บทที่ 351 ลงใต้

บทที่ 351 ลงใต้

หลังจากที่อวี๋จือกินข้าวเสร็จแล้ว ก็ตามอาจื้อไปกินแตงโมงเนื้อชุ่มฉ่ำอีกสองสามชิ้น จากนั้นก็ถามถึงบทกวีที่เขาใช้เวลาซ่อมมันทั้งคืนกับเซี่ยเชียน ก่อนจะขอตัวลากลับสำนักบัณฑิตฮั่นหลินไป

กระทั่งถึงที่พักของตัวเอง อวี๋จือทนไม่ไหวรีบเปิดอ่านบทกวีนั้นทันที

หน้าตำราค่อนข้างบอบบางมาก อวี๋จือเปิดอ่านอย่างระมัดระวัง แล้วอ่านบทกวีที่เซี่ยเชียนได้เพิ่มเติมไว้ทุกหน้าด้วยความตื่นเต้น

ส่วนเดิมที่ขาดหายเหล่านั้น ถ้าปล่อยให้เขาคิดจนหัวระเบิดก็ยังหาประโยคที่มีคำสละสลวยที่สุดไม่ได้ ทว่าปลายพู่กันของเซี่ยเชียนค่อย ๆ เติมเต็มรูปแบบเดิมของบทกวีที่ขาดหายให้สมบูรณ์

หลังจากที่อวี๋จืออ่านจบ เขาก็ปิดตำรา แล้วนึกย้อนกลับไปยังเนื้อหาในบทกวีนี้อยู่เนิ่นนานอย่างอดไม่ได้

เขานอนหงายอยู่บนเตียง วางเล่มตำราเก่าบนหน้าอก ในสมองเริ่มคิดสับสนวุ่นวาย

ใต้เท้าเซี่ยกับพี่สาวของเขาคงจะมีความสัมพันธ์ระหว่างกันที่ดีมากสินะ? อีกอย่าง เขาสามารถเข้าใจผ่านบทกวีได้เลยว่าเซี่ยเหยาจะต้องเป็นสตรีมากพรสวรรค์ผู้หนึ่ง

หากคิดเช่นนี้แล้ว เหตุที่พี่ใหญ่หลินเรียกใต้เท้าเซี่ยว่า ‘ท่านน้า’ ก็แสดงว่าหลินเหราเป็นทายาทของเซี่ยเหยาน่ะสิ?

คิดถึงตรงนี้ อวี๋จือก็อดหยิบบทกวีขึ้นมาดูอีกครั้งไม่ได้ จากนั้นก็จ้องมองตัวอักษรสี่พยางค์ ‘นักบวชเชียนเหยา’ บนนั้นครู่หนึ่ง แล้วทอดถอนใจ

ดูท่าเขาต้องใช้แรงกายในการคัดลอกบทกวี ทั้งยังต้องใช้สมาธิอย่างสูงและใช้พลังใจอย่างมากอีกด้วย!

อีกด้านหนึ่ง หลังอาจื้อที่เจอกับอวี๋จือในจวนเซี่ยนั่งกินแตงโมสีแดงสวยและเย็นชุ่มฉ่ำไปครึ่งลูก ก็แบกท้องที่กลมโตนั้นกลับจวน

อาจื้อกำลังนึกถึงเรื่องที่อาซืออธิบายให้ฟังวันนี้ แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของน้องสาวที่ดูสดใสมากกว่าตัวเอง จึงอดถามด้วยความอยากรู้ไม่ได้ “เหตุใดเอ้อเป่าถึงดีใจเล่า? มีเรื่องอะไรดี ๆ เกิดขึ้นเช่นนั้นสิ?”

อาซือหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากด้านหลังอย่างเบิกบานใจ แล้วพูดกับอาจื้ออย่างโอ้อวด “ดูสิ! พี่เถิงเขียนจดหมายมาหาข้าด้วย!”

อาจื้อเดินเข้ามาด้วยความอยากรู้จริง ๆ “หือ? นี่ก็ผ่านมาเดือนกว่าแล้ว แต่เถิงเอ๋อเพิ่งจะเขียนจดหมายมาหา เหตุใดถึงต้องเขียนจดหมายให้เจ้าด้วย?”

รอยยิ้มบนใบหน้าของอาซือยังคงอยู่ ก่อนจะพูดด้วยความตื่นเต้น “เพราะท่านอาเจี่ยงเคยกล่าวไว้ หลังเทศกาลตวนอู่จะพาพี่เถิงเอ๋อเข้าเมือง!”

เจี่ยงเถิงอยู่เล่นในบ้านตระกูลเหยามานานแล้ว ซึ่งอาจื้อและอาซือล้วนเห็นเขาเป็นสหายที่ดี

ครั้นเด็กชายได้ยินว่าเถิงเอ๋อจะเข้าเมือง ก็ยิ่งดีใจมากกว่าเดิม “จริงหรือ? ตอนนี้สุขภาพของพี่เถิงเอ๋อดีขึ้นมากแล้วใช่หรือไม่?”

อาซือชี้ไปยังจดหมายแล้วพูดว่า “ท่านพี่ดูนี่สิ! ในจดหมายเขียนไว้หมดแล้ว! ตอนนี้สุขภาพของพี่เถิงเอ๋อดีขึ้นมาแล้ว อีกอย่างท่านป้าเจี่ยงก็ดูแลเขาอย่างดี”

อาจื้อหยิบจดหมายขึ้นมาดู แล้วอ่านอย่างละเอียดทุกบรรทัด หลังจากอ่านจบก็พูดด้วยรอยยิ้ม “เช่นนี้ก็ดี รอเถิงเอ๋อมาถึง เจ้าจะได้มีเพื่อนเล่นเก้าห่วงปริศนาทุกวัน!”

อาซือพลันหัวเราะออกมา

ยามนั้นไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางและเถิงเอ๋อถึงได้หลงใหลการเล่นเก้าห่วงปริศนานัก โดยทั่วไปต้องดูว่าใครแก้ปมได้มากที่สุด แก้ปมได้เร็วที่สุด ทั้งยังสนับสนุนให้ผู้ใหญ่สร้างเก้าห่วงปริศนาหลากหลายรูปแบบออกมาด้วย

ผ่านมาเนิ่นนานเพียงนี้ ถ้าอาจื้อไม่เอ่ยถึง อาซือก็คงลืมไปแล้วว่าตัวเองมีช่วงเวลาเช่นนั้น…วันเวลาที่เล่นเก้าห่วงปริศนากับเถิงเอ๋อทุกวันอย่างไม่ลดละ

เด็กหญิงจึงอดพูดพลางทอดถอนใจไม่ได้ “คิดถึงยิ่งนัก”

อาจื้อหลุดหัวเราะออกมาหนึ่งเสียง มองน้องสาวที่เกล้ามวยสองจุกบนศีรษะ ใบหน้าอวบอิ่มสมวัยเด็ก เอ่ยคำว่า ‘คิดถึง’ อย่างลึกซึ้งออกมาราวกับผู้ใหญ่ แต่มันทำให้เขารู้สึกมีความสุขมากทีเดียว

อาซือกำลังอารมณ์ดี นางไม่สนใจการเยาะเย้ยของพี่ชาย แค่ส่งเสียงเป็นทำนองเพลงพร้อมกับเดินถือจดหมายที่เถิงเอ๋อเขียนให้นางจากไป แล้วแอบซ่อนมันไว้ในสถานที่โปรดเป็นการส่วนตัว

อาจื้อยิ่งรู้สึกว่าน้องสาวของตนนั้นน่ารักจนทำให้ผู้อื่นต้องนึกอยากจะรังแก จึงรู้สึกต่อต้านอย่างอดไม่ได้ชั่วขณะ

ถ้าเหยาซูอยู่ที่นี่แล้วเห็นพวกเขาสองพี่น้อง คนหนึ่งก็ ‘คิดถึง’ อีกคนก็ ‘ต่อต้าน’ นางจะต้องขบขันอย่างที่อาจื้อคิดไว้แล้วหัวเราะออกมาเป็นแน่

สำหรับนางแล้ว อาจื้อและอาซือยังเด็กมากก็จริง แต่ความรู้สึกและความคิดกลับคล้ายคลึงกับผู้ใหญ่ เหมือนกันจนแทบแยกไม่ออก

เรื่องที่เจี่ยงฉีจะเข้าเมืองหลวงนั้น ความจริงแล้วเป็นเพราะเหยาซูเอ่ยถึงกิจการร้านผ้า จึงอยากดึงนางเข้ามาร่วม

กิจการร้านขายผ้าเหยาจี้ในเมืองชิงถงกำลังรุ่งเรืองอย่างมาก การเข้าเมืองครั้งนี้ของเหยาเฟิงเป็นเพราะตั้งใจจะก้าวหน้าอีกขั้น หวังเปิดร้านขายผ้าของพวกเขาในเมืองหลวง ซึ่งเหยาซูเป็นคนเสนอความคิดเห็น แล้วใช้เวลาไปทั้งหมดกับเสื้อผ้าสำเร็จรูป

เหยาเฟิงคิดว่ามันเป็นไปได้ เพียงแต่ในช่วงสองสามปีนี้ตนใช้เวลาส่วนใหญ่กับการศึกษาเกี่ยวกับวัสดุผ้า ไม่ค่อยมีใครรู้จักเสื้อผ้าสำเร็จรูป เหยาซูจึงเขียนจดหมายถึงเจี่ยงฉี ไหว้วานให้นางช่วยติดต่อเถ้าแก่เนี้ยเซวียของทั้งคู่ ไป ๆ มา ๆ ทั้งสามคนก็ตัดสินใจเรื่องนี้ผ่านการเขียนจดหมาย

เหยาซูนำจดหมายของเจี่ยงฉีไปให้เหยาเฟิง แล้วพูดกับเขาว่า “เถ้าแก่เนี้ยเซวียที่พี่ใหญ่เอ่ยถึงก่อนหน้านั้น ตอนนี้รับปากว่าจะเข้าเมืองมาช่วยกิจการขายผ้าสำเร็จรูปของเราแล้ว ถ้าพี่ใหญ่คิดว่าเหมาะสม เราควรให้ฮูหยินเจี่ยงและเถ้าแก่เนี้ยเซวียลงทุนกับเสื้อผ้าสำเร็จรูป ให้แสดงความสามารถของทุกคนอย่างเต็มที่นะเจ้าคะ”

เหยาเฟิงย่อมไม่ประหลาดใจ แค่พยักหน้าและพูดว่า “เถ้าแก่เนี้ยเซวียข้าเคยได้ยินชื่อมาบ้าง มักจะเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ ไม่นานก็มีความสามารถในการขายเสื้อผ้าสำเร็จรูป เราก็ยกรูปแบบภายในร้านให้นางจัดการเสีย ซึ่งมันจะผิดพลาดไม่ได้”

เหยาซูยิ้มแล้วกล่าวว่า “พี่เซวียดูท่าไม่เลว พี่ใหญ่เองก็คงดูถูกพี่เซวียคนนี้ของข้า สายตาและวิสัยทัศน์ของนางเหนือชั้นกว่าคนทั่วไปแน่นอน”

เหยาเฟิงยิ้มอย่างสดใส “แน่นอน แน่นอน สายตาของอาซูไม่เคยพลาด สหายที่ไปมาหาสู่กันก็ต้องยอดเยี่ยมเช่นกัน”

ครั้นเหยาซูเห็นเขากล่าวเช่นนี้ นางกลับรู้สึกไม่ดี จึงพูดอย่างจริงจัง “พี่ใหญ่ ข้ากำลังพูดเรื่องจริงจังกับพี่ใหญ่อยู่นะ! ถึงตอนนั้นวัสดุผ้าของร้านขายผ้าเหยาจี้จะต้องเป็นหน้าที่ของพี่ ส่วนเสื้อผ้าสำเร็จรูป ยกให้เป็นหน้าที่ของเราสามคน”

ครั้นเหยาเฟิงเห็นท่าทางเชื่อมั่นในตัวเองของน้องสาวคนเล็ก ในใจจึงรู้สึกทั้งชื่นชม ทั้งพอใจ แล้วพูดพลางทอดถอนใจ “สองสามปีมานี้ช่างผ่านไปรวดเร็วมาก อาซูเองนานวันก็ยิ่งมีความสามารถ หากยกกิจการนี้ให้เจ้าจัดการได้ พี่ใหญ่อย่างข้าก็วางใจ”

เหยาซูยิ้ม แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ก็พี่ใหญ่สอนมาดี!”

เหยาเฟิงคลี่ยิ้มเช่นกัน

สองพี่น้องยังพูดคุยถึงเรื่องส่วนแบ่งอีกเล็กน้อย เหยาเฟิงไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรกับเรื่องนี้ แค่พูดว่า “กิจการเสื้อผ้าสำเร็จรูปถูกยกให้เจ้าไปแล้ว ส่วนแบ่งก็ต้องเป็นเจ้าที่มาจัดสรรปันส่วน พี่ใหญ่อย่างข้าขอไม่ยุ่ง”

เหยาซูพยักหน้าตอบรับ ในขณะเดียวกันก็ซาบซึ้งใจกับความเชื่อมั่นและการสนับสนุนโดยไม่มีเงื่อนไขที่เหยาเฟิงมีต่อนาง ยิ่งทำให้มุ่งมั่นที่จะดูแลกิจการเสื้อผ้าสำเร็จรูปให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป

แต่บัดนี้ยังพอมีเวลาก่อนถึงเทศกาลตวนอู่ อีกทั้งร้านขายผ้าเหยาจี้ในเมืองหลวงก็ยังไม่ได้เปิดอย่างเป็นทางการ นอกจากต้องหาร้านขาย มองหาเถ้าแก่ร้านแล้ว เหยาซูยังต้องตามเหยาเฟิงลงใต้สักหนึ่งรอบด้วยตัวเองเพื่อไปนำสินค้าเข้ามา

เรื่องนี้นางต้องบอกพ่อเฒ่าเหยาและแม่เฒ่าเหยาแล้ว ซึ่งบิดาไม่ได้ประหลาดใจอะไร มีก็แต่มารดาที่ขมวดคิ้วพูดกับเหยาเฟิงอย่างไม่พอใจ “เจ้าทนแดดทนฝนเดินทางลงใต้เองได้ก็จริง แต่เหตุใดจะต้องพาอาซูไปด้วย? นางเป็นหญิงสาวบอบบาง ไฉนเลยจะทนรับกับเรื่องนี้ได้?”

เมื่อเหยาซูได้ยินเช่นนั้น จึงทำได้แค่กอดแขนของแม่เฒ่าเหยาพร้อมกับออดอ้อนอย่างเต็มที่ “ท่านแม่ เหตุใดข้าถึงเป็นหญิงสาวผู้บอบบางเล่าเจ้าคะ? ท่านแม่อย่าลืมสิว่าตอนนี้ข้าเป็นมารดาของลูกสามคนแล้ว และพาพวกเขามาอยู่ด้วยกันในเมืองหลวง มีเหตุการณ์ไหนบ้างที่ข้าจะไม่เคยเจอ? ยิ่งไปกว่านั้นเส้นทางนี้ก็มีพี่ใหญ่คอยดูแล ท่านแม่วางใจเถิด”

แม่เฒ่าเหยาจนปัญญากับลูกอ้อนของนางและครุ่นคิดตาม สิ่งที่เหยาซูพูดมาก็ใช่ว่าไม่มีเหตุผล

หลายปีมานี้เหยาซูไม่ได้เป็นหญิงสาวหยิ่งยโสเอาแต่ใจตัวเองเหมือนอย่างในอดีตคนนั้นอีกแล้ว

นางเปิดร้านขายชาด เปิดภัตตาคาร กิจการที่ทำอยู่ก็กำลังรุ่งเรือง และยืนหยัดได้ด้วยลำแข้งของตัวเองนานแล้ว

เหยาเฟิงที่อยู่ข้างกายก็โน้มน้าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ ข้าดูแลน้องได้ขอรับ อีกอย่างคนในเมืองหลวงชอบใส่เสื้อผ้าเช่นไร สตรีในตระกูลชั้นสูงชื่นชอบวัสดุผ้าอย่างไร ข้าก็ยังไม่รู้ทั้งหมด การนำเข้าสินค้าจากทางตอนใต้คราวนี้ก็ควรให้อาซูไปด้วย นางจะได้แสดงความคิดเห็นให้ข้า ถึงอย่างไรก็ขาดนางไม่ได้ขอรับ”

ครั้นแม่เฒ่าเหยาเห็นสองพี่น้องคู่นี้ร่วมด้วยช่วยกัน มุ่งมั่นโน้มน้าวให้ตัวเองยอมศิโรราบ จึงส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “เอาละ ๆ พวกเจ้าจะทำอะไรก็ทำเถอะ! แต่ก็ยังยืนยันคำเดิม อาเฟิงจะต้องดูแลน้องสาวของเจ้าให้ดี พานางกลับมาหาข้าโดยห้ามให้เป็นอันตรายแม้ปลายผมเส้นเดียว!”

เหยาเฟิงยิ้มตอบรับ

หญิงชรายังมิวายกล่าวด้วยความเป็นกังวล “อาเหราว่าอย่างไร? เจ้าไปเช่นนี้ เขาอนุญาตแล้วหรือ?”

เรื่องนี้เหยาซูปรึกษากับหลินเหราเรียบร้อยแล้ว โชคดีที่หลินเหราไม่ใช่คนปิดกั้น แม้จะไม่อยากให้เหยาซูต้องเดินทางไปเป็นเดือน แต่เมื่อเห็นนางอยากทำเรื่องนี้จริง ๆ จึงพยักหน้าสนับสนุน

เหยาซูปลอบใจแม่เฒ่าเหยา “ท่านแม่วางใจเถอะเจ้าค่ะ ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว อาเหราเองก็ยินยอม”

หญิงชราจนปัญญา จึงได้แต่พยักหน้า

สองพี่น้องเดินไปคุยไป เหยาซูมอบหมายร้านอาหารให้พี่สะใภ้ทั้งสองคนของตระกูลเหยาดูแล ในระหว่างนั้นก็ให้เถ้าแก่หลิวมุ่งความสนใจมายังหน้าร้านว่ามีที่ไหนในเมืองหลวงสามารถเป็นจุดขายที่ดีได้ สามารถเปิดร้านขายผ้าได้จะดีที่สุด หลังจากนางกลับมา ก็ค่อยปรึกษาเรื่องที่ตั้งของร้านขายผ้ากับเหยาเฟิง

อาซือและซานเป่าถูกยกให้เป็นหน้าที่พ่อเฒ่าเหยาและแม่เฒ่าเหยาดูแล โชคดีที่ทุกคนอยู่บ้านเดียวกัน จึงค่อนข้างสะดวก

ก่อนออกเดินทางหนึ่งวัน แม่เฒ่าเหยาก็ได้กำชับกับทั้งสองคนเป็นพิเศษ “รีบไปรีบกลับ! เดือนหน้าจะต้องฉลองวันเกิดปีแรกของซานเป่า จัดพิธีจับเสี่ยงทายของเด็กหนึ่งขวบตอนนั้นเมื่อใด พวกเจ้าสองคนจะสายไม่ได้เด็ดขาด!”

เหยาเฟิงและเหยาซูยิ้มตอบรับ

วันถัดมา สองพี่น้องก็ออกเดินทางลงใต้ไป…

……………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

อาซูออกไปเปิดหูเปิดตาแล้ว แถมอาเหราอนุญาตด้วย สนับสนุนภรรยาดีมากเลย

ไหหม่า(海馬)