บทที่ 384 จุดจบของงานเลี้ยง

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 384 : จุดจบของงานเลี้ยง

บทที่ 384 : จุดจบของงานเลี้ยง

มูเอนผู้ได้รับพลังของเทพธิดาแห่งรัตติกาลวัลเพอร์กิสอย่างครบถ้วน นับได้ว่าเทียบเท่ากับแม่มดบรรพกาลตนใหม่ พรของเธอส่งผ่านอีเธอร์ที่ดูราวกับแสงจันทร์ ส่องสว่างบนร่างของโจเซฟ

ภายใต้แสงจันทร์ที่ดูราวกับน้ำ ร่างกายของโจเซฟพื้นสภาพอย่างรวดเร็วจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ไร้ร่องรอยการบาดเจ็บใด ๆ

แม้มูเอนจะไม่เข้าใจที่มาที่ไป แต่โจเซฟเป็นลูกค้าคนหนึ่งของร้านหนังสือ เจ้าของร้านหลินก็ไม่อยู่ ในฐานะผู้ช่วย เธอจึงต้องดูแลกิจการร้านหนังสือ

โจเซฟ ในฐานะอัศวินแห่งแสงของหอพิธีกรรมต้องห้าม บาดเจ็บสาหัสขนาดนี้แต่ไม่ได้กลับหอพิธีกรรมต้องห้าม

ปัญหาเห็นกันอยู่ชัด ๆ

มูเอนย่อมไม่สามารถปล่อยให้หอพิธีกรรมต้องห้ามสังเกตเห็นที่นี่ได้อยู่แล้ว

โจเซฟตื่นจากความวุ่นวาย สัมผัสความเจ็บปวดสุดซึ้งในร่างกายค่อย ๆ ชัดเจน เหมือนความเจ็บปวดจากการเผาไหม้เพิ่งมาถึงร่างกายของเขาในตอนนี้ แต่อัศวินชราก็ทำได้แต่เพียงขมวดคิ้วเล็กน้อย จากประสบการณ์การเป็นอัศวินมาหลายปี เจ็บปวดแค่นี้นับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่

สัมผัสทั้งห้าเริ่มฟื้นตัว กลิ่นชื้นน้อย ๆ ของหนังสือและกลิ่นชานมลอยแตะจมูก เขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้น และพบเพดานที่ค่อนข้างคุ้นตา

“ในที่สุดคุณก็ตื่นแล้ว” เสียงเหนื่อย ๆ ของเด็กสาวผู้หนึ่งดังเข้ามาในโสตประสาท “อัศวินโจเซฟ”

โจเซฟหันไปมองพรีม่าอย่างยากลำบาก และรูปลักษณ์ของเด็กสาวก็ค่อย ๆ สะท้อนในดวงตา

“ที่นี่คือ…?”

โจเซฟพูดอย่างไหลลื่นไม่ได้ชั่วขณะ เนื่องด้วยเส้นเสียงที่เพิ่งสร้างใหม่ของเขา

แต่อันที่จริง เขาก็เกือบจะจำมันได้แล้วล่ะ ที่นี่คือ…ร้านหนังสือของเจ้าของร้านหลิน?

พรีม่าพูดอย่างจริงจัง “ที่นี่คือร้านหนังสือของเจ้าของร้านหลินค่ะ ผู้บัญชาการอัศวินวินสตันขอให้ฉันพาคุณมารักษาอาการบาดเจ็บที่นี่”

“เจ้าของร้านหลินส่งเธอมา…?”

พรีม่าครุ่นคิดเล็กน้อย แม้จะบอกว่ารองประธานแอนดรูว์เป็นคนส่งเรามา แต่มันต้องเป็นการกระตุ้นจากเจ้าของร้านหลินแน่ ๆ ดังนั้นคงไม่ผิดถ้าจะบอกว่าเจ้าของร้านหลินขอให้เรามา…พรีม่าคิดยืนยันกับตัวเองในใจ

“ค่ะ” เธอตอบอย่างจริงจัง

อารมณ์ของโจเซฟซับซ้อนเมื่อได้ยินคำตอบของพรีม่า ในขณะเดียวกัน เขาก็สัมผัสพลังจากตัวตนที่ยิ่งใหญ่กว่าเขาซึ่งยังหลงเหลือในร่างได้อย่างชัดเจน

โจเซฟซึ่งเป็นระดับเหนือนภาโดยสมบูรณ์ย่อมเข้าใจว่าพลังนี้มาจากไหน

นี่คือสิทธิ์เหนือรัตติกาลและดวงจันทร์ มีเพียงเธอเท่านั้นที่ซ่อนทุกอย่าง รวมถึงฟื้นสภาพร่างกายของเขาได้แบบนี้…โจเซฟรีบมองขึ้นไป แล้วก็พบมูเอนนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์เงียบ ๆ

“ขอบคุณมากครับ” โจเซฟพูดอย่างเคร่งขรึม ความเคลือบแคลงในใจของเขาคลี่คลาย ตามมาด้วยความทึ่ง กระทั่งแม่มดบรรพกาลยังเต็มใจมาเป็นผู้ช่วยเจ้าของร้านหนังสือ

“ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ คุณเป็นลูกค้าเก่าของร้านหนังสือนี่นา”

มูเอนตอบสนองอย่างเยือกเย็น “ในฐานะผู้ช่วย นี่คือสิ่งที่ฉันควรทำ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว คุณพักผ่อนต่อได้นะคะ ฉันยังมีสิ่งที่ต้องทำ”

แน่นอน สิ่งที่ต้องทำที่ว่าก็คือวิจัยสูตรชานมใหม่ ๆ

พรีม่าจากไปอย่างอิดออดหลังบอกลามูเอน

โจเซฟผู้กำลังฟื้นตัวเอนร่างนอนบนเก้าอี้พับด้วยสายตาเหม่อลอย ชีวิตหลังความตายของเขาทำให้เกิดความคิดนับไม่ถ้วน และเขาก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มครุ่นคิดอย่างระมัดระวังเรื่องการต่อสู้กับไวลด์

เราตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะตายไปกับไวลด์ จบทุกเรื่องด้วยชะตากรรมนี้แล้วแท้ ๆ ไม่เคยคิดเลยว่าเราจะรอดจากการต่อสู้ครั้งนี้ได้…โดยการช่วยเหลือของเจ้าของร้านหลิน

ศึกนี้อาจไม่มีผู้ชนะ แต่โจเซฟก็ได้เรียนรู้ถึงความน่ากลัวที่แท้จริงเป็นครั้งแรก

เรื่องระดับเหนือนภาเกินเอื้อมสำหรับโจเซฟมาโดยตลอด และตอนนี้เมื่อเขาเข้าสู่ระดับเหนือนภาอย่างเต็มตัว เขาก็มีความเข้าใจมากกว่าใครว่า ตัวตนที่เหนือกว่าระดับเหนือนภาคืออะไร?

การย้อนเวลาดั่งใจ และยังสามารถควบคุมสถานการณ์ศึกห่างออกไปสุดหล้าอย่างใจเย็นได้ ระดับของหลินเจี๋ยไม่ใช่อะไรที่โจเซฟสามารถจินตนาการได้อีกต่อไป

การกระทำเล็กน้อยของหอพิธีกรรมต้องห้ามกลับกลายเป็นเหมือนเด็กเล่นของเล่นในสายตาเจ้าของร้านหลิน เขาแข็งแกร่งแค่ไหนกัน…!

แต่ระหว่างเรากับไวลด์ ทำไมเจ้าของร้านหลินถึงเลือกเรา?

“หอพิธีกรรมต้องห้าม…”

โจเซฟพลันกระซิบคำเหล่านี้ออกมา

หลังจากต่อสู้เพื่อหอพิธีกรรมต้องห้ามมาหลายปี สุดท้ายเขาก็ค้นพบว่าตนเป็นเพียงเครื่องมือของหอพิธีกรรมต้องห้ามในการจับตามองเจ้าของร้านหลิน

แน่นอน จะบอกว่าตัวเองไม่รู้สึกอะไรเลยก็คงไม่ได้

แต่มันกลับเงียบสงบมากอย่างคาดไม่ถึง

บางที ตัวโจเซฟเองอาจจะคาดไว้แล้วแต่ต้นก็ได้ นับแต่ตอนที่ภรรยาของเขาตาย เขาก็ออกไปทำภารกิจทั้งวันทั้งคืน แต่หอพิธีกรรมต้องห้ามไม่เคยออกมารั้งเขาไว้เลย

โจเซฟจ้องเพดานอย่างเหม่อลอย…ถ้าเราบาดเจ็บสาหัสแล้วถูกส่งตัวไปหอพิธีกรรมต้องห้าม พวกเขาจะใช้เราอย่างไรอีก?

“ขอบใจนะ วินสตัน”

โจเซฟถอนหายใจ ความเจ็บปวดในกายเทียบกับแผลในใจไม่ได้เลย แต่เขาก็อดยิ้มอย่างขมขื่นออกมาไม่ได้ เขาพยายามสุดตัวเพื่อปกป้องความยุติกรรมและหอพิธีกรรมต้องห้ามมาตลอด แต่เพิ่งมาตระหนักเอาตอนนี้ว่าตัวเองนั้นกลายเป็นตัวตลกอย่างเห็นได้ชัด

ไม่ว่าอย่างไร โจเซฟที่เคยปกป้องหอพิธีกรรมต้องห้ามก็ตายไปแล้ว… โจเซฟในตอนนี้คือโจเซฟผู้ถูกเจ้าของร้านหลินช่วยเอาไว้

เขามองเพดานเงียบ ๆ พลางนึกถึงรูปลักษณ์น่าเอ็นดูของเมลิสซ่า…

เมื่อนึกถึงรอยยิ้มที่วูบไหวในความมืดตอนที่เธอกำลังจะตาย โจเซฟก็รู้สึกว่าเขาได้เวลาต้องปล่อยวาง

เมลิสซ่ามีความสามารถพอที่จะพึ่งพาตัวเองได้ แทนที่จะทำความผิดตามรอยโจเซฟ คงดีกว่าถ้าเขาจะถอยเปิดทางหนีให้แต่แรก

ความเกลียดชังเป็นสารอาหารที่ดีที่สุดต่อการเติบโต แต่ครั้งนี้โจเซฟจะไม่ยอมให้หอพิธีกรรมต้องห้ามมาปกครองชะตาของพวกเขาอีกต่อไป

คฤหาสน์ A16

แผ่นดินไหวไม่ทราบที่มาครู่สั้น ๆ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่องานเลี้ยงคนมีเงินเหล่านี้มากนัก สำหรับตระกูลจี้ผู้มั่งคั่ง การปลอบประโลมแขกของพวกเขาง่ายนิดเดียว

แต่ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา

งานเลี้ยงที่ดำเนินมาเป็นเวลาสามวันกำลังจะสิ้นสุด หลินเจี๋ยมอบของขวัญไปแล้ว และราคาของหนังสือที่ใช้บริษัทโรลล์เป็นตัวแทนจำหน่ายก็เกือบจะเท่ากับราคาขายปกติ

ในระหว่างกิจกรรมสองสามวันนี้ จี้ป๋อหนงและลูกสาวของเขาต่างปฏิบัติต่อหลินเจี๋ยเป็นแขกผู้มีเกียรติ แม้แต่คนภายนอกไม่รู้เรื่องราวยังเข้าใจว่าเจ้าของร้านหนังสือที่ดูธรรมดาคนนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน

แต่ไม่ว่าพวกเขาจะประจบประแจง เอ่ยคำพูดแฝงนัยขนาดไหน หลินเจี๋ยก็ปฏิบัติต่อผู้คนและสิ่งของต่าง ๆ ตามปกติ ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความลึกลับยิ่งกว่าเดิม ไม่สามารถตัดสินความนัยอันลึกซึ้งของเขาได้

มันทำให้ผู้คนรู้สึกว่าสิ่งที่บุคคลผู้นี้ครอบครองต้องเหนือการหยั่งประเมิน

หลังจากหลินเจี๋ยให้ของขวัญวันเกิด เขาก็เริ่มใช้ทักษะต่อรองที่บ่มเพาะในใจมานานอย่างเยือกเย็น แต่ปรากฏว่าเขาเตรียมการมาเก้อ เพราะไม่ว่าจะขออะไรไป พ่อลูกตระกูลจี้ต่างเชื่อฟังเขาทุกอย่าง

หลินเจี๋ยรู้สึกผิดเล็กน้อย รู้สึกเหมือนตัวเองทำเกินกว่าเหตุ สุดท้ายเขาจึงพยายามเสนอความคิดการแบ่งผลประโยชน์สามต่อเจ็ด ซึ่งยังไม่ผ่านการกรองออกมา ทว่าหลินเจี๋ยผู้เตรียมพร้อมรับข้อโต้แย้งต่าง ๆ นานาก็ต้องมองจี้ป๋อหนงอย่างประหลาดใจจากคำตอบของเขา “ต่อให้ผมไม่ได้เลยสักเหรียญ ผมก็จะเผยแพร่ความรู้ของคุณหลินอยู่ดีครับ!”

เขาตอบ…ไม่สิ ให้คำมั่นอย่างยินดีด้วยสีหน้าแน่วแน่

หลินเจี๋ยผู้มีหัวใจของนักเก็งกำไรรู้สึกผิดแบบที่ไม่ได้รู้สึกมาหลายปี เขารู้สึกโหวง ๆ เล็กน้อย

“การร่วมมือครั้งนี้ไม่มีอะไรน่าพอใจไปมากกว่านี้แล้วครับ”

จี้ป๋อหนงรีบยื่นมือออกไปคว้ามือเจ้าของร้านหลินอย่างตื่นเต้น “เจ้าของร้านหลิน คุณช่างใจกว้าง เมตตาปรานีจริง ๆ ผมตั้งตารอมาก ๆ ที่จะได้ร่วมงานกับคุณอีกในอนาคต และจะรับใช้คุณอย่างสุดกำลังแน่นอนครับ”

ใจกว้าง? ผลประโยชน์ในโลกนี้มันเก็บเกี่ยวง่ายขนาดนี้เลยเหรอ? ถ้าเราบอกหนึ่งต่อเก้าก็คิดว่าจี้ป๋อหนงจะเห็นด้วยอยู่ดี แต่เรื่องการร่วมมือในอนาคตนี่…หลินเจี๋ยยังยั้งใจไว้

เอ่อ…ดูเหมือนภาพของเขาในใจของคนพวกนี้จะสูงส่งไปสักหน่อย

แต่เดิม การต่อรองราคาควรจะเป็นไฮไลต์ของงานเลี้ยงทั้งหมดนี่ แต่จี้ป๋อหนงกลับตกลงง่าย ๆ ราวกับเรื่องใหญ่จบแล้ว เรื่องสุดท้ายก็แค่เดินเล่น

หลินเจี๋ยลูบคางครุ่นคิด

บางที…เขาอาจจะพบคนสนิทจริง ๆ พ่อลูกตระกูลจี้เป็นคนชอบหนังสือและเคารพต่อความรู้

“เจ้าของร้านหลิน โปรดมากับผมเถอะครับ เราร่วมงานเลี้ยงครั้งสุดท้ายกันที่โถงด้านนอก และในขณะเดียวกัน เราก็จะประกาศให้ทุกคนทราบว่าเราร่วมมือกันแล้วด้วย”

จี้ป๋อหนงลุกขึ้นพูดอย่างนอบน้อม

จี้จือซู่ยิ้ม คำนับหลินเจี๋ยอย่างสง่างาม

นี่คือคืนสุดท้ายของงานเลี้ยง หากเขาสะดวก หลินเจี๋ยก็กลับบ้านคืนนี้ไปได้เลย และยังมีงานเลี้ยงอิสระด้วย แขกทุกคนต่างกลับห้องเพื่อเตรียมตัวสำหรับคืนสุดท้ายนี้

มันควรจะเป็นค่ำคืนที่สนุกสนาน

แต่น่าเสียดาย ผู้เข้าร่วมงานหลายคนเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ พวกเขาไม่อยากดื่มแอลกอฮอลล์ และต่างจับตามองพ่อลูกตระกูลจี้กับหลินเจี๋ยที่ออกมาจากห้อง VIP

แน่นอนว่าตอนนี้ ทุกคนกำลังรอจี้ป๋อหนงพูด ดูไม่เหมือนคนเร่งรีบเลย

นี่คือจุดสำคัญของงานเลี้ยง จี้ป๋อหนงยืดหลังตรง เดินไปที่ใจกลางโถงงานเลี้ยงด้วยบรรยากาศเฉพาะตัวของผู้บริหารเครือบริษัทโรลล์

“ทุกท่าน ขอบคุณมาก ๆ ที่สละเวลาในตารางอันวุ่นวายของพวกท่านเพื่องานเลี้ยงวันเกิดลูกสาวของผมนะครับ” จี้ป๋อหนงมองไปรอบ ๆ “ที่นี่ ผมจึงอยากประกาศเรื่องบางเรื่องสักหน่อย”

หลินเจี๋ยยิ้ม มองเขาอยู่จากข้างหลัง

เขาแอบบ่นในใจนิด ๆ…นี่ดูเหมือนฉากขอแต่งงานหน่อย ๆ แฮะ

จี้ป๋อหนงก้าวถอยสองก้าวมาที่ข้างกายหลินเจี๋ย ก่อนจะกล่าวอย่างนอบน้อม “เรื่องที่เป็นเกียรติสูงสุดในงานเลี้ยงนี้คือ ผมได้เจรจาข้อตกลงทางธุรกิจกับเจ้าของร้านหลินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

หลินเจี๋ยผงะไปครู่หนึ่ง แล้วแย้มรอยยิ้มสุขุมออกมา “แค่หนังสือไม่กี่เล่มเองครับ เป็นเกียรติของผมที่ได้ร่วมมือกับเครือบริษัทโรลล์ครับ”

ทันทีที่สิ้นเสียงของหลินเจี๋ย ผู้เข้าร่วมนับไม่ถ้วนก็อึ้งไปอีกครั้ง

สำหรับแขกทั่วไป ‘การร่วมมือกับบริษัทโรลล์’ คือสิ่งที่เรียกเสียงฮือฮาได้มากที่สุด

เครือบริษัทโรลล์คืออะไร?

องค์กรการค้ายักษ์ใหญ่ที่ผูกขาดธุรกิจในนอร์ซินมาหลายร้อยปี พวกเขายังต้องไปร่วมมือกับใครอีกเหรอ? ขนาดหอการค้าแอชยังไม่มีคุณสมบัตินี้ แล้วทำไมร้านหนังสือเล็ก ๆ ที่ไม่มีชื่อนี่ถึงทำได้ล่ะ?

ส่วนคำที่ทำให้ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติสนใจที่สุดคือ ‘หนังสือไม่กี่เล่ม’

สีหน้าที่ควบคุมไม่ได้ของจี้ป๋อหนงในตอนนี้ แสดงให้เห็นว่าในใจของเขาตื่นเต้นแค่ไหน

แล้วคนที่ร่ำรวยที่สุดในนอร์ซินจะยังมีอะไรให้ตื่นเต้นได้อีก?

ก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่า…เป็นเรื่องน่าเสียดายมาตลอดที่จี้ป๋อหนงไม่สามารถเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติได้

หนังสือนี่คืออะไรกันแน่?

มันสามารถทำให้จี้ป๋อหนงฝืนกฎที่มีมาช้านาน ปีกกล้าขาแข็งพอจะกล้ากบฏต่อพวกเขา

เจ้าของหนังสือเหล่านี้ ชายที่ยืนยิ้มบาง ๆ อยู่ข้างหลังจี้ป๋อหนงเป็นใครกันแน่?

จี้ป๋อหนงหันไปโบกมือให้พ่อบ้าน แล้วรับหนังสือห้าเล่มมาจากเขา

“หนังสือเหล่านี้จะถูกวางแผงฝากขายในสามวัน ผู้ใดที่สนใจสามารถมาลองอ่านกันได้ครับ”

“ว้าว…!” มีเสียงฮือฮาเบา ๆ จากด้านล่าง ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติทุกคนต่างตะลึงด้วยสีหน้าแตกต่างกันไป ก่อนจะเลื่อนสายตาไปที่หนังสือเหล่านั้น หายใจหอบถี่ ดวงตาเผยความโลภออกมาอย่างชัดเจน

ทุกคนต่างรู้สึกถึงแรงดึงดูดแปลก ๆ จากหนังสือ แต่… ไม่สามารถขัดขืนได้ ไม่อยากขัดขืน อยากจะได้ทุกอย่างในหนังสือเล่มนี้