีตแก่ข้า ข้าก็ไม่รู้ว่าเขารู้เรื่องราวมากมายปานนั้นได้เช่นไร ทั้งที่เขาอายุมากกว่าข้าไม่กี่ปีแท้ๆ น่าเสียดายเวลานั้นข้ารักเล่นมากเกินไปจึงไม่เข้าใจว่าคำสั่งสอนของท่านอาจารย์ล้ำค่าเพียงไร จวบจนต่อมาข้าได้นำทหารออกศึกจึงรู้ว่าสิ่งที่อาจารย์สั่งสอนข้าสำคัญเพียงไร น่าเสียดายไม่มีโอกาสขอคำสั่งสอนจากอาจารย์อีกแล้ว

หยางซิ่ว ที่ข้าเล่าเรื่องราวเหล่านี้เพราะอยากให้เจ้าเข้าใจว่าอาจารย์ของข้าเป็นคนเช่นไร วันนี้เขาสวามิภักดิ์กับต้ายงแล้ว วันหน้ายากหลีกเลี่ยงพบหน้ากันในสนามรบ เจ้ามากกลอุบาย อนาคตย่อมเป็นคู่ต่อสู้ของเขา ข้าเพียงลำพังย่อมรับมือไม่ไหว เจ้าต้องคว้าโอกาสทำความเข้าใจเขาให้ดี หากมิเข้าใจศัตรูของตน เช่นนั้นย่อมมิอาจเอาชนะ

[1]หลุนอวี่ คัมภีร์รวบรวมคำสอนของขงจื่อนักปรัชญาคนสำคัญของจีนและบทสนทนาระหว่างเขากับลูกศิษย์

ตอนต่อไป