บทที่ 385 หิมะหยุดแล้ว…

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 385 : หิมะหยุดแล้ว…

ทันทีที่สิ้นคำพูดของจี้ป๋อหนง งานเลี้ยงทั้งงานก็เริ่มวุ่นวาย

ทุกคนจ้องหนังสือทั้งห้าเล่มเป็นตาเดียวเหมือนสายตาถูกทากาวแปะไว้ ไม่ว่าพวกเขาจะมีความคิดใด ๆ ก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้ทุกคนต่างคิดตรงกัน

ต้องได้!

ไม่ใช่ว่าแขกในงานนี้เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติกันทุกคน ยังมีคนธรรมดาอยู่อีกมาก แต่แม้พวกเขาจะไม่เข้าใจว่าถูกดึงดูดโดยอะไร สัญชาตญาณของพวกเขาก็ถูกกระตุ้นราวกับสุนัขล่าเนื้อที่วิ่งไล่กระต่ายอยู่ดี

ความลึกลับของหนังสือนั่น แค่ปรากฏออกมาก็พอแล้วในการทำให้ผู้คนลุ่มหลง และรู้สึกอยากรู้อย่างหลงไหลไม่จบสิ้น

แม้ว่าหน้าปกหนังสือจะดูธรรมดา แต่รูปแบบของมันไม่เคยมีมาก่อนราวกับมาจากอีกโลกหนึ่ง ให้บรรยากาศไม่ถูกที่ถูกทาง เตะตาอย่างยิ่ง แต่เมื่อมาย้อนคิดดี ๆ ก็จะรู้สึกว่าไม่เคยเห็นมันมาก่อน ราวกับจะได้เห็นมันจริง ๆ ก็ต่อเมื่อเป็นเจ้าของมันแล้วเท่านั้น

บางทีพวกมันอาจจะเป็นไข่มุกที่สูญหาย รอให้ใครบางคนมาค้นพบความลับของมันก็ได้?

ไม่อย่างนั้น ทำไมบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์ผู้เลื่องชื่อต้องมาร่วมมือกับร้านหนังสือไร้ชื่อ แถมยังมาประกาศความร่วมมือในงานเลี้ยงวันเกิดลูกสาวเขาด้วยล่ะ?

หนังสือพวกนี้ต้องมีค่ามากแน่นอน!

สำหรับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ ทันทีที่หนังสือเหล่านี้ปรากฏสู่คลองจักษุ พวกเขาก็ถูกกระตุ้นสัญชาตญาณถึงขีดสุดแล้ว ราวกับถูกโยนลงไปในพายุ และเม็ดฝนที่กระทบหน้าคือออร่าอันน่าสะพรึงกลัวของหนังสือเหล่านี้

สิ่งที่พวกเขาเห็นในหนังสือเหล่านี้แตกต่างกันไป แต่ทั้งหมดนี้ต่างชี้ตรงไปยังจุดสูงสุดแห่งพลัง สู่ความปรารถนาบางอย่างลึก ๆ ในตัวพวกเขา…

ต่อให้เราไม่ได้มัน ก็จะไม่ปล่อยให้คนอื่นได้ไป

คนเหล่านี้เงยหน้ามองตรงไปยังหนังสือทั้งห้าด้วยดวงตาที่ไม่ปิดบังความโลภ ราวกับพวกตนเปลี่ยนไปเป็นฝูงสัตว์ร้ายรอเหยื่อในความมืดมิด ทำให้คนมองตัวสั่นสะท้าน

ออต เรนอฟเป็นนักเวทมนตร์ดำระดับสัตว์ประหลาดจากสำนักงานกลางประจำเขตกลาง ตำแหน่งผู้ตรวจการ

ในหมู่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ ยังมีน้อยคนที่เคยได้ยินเกี่ยวกับสถาบันนี้

แต่ที่จริงแล้ว สำนักงานนี้เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับหน่วยงานซึ่งเป็นที่รู้จักดีแห่งหนึ่ง แถมยังมีอำนาจเหนืออีกฝ่ายด้วย นั่นก็คือกรมตำรวจเขตกลาง

ภายใต้สถานการณ์ปกติ หากผู้คนพูดถึง ‘คำสั่งจากเขตกลาง’ ‘ข้อปฏิบัติจากเขตกลาง’ ฯลฯ ที่จริงแล้วพวกเขาก็กำลังพูดถึงสำนักงานกลางประจำเขตกลางนี่แหละ

เพียงแต่ว่า คนส่วนใหญ่จะคิดว่าเขตกลางที่ว่าหมายถึงพวกผู้ดีระดับสูง และผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่อาศัยอยู่ในเขตกลาง

แถมยังมีคนธรรมดาไม่รู้เรื่องรู้ราวบางคนมองว่าคำสั่งมาจากบริษัทโรลล์อีก

ถ้าออตได้ยินคำพูดเหล่านี้ เขาจะทำเพียงพ่นลมหายใจอย่างเหยียดหยาม

ผู้ดีพวกนั้นไม่ต่างอะไรกับมด ส่วนผู้มีพลังเหนือธรรมชาติก็เป็นทรายกองหนึ่ง แต่…ในทางกลับกัน เป็นบริษัทโรลล์ที่เฉียดใกล้ความจริงนิดหน่อยอย่างน่าขัน

เพราะบริษัทโรลล์ก็ขึ้นตรงต่อสำนักงานกลาง

หลายพันปีก่อน ในตอนที่นอร์ซินยังเป็นเมืองมนุษย์เมืองหนึ่ง และบริษัทโรลล์ยังเป็นแค่กองทัพสำรวจที่ทางประเทศส่งไปตรวจสอบโบราณสถานใต้ดิน บริษัทโรลล์ก็คือเครื่องมือของนอร์ซิน

หลายพันปีต่อมา นอร์ซินกลายเป็นเมืองเหล็กที่มนุษย์สร้างขึ้น กษัตริย์เมื่อกาลก่อนกลายมาเป็นสำนักงานกลางผู้ควบคุมทุกสิ่งอย่าง ส่วนกองทัพที่สร้างจากเหล็กและเลือดก็สวมเสื้อคลุมบริษัท

ทว่าเครื่องมือก็ยังเป็นเครื่องมือ ไม่ว่าจะดูทรงพลังแค่ไหน มันก็ทำได้เพียงรับใช้เจ้าของมัน

และเพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องมือมีความคิดที่ไม่สมควร จึงมีตำแหน่งผู้ตรวจการเกิดขึ้น

แน่นอนว่า เมื่อจี้ป๋อหนงจัดงานเลี้ยง เชิญนักธุรกิจผู้ร่ำรวยและผู้มีพลังเหนือธรรมชาติมารวมตัวกันทุกปี งานเลี้ยง ‘อันตราย’ นี้จึงขาดผู้ตรวจการอย่างออตไม่ได้

ทันทีที่หลินเจี๋ยปรากฏตัว ออตก็รายงานต่อหัวหน้าของเขาแล้ว

แม้ว่าข้อมูลของหลินเจี๋ยจะถูกหอพิธีกรรมต้องห้ามปิดผนึกไปนานแล้วก็ตาม แต่สำนักงานกลางก็ยังมีสิทธิ์เรียกดูฐานข้อมูลได้ เจ้าของร้านหนังสือผู้นี้จึงยังเป็นผู้ได้รับความสนใจของเขตกลาง

เมื่อเกิดความผิดปกติขึ้นตามมา โดยเฉพาะเมื่อเกร็กขอให้หลินเจี๋ยช่วย เขาก็จะรายงานตามระดับต่าง ๆ เหมือนเช่นเคย

แต่คำตอบที่สำนักงานกลางส่งกลับมาทุกครั้งก็คือให้เฝ้ามองต่อไป

ออตไม่แน่ใจความหมายของเบื้องบน ดังนั้นเขาจึงตื่นตัว จับตามองการเคลื่อนไหวของจี้ป๋อหนงและหลินเจี๋ยเสมอ

ในที่สุดเมื่องานเลี้ยงจบลง เขาก็คิดว่างานนี้จะจบลงอย่างราบรื่น

แต่คาดไม่ถึงว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงแบบนี้ขึ้น

บริษัทโรลล์ร่วมมือกับร้านหนังสือ…?!

ออตเบิกตากว้าง ปฏิกิริยาแรกที่เขาทำโดยไม่รู้ตัวคือติดต่อสำนักงานกลางเพื่อรายงานสถานการณ์ ความคิดแรกในใจของเขาคือ ‘รอบนี้ฉันทำผลงานใหญ่ได้แล้วจริง ๆ!’

เบื้องบนเคลือบแคลงมาตลอดว่าจี้ป๋อหนงคิดกบฏ แต่เจ้าหมอนี่ซ่อนตัวได้อย่างแนบเนียน และปกติก็ไม่แสดงอะไรออกมาเลย ส่วนลูกสาวของเขาก็ควรตายไปตั้งนานแล้ว…

ไม่คิดเลยว่าเธอจะไปมีความเกี่ยวพันกับร้านหนังสือลึกลับนั่นได้

แต่ถึงจี้จือซู่จะได้รับอนุญาตให้มีส่วนเกี่ยวข้องกับร้านหนังสือ แต่มันเป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่บริษัทโรลล์จะร่วมมืออย่างเป็นทางการกับเจ้าของร้านหนังสือได้

ครั้งนี้ ขอเพียงเขารายงานสถานการณ์ทันที เขาจะคว้าหางจิ้งจอกของจี้ป๋อหนงได้ ในฐานะผู้ตรวจการ นี่คือผลงานชิ้นใหญ่ที่สุดของเขา!

แต่ความคิดเหล่านี้ดำเนินอยู่ได้แค่ถึงตอนที่เขาเห็นหนังสือทั้งห้า

“นั่นมัน…?!”

ออตค้างอยู่ในท่าเตรียมร่ายคาถาสื่อสารกลางอากาศ สายตาจ้องหนังสือแบบไม่กะพริบ

แววตาของเขาเปลี่ยนจากเหม่อลอย งุนงง ตกตะลึง ไปจนถึงความโลภอันไร้ก้นบึ้ง

เนิ่นนานจากนั้น เขาก็ลดมือลง หยุดการร่ายคาถาสื่อสาร ถอยไปในความมืดเบื้องหลังเขาแล้วหายไปช้า ๆ ขณะที่ยังจ้องหนังสือทั้งห้า

เขาอยู่มุมห้องแต่แรกแล้ว การเคลื่อนไหวที่เงียบเชียบนี้ไม่ได้กระตุ้นความสนใจของใครเลย

แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็สัมผัสได้เช่นกันว่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติหลายคนซึ่งซุกซ่อนอยู่ในงานเลี้ยงต่างทำเหมือนกับเขา

ฟรังก้าผู้มาร่วมงานเลี้ยงในฐานะตัวแทนตระกูลนักเวทมนตร์ขาวของเธอนั่งอยู่มุมห้องโถง เธอนั่งกระสับกระส่าย มือวางบนเข่าซึ่งซ่อนในกระโปรงยาวของตัวเองขณะมองไปรอบ ๆ อย่างงุนงง

ถึงจะรู้สึกว่าบรรยากาศเปลี่ยนไปกะทันหัน เธอก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเกิดอะไรขึ้น

บริษัทโรลล์และร้านหนังสือร่วมมือกันทำธุรกิจใหม่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าครุ่นคิดจริง ๆ แต่ปฏิกิริยาของคนอื่น ๆ ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด…

หญิงสาวมองรอยยิ้มน่ากลัวและประกายตาโลภมากแปลก ๆ ที่ค้างบนใบหน้าคนเหล่านี้ราวกับรูปปั้นแล้วอดหดคอของเธอไม่ได้

เป็นไปได้ไหมว่า…หนังสือเหล่านี้มีบางอย่างแปลกมาก ๆ?

เมื่อคิดเรื่องนี้ หญิงสาวรวบรวมความกล้าหันไปมองเพื่อนชายและองครักษ์ที่ด้านข้างเธออีกครั้ง แล้วพยายามมองให้เห็นว่าหนังสือเหล่านี้หน้าตาเป็นอย่างไร

น่าเสียดาย ด้วยสายตาธรรมดาของเธอ ต่อให้เพ่งจนตาหลุด เธอก็ทำได้แค่อ่านชื่อหนังสือที่ใกล้ตัวที่สุด

“หนึ่งพัน…เมนูอาหาร…พื้นบ้าน…คลาสสิก…?”

ฟรังก้าพึมพำกระท่อนกระแท่นกับตัวเอง เครื่องหมายคำถามตัวใหญ่โผล่ขึ้นบนหัว

เธอกะพริบตาอย่างงุนงง มองให้แน่ใจว่าไม่ได้อ่านผิด

บริษัทโรลล์ร่วมมือกับร้านหนังสือร้านนั้น…เพื่อขายตำราอาหาร?

ฟรังก้ารู้สึกเหมือนอยากออกความเห็นต่อเรื่องไร้เหตุผลนี้สักหน่อย แต่เมื่อคิดอีกที ต่อให้พวกเขาจะขายตำราอาหาร มันก็ไม่มีอะไรน่าถือโทษสักหน่อย

บางที เจ้าของร้านหนังสือที่ดูลึกลับมาแต่แรกอาจจะอยากทดสอบความจริงใจในการร่วมมือของบริษัทโรลล์ก็ได้?

อื้ม…ช่างสมเหตุสมผล

แต่การทดสอบความจริงใจด้วยวิธีที่ตลกขนาดนี้ คน ๆ นั้นไม่กลัวบริษัทโรลล์ตอกกลับหน้าหงายเอาเหรอ? หรือเขาไร้ความกลัว?

ฟรังก้าหยิกชายเสื้อของเธอ ถามเพื่อนชายของเธอเบา ๆ “ไมค์…เจ้าของร้านหนังสือคนนั้นเป็นใครเหรอ?”

ชายหนุ่มข้างหน้าเธอหันมา เขามีใบหน้าหล่อเหลาคมเข้ม แต่ฟรังก้ารู้ว่าที่จริงแล้วเขาเป็นนักล่าที่แข็งแกร่งพอตัว แต่สภาพจิตใจต่ำกว่าเกณฑ์

เขาใช้เลือดอสูรจากสัตว์มายาระดับเหนือนภารูปร่างเหมือนงู…โมบิอัส

มันเป็นอสรพิษจากมิติอันบิดเบี้ยวในแดนนิมิตผู้เชื่อมต่อทุกระยะทางบนโลก

แม้ว่าความสามารถของฟรังก้าในฐานะผู้มีพลังเหนือธรรมชาติจะแทบไม่มี แต่เธอก็เป็นทายาทคนเดียวของหัวหน้าตระกูล ต่อให้เธอเป็นคนธรรมดา ก็ยังได้รับการคุ้มครองอย่างแน่นหนาที่สุดอยู่ดี

แต่ตอนนี้ ดวงตาของไมค์กลายเป็นนัยน์ตาของงูไปอย่างสมบูรณ์แล้ว ใบหน้าและคอด้านข้างของเขาปกคลุมด้วยเกล็ด เส้นเลือดสีม่วงดำปูดโปนราวใกล้หลุดการควบคุม

แต่อักษรรูนก็ปรากฏบนผิวหนังของเขา พันธนาการไม่ให้เขาเคลื่อนไหวดั่งโซ่ตรวน หยุดไม่ให้ทำร้ายนายของเขาแม้เพียงเสี้ยว และยังคงสติเอาไว้ได้บ้าง

“ฟ่อ…”

ไมค์ถูกบังคับให้คุกเข่าลงมองเจ้านายตัวน้อยของเขา ขู่ฟ่อออกมาเหมือนงูด้วยใบหน้าเปี่ยมความเจ็บปวด ส่ายหัว พยายามยับยั้งตัวเองสุดชีวิต แต่ก็ยังไม่สามารถต่อต้านเสียงเรียกจากสัญชาตญาณได้ ทำได้เพียงกระซิบเสียงแหบพร่าอย่างยากลำบาก “ใช่…เขาเป็น…พระเจ้า… ฉันเห็น…หนังสือ…อยากได้…”

เขาเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าเปี่ยมความโลภ พูดเสียงสั่นว่า “เจ้านาย อยากได้หนังสือสักเล่มไหม?”

ฟรังก้ายังคงครุ่นคิดถึงความหมายของคำว่า ‘พระเจ้า’ เธอร้อง ‘หือ’ แล้วอดมองเมนูอาหารพื้นบ้านคลาสสิกไม่ได้ ใบหน้าของเธอแดงเรื่อจากความอาย

ในฐานะทายาทตระกูลนักเวท การไม่มีพรสวรรค์ในเวทมนตร์ก็เป็นเรื่องน่าอายจริง ๆ

แต่…เธอสนใจการทำอาหารมากกว่าอยู่นิดหน่อย

“โอเค” ฟรังก้ายื่นนิ้วหนึ่งออกมา แสร้งทำเป็นเขิน ตอบว่า “นายซื้อได้เล่มเดียวนะ กลับไปก็บอกที่บ้านด้วยล่ะว่านายเสนอมาเอง!”

ไมค์ก้มหน้า ซ่อนมุมปากไว้ “ได้”

“หนังสือห้าเล่ม?!”

เกร็กมองหนังสือทั้งห้าอย่างตกใจ อึ้ง…ลืมกระทั่งหัวใจที่หนักอึ้งของตน

แม้เขาจะได้เห็นเรื่องใหญ่อย่างการย้อนเวลา ผลสุดท้ายก็ยังเป็นโจเซฟกับไวลด์ที่ถูกสงสัยว่าจะตายไปด้วยกัน

มีแค่ข่าวที่เมลิสซ่าถูกส่งตัวไปยังจุดปลอดภัยแล้ว ไม่ว่าหัวใจของเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน เขาก็ถูกทรมานจนหมดแรง

เขาไม่มีความกล้าจะถามเจ้าของร้านหลินมากไปกว่านี้ และใช้เวลาสองวันที่เหลืออย่างเหม่อลอย

เขาทำได้แต่เพียงเชื่อว่าโจเซฟยังไม่ตาย

แต่ตอนนี้ การปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันของหนังสือห้าเล่มกระชากวิญญาณที่หายไปของเขากลับมา และเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกสุดขีด

ความคิดของเกร็กดูจะย้อนกลับไปในตอนที่เขาพังประตูเข้าไปในโถงด้านข้าง เจ้าของร้านหลินกับจี้ป๋อหนง…พวกเขาคุยเรื่องนี้กันอยู่เหรอ?!

แต่เขากับทุก ๆ คนต่างมัวพะวงกับความปลอดภัยของโจเซฟอยู่ ใครจะไปคิดว่า…เจ้าปีศาจนี่จะหยิบหนังสือออกมาทีเดียวห้าเล่ม แถมดูเหมือนจะตีพิมพ์ทีละเยอะ ๆ ในอนาคตด้วย?!!!

“เขาอยากจะทำอะไรกันแน่เนี่ย?”

เกร็กตื่นตกใจ เกือบจะคิดถึงอนาคตอันโกลาหลของนอร์ซินได้แล้ว… เขาต้องรีบรายงานเรื่องนี้ต่อหอพิธีกรรมต้องห้าม!

หอพิธีกรรมต้องห้าม…

จู่ ๆ เขาก็ลังเล

ขนาดอาจารย์โจเซฟยังเป็นตัวเบี้ยที่พวกเขาใช้เพื่อประจบหลินเจี๋ย… พวกเขาจะสนใจเรื่องนี้จริง ๆ เหรอ?

“ไม่ ๆๆ เราคิดอะไรอยู่!”

เกร็กส่ายหน้าวืด กัดฟันกดอุปกรณ์สื่อสาร

ชาร์ล็อตต์กอดหนังสือในอ้อมแขนมองเขาด้วยรอยยิ้ม “อย่าพยายามเลย ไม่มีใครมาเป็นผู้กอบกู้หรอก เมื่อจุดจบมาถึง ทุกคนจะทำเพียงปกป้องตัวเอง ใครจะมาล่ะ? สังเวยตัวเองไปซะเถอะ”

เกร็กพูดอย่างเย็นชา “ไวลด์ตายไปแล้ว ส่วนนิกายกลืนศพที่ระส่ำระสายจะถูกล้อมเพื่อปราบปรามในไม่ช้า คุณยังมีอารมณ์มาพูดประชดกันอยู่อีกเหรอ?”

รอยยิ้มของชาร์ล็อตต์ไม่เปลี่ยนแปลง “ความตายไม่จีรัง ถ้าท่านไวลด์กลับสู่อ้อมกอดพระผู้เป็นเจ้า ฉันจะเป็นผู้สืบทอดและคงนิกายกลืนศพไว้ ถ้าฉันออกไปจากที่นี่ มันหมายความว่านิกายกลืนศพจะยังคงอยู่ และตอนนี้คือโอกาสอันดีสำหรับคุณ อัศวินฝึกหัดที่จะมาเป็นขาประจำ…”

มุมปากของเธอยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ย “คุณกล้าหยุดฉันเหรอ?”

“…”

เกร็กกำหมัด กัดฟันแน่น

แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าไม่แน่ใจอยู่ดีว่าจะหยุดชาร์ล็อตต์ได้หรือเปล่า

“อา…”

ชาร์ล็อตต์ยิ้มกว้างขึ้น “สักวัน คุณจะเข้าใจเองว่าทางไหนกันแน่ที่ถูก”

สายสืบจากหอการค้าแอชที่ปะปนในฝูงชนกดรหัสที่ไม่รู้จักบนอุปกรณ์สื่อสารในมือ ใช้วิธีติดต่อพิเศษ

ผู้เฒ่าฝ่ายเอลฟ์ดำของหอการค้าแอชซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายพันไมล์เริ่มปะติดปะต่อข้อมูลเหล่านี้ทีละน้อย

“เจ้าของร้านหนังสือคนนั้นร่วมมือกับบริษัทโรลล์เหรอ?! แถมไวลด์ยังตายอีก…”

ใต้บาดาลอันมืดมิด ชายผู้หนึ่งพูดอย่างประหลาดใจ “ไหงเป็นงั้นล่ะ? ไม่ใช่ว่าความสามารถของเชอร์รี่มาจากร้านหนังสือเหรอ…? เขาคิดจะทิ้งเชอร์รี่หรืออย่างไร?!”

“ไม่คิดเลยว่าเครื่องมือตระกูลจี้ทั้งสองจะมีชะตาแบบนี้…”

เสียงอันเฒ่าชราอีกเสียงพูดว่า “หลังจากการตายของมารดาแห่งแมงมุมผู้ตัดชะตากรรม ชะตาของเอลฟ์ดำก็ยิ่งริบหรี่ลงเรื่อย ๆ”

“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่แย่สำหรับเราหรอก พอเชอร์รี่เสียผู้อุปถัมภ์ไป ไม่ใช่ว่าจะกลายเป็นโอกาสหวานหมูของเราเหรอคะ?” ผู้หญิงอีกคนกระซิบ “เธอน่ะก็แค่ครึ่งเลือด มีสิทธิ์มีส่วนร่วมกับหอการค้าแอชด้วยเหรอ?”

ชายคนนั้นกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ พอเชอร์รี่กลับมา เราลงมือกันเถอะ”

“เจ้าของร้านหลิน คุณคิดอย่างไรครับ?”

จี้ป๋อหนงวางหนังสือทั้งห้าในมือ หลังจากแสดงพวกมันออกมา พวกมันก็ถูกจัดเก็บในกล่องทองเหลืองที่จัดเตรียมมาเป็นพิเศษอย่างเป็นงานเป็นการสุด ๆ

ว่าแล้วเชียว…คนที่เข้าร่วมงานเลี้ยงของคุณหนูจี้ไม่ได้มาแสดงความยินดีกับเธออย่างจริงใจ พวกเขาต่างเป็นฝูงฉลามได้กลิ่นเลือดที่อยากขูดรีดทรัพยากรของโรลล์จากปากของจี้ป๋อหนง

ขอเพียงมีผลประโยชน์ พวกเขาก็สามารถถูกขับเคลื่อนได้

ใครบ้างไม่อยากร่ำรวย?

หลินเจี๋ยมองเหล่าผู้ร่วมงานด้านล่างที่ถูกผลประโยชน์บังตา หรี่ตาลงยิ้ม ๆ “ไอ้หยา! ถ้าคุณคิดว่ามันเหมาะแล้ว ผมก็คิดว่าหนังสือพวกนี้น่าจะได้รับความนิยมมากทีเดียวครับ เพราะถึงอย่างไร พวกมันก็เป็นหนังสือที่มีเกณฑ์ผู้อ่านค่อนข้างต่ำกันทั้งนั้น…”

“ถ้ามีคนชอบหนังสือตัวอย่างพวกนี้กันเยอะ ๆ คุณก็มาขอรับหนังสือเพิ่มที่ผมได้นะครับ เพราะถึงอย่างไร ผมก็ยังหวังว่าจะมีคนที่สามารถแบ่งปันหนังสือน่าสนใจเหล่านี้มากขึ้นเรื่อย ๆ…”

จี้ป๋อหนงมองฝูงหมาป่าผู้กระหายหิวเบื้องล่าง พลางกล่าวว่า “ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะทำให้คุณพอใจแน่นอน”

พูดจบ เขาก็ประกาศจบงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการ ฝูงชนในโถงงานเลี้ยงส่งเสียงอื้ออึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแยกย้ายกันไป

หลินเจี๋ยกับจี้ป๋อหนงพูดคุยกันอีกครู่หนึ่งในโถงด้านข้าง หลินเจี๋ยมองฟ้า ลุกขึ้นกล่าวว่า “เอาล่ะครับ เกือบได้เวลาแล้ว ขอบคุณคุณจี้และคุณหนูจี้มาก ๆ ที่ให้ผมได้ใช้เวลาที่นี่นะครับ เป็นสามวันที่น่าอภิรมย์มากเลย”

พ่อลูกสกุลจี้พุดขึ้นทันที “นี่เป็นเกียรติของพวกเราครับ/ค่ะ!”

เมื่อพวกเขามาส่งหลินเจี๋ยที่หน้าประตู ชายหนุ่มผมดำก็เงยหน้าขึ้นพูดอย่างแปลกใจ “หิมะหยุดแล้ว…”

เขาหันกลับมาโบกมือ พูดยิ้ม ๆ ว่า “ส่งผมที่นี่แหละครับ หิมะยังไม่ละลาย เดินทางกลับระวัง ๆ ด้วยนะครับ”