ตอนที่ 426 เหมือนกบในกะลา
ก่อนเปิดเทอมหนึ่งวัน มู่เถาเยาย้ายสัมภาระไปที่คอนโดจยาเหอที่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยวิศวกรรมสารสนเทศเหยียนหวง
ครั้งนี้ไปกันเป็นกลุ่มใหญ่ นั่งกันเต็มห้องเลยทีเดียว
ห้องหนึ่งแปดศูนย์หกที่อยู่ติดกันได้ยินเสียงเอะอะจึงเปิดประตูออกมาดู
มู่หว่านเห็นจั่วอีเหิงจึงเรียกมาดื่มชาด้วยกัน
หลังจากทักทายผู้อาวุโสแล้วจั่วอีเหิงถึงยิ้มถาม “พ่อแม่หนูก็อยู่ด้วย ผู้อาวุโสซย่าโหว คุณนายผู้เฒ่า ขอพ่อแม่หนูมาพบได้ไหมคะ”
ซย่าโหวโซ่วยิ้มพูด “เชื้อเชิญไม่สู้บังเอิญเจอ งั้นก็เชิญนายใหญ่จั่วกับคุณนายมาดื่มชาด้วยกันเลยสิ”
“ได้เลยค่ะ”
จั่วอีเหิงยิ้มหน้าบานวิ่งกลับห้อง
ไม่กี่นาทีต่อมาทั้งสามคนก็เดินมา
จั่วฮั่วกับภรรยายิ้มแย้มทักทายทุกคน จากนั้นก็อธิบาย “ขอโทษทีนะครับ เมื่อเช้าพวกเราไปออกกำลังกายกับแวะจ่ายตลาดเลยแปลงโฉม เมื่อครู่เพิ่งเอาออก ทุกคนเลยรอนานเลย”
ตั้งใจคบค้าสมาคมกับคนกลุ่มนี้ ใช้ใบหน้าที่แท้จริงจะจริงใจกว่า
ซย่าโหวโซ่วยิ้มพลางส่ายมือ “ไม่เป็นไร นั่งคุยกันนะ”
มู่หว่าน เจียงเฟิงเหมียน และอวิ๋นสุ่ยเหยาหลีกให้ทั้งสามคนเข้ามานั่ง
มู่เถาเยาในฐานะเจ้าของบ้านเอาชามาเสิร์ฟให้ด้วยตัวเอง จากนั้นก็พูดกับพ่อแม่ของจั่วอีเหิง “ทุกคนอยากมารู้จักบ้านหนูไว้ คนก็เลยเยอะ นายใหญ่จั่วกับคุณนายอย่าถือสานะคะ”
จั่วฮั่วยิ้มพูด “ไม่เลยๆ พวกเราต่างหากที่มารบกวน”
“ผมเคยเจอพ่อกับปู่ของคุณ…นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะจากไปเร็วแบบนี้…” ซย่าโหวโซ่วมองนายใหญ่ตระกูลจั่วที่ใบหน้าหล่อเหลา เหมือนคนที่ทำงานเก่ง เขาอดพูดด้วยความเสียดายไม่ได้
จั่วฮั่ว “หลายปีมานี้พวกเราก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลง หวังจะได้อายุยืนหน่อยครับ”
ซย่าโหวโซ่วพยักหน้า “ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป คนเราก็ต้องเปลี่ยนตาม ดูอย่างตระกูลซย่าโหวของเราสิ ก็เดินออกมาแล้ว อันที่จริงจะอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน สิ่งสำคัญคือจิตใจของเรา รักษาปณิธานไว้ต่างหากที่สำคัญที่สุด”
“ผู้อาวุโสพูดถูกครับ สองรุ่นหลังของพวกเรากำลังหาทางเปลี่ยนแปลงโชคชะตา” จั่วฮั่วพูดอย่างอารมณ์ดี
คนในห้องนี้มีบุญวาสนาและอายุยืนกันหมด ยกเว้นมู่เถาเยาที่เขามองไม่ออก
ลูกสาวคบกับเด็กสาวเหล่านี้เพื่อขอรับพลังก็ถูกต้องแล้ว!
คนตระกูลตี้ คนตระกูลเย่ว์ มีอำนาจบารมีสูง มีประโยชน์ต่อพวกเขาอย่างยิ่ง
อยู่กับคนที่มีบุญวาสนามากๆ โชคชะตาจะยิ่งเปลี่ยนได้เร็ว
นี่ก็คือเหตุผลสำคัญว่าทำไมพวกเขาถึงต้องให้ลูกสาวคนเดียวมาเรียนที่เมืองหลวง
ใช่ว่าที่อื่นจะไม่มีคนวาสนาดีบารมีสูงส่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เทียบกับอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกับโอรสสวรรค์ไม่ได้
คนจิตใจดีมีอยู่ไม่น้อย แต่ประเทศเหยียนหวงกว้างขวาง อยากเจอสักคนไม่ง่าย มาอยู่ใกล้โอรสสวรรค์จะง่ายหน่อย
แม่จั่วที่บุคลิกสง่างามยิ้มถามมู่เถาเยา “เสี่ยวเยาเยาจ๊ะ ทำไมไม่เห็นอาจารย์ใหญ่กับอาจารย์สามของหนูเลยล่ะ”
“อาจารย์ใหญ่อยู่บ้านตระกูลเซี่ยดูแลพี่อู๋เสีย ส่วนอาจารย์สามสอนศิษย์น้องอยู่ที่เมืองเย่ว์ตูค่ะ”
“หนูยังมีศิษย์น้องด้วยเหรอ คิดว่าหนูเล็กสุดเสียอีก”
“อาจารย์สามมีแค่หนูกับศิษย์น้องเป็นลูกศิษย์ค่ะ ศิษย์น้องจะเป็นคนสืบทอดวิชาของอาจารย์สามในอนาคตค่ะ”
“คนที่เป็นอาจารย์ของหนูได้จะต้องเก่งมากแน่นอน”
มู่เถาเยาพยักหน้าอย่างไม่ถ่อมตัวเลยสักนิด “วิชาฝังเข็มของอาจารย์สามเก่งขั้นเทพ แม้แต่อาจารย์ใหญ่ยังด้อยกว่าหน่อย แต่ละคนมีความถนัดไม่เหมือนกันค่ะ”
“นั่นสิจ๊ะ คนเราถนัดสักอย่างไว้ทำมาหากินก็ใช้ได้แล้ว”
มู่หว่านเริ่มอวด “คุณน้าคะ เสี่ยวเยาเยาของพวกเราเก่งหลายอย่างเลยล่ะค่ะ แถมทำทุกอย่างได้ดีหมดด้วย! อีกสองปียังจะลงแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติด้วยนะคะ ต้องได้เหรียญทองเยอะแยะแน่เลยค่ะ!”
“อย่างนั้นเหรอ เสี่ยวเยาเยาเก่งมากจริงๆ! ไว้ถึงตอนนั้นพวกเราจะดูการแข่งขันแน่นอนจ้ะ!” น้ำเสียงของแม่จั่วตื่นเต้นและไม่มีไม่เชื่อเลยสักนิด
ได้ยินคนคุยกันแบบนี้มู่เถาเยาก็ไม่ได้รู้สึกกดดัน เพราะเธอต้องได้เหรียญทองแน่นอน
ยกเว้นเรือใบที่ต้องตั้งใจฝึกซ้อมมากหน่อย รายการอื่นไม่จำเป็นต้องซ้อมเยอะ
เดิมทีเธอวางแผนไว้ว่าจะเริ่มฝึกซ้อมปีหน้า แต่ระยะนี้ต้องให้พวกโค้ชเห็นทักษะและความสามารถของเธอก่อน ไม่อย่างนั้นจะไปรุมต่อว่าโค้ชเถียนเอาได้
จั่วอีเหิงถามด้วยความไม่เข้าใจ “เสี่ยวเยาเยา เธอเป็นหมอไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ไม่ใช่แค่เรียนวิศวกรรมสารสนเทศ ยังเอาด้านกีฬาด้วยเหรอ”
“ฉันเรียนการรักษาด้วยเอไอ เกี่ยวข้องกับการแพทย์ค่ะ ส่วนกีฬา…น่าจะเพราะชอบค่ะ อยากใช้โอกาสตอนที่ยังมีเรี่ยวแรงดีอยู่เล่นให้เป็นทุกอย่าง”
เจียงเฟิงเหมียนยิ้มกว้างด้วยความภูมิใจ “พี่เยาเยาไม่ใช่แค่สอบได้ใบประกอบโรคศิลปะ ใบอนุญาตเภสัชกร ยังสอบทนายกับสถาปนิกผ่านแล้วด้วยนะคะ”
จั่วอีเหิงเบิกตาโพลง ราวกับไม่อยากเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง
จั่วฮั่วกับภรรยาก็มีสีหน้าเหลือเชื่อ
ใบอนุญาตพวกนี้สอบยากมากเลยนะ! แถมเนื้อหายังไม่ได้เกี่ยวข้องกันด้วย!
สมองของคนคนหนึ่งมันใส่ความรู้ได้เยอะขนาดนั้นเลยเหรอ
มู่เถาเยามองพวกสาวๆ ด้วยความรู้สึกขำ “เอาล่ะ พวกเธอเลิกเอาเรื่องพวกนี้มาพูดบ่อยๆ เถอะ เดี๋ยวคนอื่นจะหาว่าเป็นเรื่องตลก”
อวิ๋นสุ่ยเหยา “เรื่องตลกที่ไหนกัน เลื่อมใสยังจะไม่ทัน!”
ทุกคนพากันพยักหน้า
แม้แต่เด็กน้อยจินเหยี่ยก็พยักหน้าตามทุกคน น่ารักหลือเกิน!
“…แต่ก็ไม่ควรพูดโอ้อวดบ่อยๆ นะ” มู่เถาเยาแอบอยากเอามือปิดหน้า
จั่วฮั่วยิ้มพูด “อีเหิงของเราก็ถือว่าเป็นเด็กฉลาด แต่ก็เก่งแค่ด้านเดียว เทียบกับเสี่ยวเยาเยาที่เก่งรอบด้านไม่ได้”
ไม่ได้จะกดให้ลูกสาวตัวเองดูด้อย ก็แค่ว่าไปตามความจริง
ถึงแม้ลูกสาวของเขาจะยังเรียนหนังสืออยู่ แต่ช่วยงานในครอบครัวได้แล้ว เก่งมากแล้วเมื่อเทียบกับคนวัยเดียวกัน
ปรากฏว่ากลับดูพวกเขาเหมือนกบในกะลามากกว่า
ซย่าโหวโซ่วยิ้มพูด “ขอแค่ช่ำชองในสิ่งที่เรียนก็ย่อมได้รับเสียงชื่นชม อย่างอาจารย์ใหญ่ของเสี่ยวเยาเยา ถ้าให้เขาไปสร้างรถยนต์หรือสร้างบ้าน เขาทำไม่ได้แน่นอน”
ทุกคนเห็นด้วย
อาจารย์แม่รอง “เรียนไม่ต้องเยอะ แต่ขอให้รู้จริง”
ย่าตี้พยักหน้า “ใช่แล้ว พรสวรรค์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน พยายามให้เต็มที่ก็พอ ขอแค่วันหน้าไม่เดินเส้นทางผิด ทำอะไรก็ดีทั้งนั้น ทุกอาชีพไม่มีแบ่งสูงส่งหรือต่ำต้อย”
แม่จั่วอมยิ้มพยักหน้า “คุณนายผู้เฒ่าพูดถูกค่ะ เรื่องอย่างพรสวรรค์ พวกเราจะบังคับให้ลูกเก่งทุกอย่างไม่ได้ อย่างไรเสียเด็กแบบเสี่ยวเยาเยาก็พบเจอได้น้อยมาก”
เป่ยซียิ้มมองลูกสาว “พวกอาจารย์สอนมาดีค่ะ”
มู่หว่านส่ายหน้า “ไม่ถูกค่ะไม่ถูก น้าเป่ยพูดผิดแล้วค่ะ พวกอาจารย์สอนมาดีก็จริง แต่ความฉลาดของเสี่ยวเยาเยาได้มาจากพันธุกรรม หนูตัวติดกับเสี่ยวเยาเยาตั้งแต่เด็ก เรียนมาด้วยกันฝึกยุทธ์มาด้วยกัน แต่ก็ยังสู้เสี่ยวเยาเยาไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ”
เจียงเฟิงเหมียนพยักหน้า “พี่เยาเยาเรียนวาดรูปไม่นาน แต่ภาพที่วาดกลับดีกว่าหนูที่เรียนวาดรูปมาตั้งแต่เด็ก พี่เขยห้าก็เคยบอกว่าถ้าพี่เยาเยาเอาดีด้านจิตรกรเขาได้ตกกระป๋องแน่”
ซย่าโหวโซ่วกับภรรยาพยักหน้า
“เสี่ยวซี ฉันกับเหล่าหยวนสอนเสี่ยวเยาเยาด้วยวิธีที่เหมือนกับสอนลูกศิษย์ทุกคน เสี่ยวเยาเยาเก่งได้ถึงขั้นนี้ก็เพราะพยายามเองด้วย ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเรามากหรอก พวกเราแค่พาเสี่ยวเยาเยาเข้าสำนัก…” บลาๆๆ
คนนี้อวยจบอีกคนก็อวยต่อ
มู่เถาเยาคิดในใจ ขบวนการอวยเยาเริ่มทำงานกันเป็นทีมอีกแล้ว!