บทที่ 352 เปลี่ยนเจ้าให้เป็นเชื้อพระวงศ์
บทที่ 352 เปลี่ยนเจ้าให้เป็นเชื้อพระวงศ์
หลังจากที่เหยาซูและเหยาเฟิงสองพี่น้องลงใต้ไปไม่นาน เหตุการณ์ในเมืองหลวงก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นไม่น้อย
เพราะเรื่องการสิ้นพระชนม์ของกุ้ยเฟย จักรพรรดิจึงทรงกริ้วใส่ข้าราชบริพารเป็นอันดับแรก จนเกือบปลดใต้เท้าจ้าวกรมพิธีการออกแบบสายฟ้าแลบ ภายใต้การโน้มน้าวด้วยความลำบากใจของขุนนาง สุดท้ายเพลิงพิโรธที่ขึ้นถึงขีดสุดก็ค่อย ๆ บรรเทาลง
จักรพรรดิอนุญาตให้ใต้เท้าจ้าวกลับไปพักผ่อนกับครอบครัวเป็นเวลาครึ่งเดือน ซึ่งความจริงแล้วมันคือการกักบริเวณเขาครึ่งเดือน
หลังจากเสร็จราชกิจวันนี้ จักรพรรดิให้ต๋ากงกงเรียกตัวเซี่ยเชียนเข้าวัง ส่วนตนไปรอเขาในตำหนักสำหรับออกว่าราชการด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
เซี่ยเชียนในชุดคลุมยาวสีดำขอบม่วงทั้งตัวย่างเดินอย่างช้า ๆ มาหน้าตำหนัก จังหวะนั้นบังเอิญเจอกับหลินเหราที่ลาดตระเวนผ่านมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดพอดี ทั้งสองคนกล่าวทักทายง่าย ๆ เพียงไม่กี่ประโยค แล้วก็แยกกันอย่างรวดเร็ว
เมื่อเซี่ยเชียนเข้าไปในตำหนัก ก็เห็นจักรพรรดิมีสีพระพักตร์ถมึงทึงประทับอยู่ข้างโต๊ะ อารมณ์ฉุนเฉียวยิ่ง
เซี่ยเชียนคุกเข่าทำความเคารพ “ขอคารวะฝ่าบาท”
จักรพรรดิโบกพระหัตถ์ไปมา แล้วตรัสอย่างหมดความอดทน “ลุกขึ้น ลุกขึ้น พูดอะไรไร้สาระ?”
ระหว่างพูดนั้น พระองค์ก็นำสาส์นในพระหัตถ์โยนใส่อ้อมอกของเซี่ยเชียน จากนั้นก็ขมวดพระขนงแน่นพลางกล่าวอย่างกลุ้มใจ “เจ้าดู ดูสิ! ไม่แปลกใจเลยที่ข้าจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ จนอยากจะกำจัดเจ้าคนแซ่จ้าวให้สิ้นซาก เจ้าดูสิว่าพวกสัตว์ตัวขนของฝ่ายพิธีการกลุ่มนี้เขียนสิ่งใดให้ข้า!”
เซี่ยเชียนหยิบสาส์น กวาดตาอ่านอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็อ่านจบ
สีหน้าของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง พร้อมกับย่างเท้าเข้ามาตรงหน้าของฝ่าบาท แล้ววางสาสน์ลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ “ฝ่าบาททรงทราบถึงพฤติกรรมของคนเหล่านี้มานานแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงทรงกริ้วเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ?”
จักรพรรดิกล่าวด้วยความกลุ้มใจ “รู้มันก็รู้ แต่เห็นได้ชัดว่าข้าต้องเลี้ยงพวกไร้ประโยชน์กลุ่มนี้ ให้ที่กินที่นอน เงินเดือน ตำแหน่ง และเกียรติยศแก่พวกเขา! จะไม่ให้ข้องใจได้อย่างไร?”
สีหน้าของเซี่ยเชียนเรียบเฉยดุจผิวน้ำที่นิ่งสงบ ทำให้คนที่เห็นรู้สึกเหมือนอารมณ์ค่อย ๆ สงบลงได้
จักรพรรดิจ้องเขาเขม็งครู่หนึ่งอย่างไม่กะพริบตา สภาพพระทัยในตอนนี้ดีขึ้นไม่น้อย กระทั่งได้สดับฟังเซี่ยเชียนกล่าว “อยากปลดตำแหน่งก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ฝ่าบาทไม่ควรใจร้อน ต้องดำเนินทีละก้าว ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิสูดพระอัสสาสะเข้าลึก ๆ หนึ่งครั้ง แล้วค่อยพ่นออกมา
พระองค์คลึงขมับ ประทับบนเก้าอี้ แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ไม่เพียงแค่จ้าวปิ่งที่เป็นเช่นนี้ ตอนนี้ยุ่งเหยิงไปทั่วราชสำนักแล้ว ทายาทตระกูลขุนนางเหล่านี้มีจำนวนมากเกินไป ทันทีที่ข้าคิดจะเคลื่อนไหว ไอ้พวกสมรู้ร่วมคิดเจ็ดแปดคนนั้นก็ออกมาปกป้องเขา แล้วข้าจะเคลื่อนไหวอย่างไรได้?”
แค่วันนี้พระองค์ก็กริ้วจนเลือดขึ้นหน้าแล้ว ผลสุดท้ายก็ทำได้แค่ลงโทษจ้าวปิ่งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ประโยชน์อะไรแม้แต่น้อย
เซี่ยเชียนยืนอยู่ข้างกายจักรพรรดิ กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “กระหม่อมยังยืนยันประโยคเดิม การกระทำของฝ่าบาท จะรีบร้อนไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิปวดพระเศียรในทันใด “แต่ท่านขุนนางก็ใช่จะไม่รู้ ข้าเป็นคนใจร้อนเช่นนี้ ก็แล้วอย่างไรเล่า?”
เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ จักรพรรดิองค์ก่อนก็มักจะเสนอความคิดเห็น เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าตนจะรู้หรือไม่รู้ จึงมักถือโอกาสชิงพูด จากนั้นก็ค่อยคิดว่าตัวเองทำได้หรือไม่ได้
ถ้าไม่ได้ เขาก็เล็งเป้าหมายไปยังพระเชษฐาของรัชทายาท เชิญอีกฝ่ายมาช่วยเหลือ
แต่ต่อมาองค์รัชทายาทกลับไม่สามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้ เหล่าพี่น้องต้องวายปราณท่ามกลางการช่วงชิงบัลลังก์ เหลือเพียงพระองค์ครองบัลลังก์อันน่าเบื่อหน่ายนี้ ถูกความสุขสมที่มาจากอำนาจกัดกินทุกวี่วัน
การควบคุมที่ค่อย ๆ เพิ่มทวี ทำให้อารมณ์ของเขายิ่งฉุนเฉียวมากขึ้น
เซี่ยเชียนไม่ต้องคิดก็เห็นถึงความกังวลในพระทัยจากพระเนตรของจักรพรรดิ และยังมองออกว่าจักรพรรดิในตอนนี้สังเกตเห็นผลกระทบด้านลบที่ตำแหน่งนี้นำมาให้เขามานานแล้ว
เสียงของเขายังคงนิ่งสงบและมีพลัง แล้วกล่าวกับจักรพรรดิด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เมื่อครั้งวัยเยาว์ ฝ่าบาททรงร่ำเรียนวิธีการพลิกแพลงไปตามสถานการณ์ไม่น้อย ลืมไปแล้วหรือ? ก็ตามนั้นพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งไปกว่านั้น มีกระหม่อมอยู่ กระหม่อมสามารถเตือนฝ่าบาทได้ตลอดเวลา”
จักรพรรดิมองเข้าไปนัยน์ตาที่นิ่งเฉยดุจน้ำที่นิ่งสงบของเซี่ยเชียน ความกังวลที่ซ่อนไว้ในส่วนลึกของหัวใจนั้น ค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติตามลมหายใจของเซี่ยเชียน
หลังจากที่สีหน้าของจักรพรรดิกลับมาสงบแล้ว เซี่ยเชียนได้กล่าวอีกว่า “ฝ่าบาทอยากปลดตำแหน่งของจ้าวปิ่งไม่ใช่หรือพะยะค่ะ? จะปล่อยให้เขาสร้างความปั่นป่วนในราชสำนักได้อย่างไร แค่หาความผิดพลาดให้ได้ ต่อให้ฝ่าบาทจะออกคำสั่งสายฟ้าแลบ ใครก็ช่วยเขาไม่ได้”
จักรพรรดิแสดงสีพระพักตร์จะยิ้มก็ไม่ยิ้มออกมาทางพระพักตร์ แล้วตรัสว่า “ได้ เช่นนั้นเจ้าก็มานั่งตำแหน่งนี้แทนข้า ไปราชกิจออกราชกิจทุกวัน ศึกษาความคิดที่แตกต่างกันของเหล่าขุนนาง ทะเลาะกับพวกที่รับมือยาก ทั้งยังต้องคอยระแวดระวังกองกำลังที่โง่เขลาเหล่านั้นตลอดเวลา… ถึงอย่างไรข้าก็ไม่อยากทนแล้ว ให้ผู้ที่มีความสามารถมาดำรงต่อเสีย! พรุ่งนี้ข้าจะประกาศสละบัลลังก์ แล้วจะยกตำแหน่งจักรพรรดิเฮงซวยนี้ให้แก่เซี่ยเชียน!”
เซี่ยเชียนต้องขมวดคิ้วในที่สุด ก่อนกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงอยากสังหารข้าให้ตายคามือใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
จักรพรรดิเพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังพูดสิ่งใด
เขาเงียบลงฉับพลัน แต่นั่นคือความคิดที่ปรากฏขึ้นมาในใจเพียงเสี้ยววินาที ทำให้จักรพรรดิต้องถามตัวเองอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ ‘เขาอยากดำรงตำแหน่งจักรพรรดินี้ต่อไปจริง ๆ ใช่หรือไม่?’
จักรพรรดิคลึงขมับ น้ำเสียงเหนื่อยล้าอย่างไม่อาจปิดบังได้ พลางทอดถอนใจหนึ่งครั้ง “ในช่วงสองสามปีแรกที่เสด็จพ่อขึ้นครองบัลลังก์ ทรงสุขุมและระมัดระวังอย่างมาก กระทำเรื่องต่าง ๆ ได้สำเร็จไม่น้อย แต่เหตุการณ์ในเวลาต่อมา ท่านขุนนางก็คงเห็นแล้ว”
เซี่ยเชียนรู้ว่าจักรพรรดิทรงเป็นกังวลอยู่ในใจ จึงทำได้แค่อธิบายด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ตำแหน่งนี้ในเมื่อครอบครองแล้ว จะไม่มีโอกาสสละบัลลังก์ได้อีก ฝ่าบาทไม่ต้องกังวล ไม่ต้องคิดจะสละบัลลังก์ ความผิดพลาดของจักรพรรดิองค์ก่อน กระหม่อมจะไม่ให้มันมารบกวนฝ่าบาทแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิทอดถอนพระทัยอีกครั้ง “ข้ารู้”
สองนายบ่าวต่างตกสู่ความเงียบไปชั่วขณะ เซี่ยเชียนไม่พูดสิ่งใด แค่ยืนอยู่ข้างกายของจักรพรรดิอย่างเงียบ ๆ ปล่อยให้เวลาผ่านพ้นไป
ไม่นาน ก็ได้ยินจักรพรรดิตรัสเสียงต่ำ “บางวันข้าก็ปวดหัวเสียเหลือเกิน ยามดึกก็ยากจะนอนหลับ เอาแต่คิดว่าต้องไปราชกิจทุกวัน จึงอดร้อนใจไม่ได้ การป่วยของกุ้ยเฟยเกิดขึ้นจากการสิ้นพระชนม์ขององค์ชายรอง แม้ว่าระยะเวลาจะผ่านมานานแล้ว แต่ข้าก็ยังอยากให้องค์ชายใหญ่ยอมรับนางเป็นแม่ แล้วเลี้ยงดูให้อยู่ใต้บัญชาของนาง แต่กุ้ยเฟยไม่ให้โอกาสนี้แก่ข้า และจากโลกนี้ไปเสียก่อน…”
โชคดีที่ในตำหนักมีแค่เซี่ยเชียนและจักรพรรดิเพียงสองคน ปกติเขาไม่ค่อยแสดงความอ่อนแอที่ชัดเจนเช่นนี้ต่อหน้าคนภายนอก แต่สามารถเปิดเผยมันต่อหน้าเซี่ยเชียนได้
“บางครั้งข้าก็ไม่เข้าใจ เหตุใดถึงมีคนพยายามจะครอบครองตำแหน่งนี้นัก? อำนาจ สมบัติ สาวงาม สิ่งไหนบ้างที่ไม่ใช่สิ่งของที่คอยกัดกินใจคน? ข้าไม่อยากเลือก ไม่ชอบชีวิตที่หรูหรา และยิ่งไม่ชอบความรู้สึกของการอยู่เหนือผู้อื่น หรือว่าข้าไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้กัน?”
เซี่ยเชียนฟังอยู่เงียบ ๆ ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวเสียงต่ำ “ฝ่าบาททรงอย่าลืมสิว่ามันคือหน้าที่ที่พระองค์ต้องแบกรับ ความสุขของปวงชนใต้หล้า มีหลายครั้งที่สิ่งนี้อยู่ในความคิดคำนึงของฝ่าบาท”
จักรพรรดิกล่าวด้วยความอึดอัดพระทัย “ถ้าไม่ใช่เพราะหน้าที่และความรับผิดชอบทั้งหมดนี้ ข้าหนีไปนานแล้ว”
เซี่ยเชียนมองเสี้ยวหน้าด้านข้างที่ดูเหนื่อยล้าของเขา แล้วโพล่งออกไป “ฝ่าบาทยังทรงจำในสิ่งที่เราเคยพูดไว้เมื่อครั้งยังวัยเยาว์ได้หรือไม่ ถึงเรื่องอนาคตข้างหน้าของตัวเอง?”
จักรพรรดิยิ้ม “จำได้แน่นอน เสด็จพี่ผู้ซึ่งเป็นรัชทายาทเคยกล่าวไว้ว่าอยากนำทัพออกรบ ส่วนข้าบอกว่าอยากล่องเรือในทะเลสาบ เป็นเฒ่าประมงเอ้อระเหยไปวัน ๆ คนหนึ่ง แต่ยามนั้นเจ้าไม่ได้พูด ไหน ๆ ก็เอ่ยเรื่องนี้แล้ว ท่านขุนนางอยากทำสิ่งใดเล่า?”
เซี่ยเชียนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ในใจกระหม่อมคิดว่า จะเป็นขุนนางที่จงรักภักดีต่อบ้านเมืองคนหนึ่ง เป็นเสนาบดีที่ช่วยแบ่งเบาภาระของกษัตริย์ นำมาความผาสุกมาสู่ผู้คนและใต้หล้า”
จักรพรรดิประหลาดพระทัย “เจ้าเพิ่งจะอายุเท่าไหร่กันเชียว? ยามนั้นก็คิดเช่นนี้แล้วหรือ? เหตุใดถึงไม่พูดมันออกมา?”
เซี่ยเชียนเผยรอยยิ้มจาง ๆ จนแทบจะสังเกตไม่เห็นออกมา ส่ายหน้าพลางกล่าวเสียงต่ำ “กระหม่อมกลัวถูกหัวเราะเยาะ จึงไม่ได้พูดออกมา แต่ตอนนั้นกระหม่อมคิดเช่นนี้จริง ๆ”
จักรพรรดินิ่งอึ้งเล็กน้อย แล้วเปิดใจต่อ ด้วยการหัวเราะเบา ๆ “เจ้ากลัวผู้อื่นหัวเราะเยาะ? แต่มันก็มีความเป็นไปได้จริง ๆ! ตอนนี้ดูท่าเป้าหมายจริงจังของเจ้า ในสายตาของเสด็จพี่องค์รัชทายาทและข้าวันนั้น คิดว่าน่าจะเป็นผู้อวดรู้ถึงได้คิดเช่นนี้”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเขายังไม่จางหาย ยังคงพึมพำออกมาจากเพียงสั้น ๆ “ท่านขุนนาง เจ้าเป็นไม่ได้ เป็นเสนาบดีที่ช่วยแบ่งเบาภาระของกษัตริย์ นำมาความผาสุกมาสู่ผู้คนและใต้หล้า….”
เซี่ยเชียนส่งเสียงตอบรับหนึ่งเสียง แล้วมองเข้าไปนัยน์ตาของจักรพรรดิ ก่อนกล่าวอย่างจริงจัง “ฝ่าบาท การศึกษาที่กระหม่อมได้รับเมื่อครั้งวัยเยาว์ นั้นคือการจงรักภักดีต่อบ้านเมือง เชื่อมโยงหัวใจไว้กับใต้หล้า เดิมทีความตกอับของตระกูลเซี่ย ความฝันดังกล่าวได้ถูกแช่แข็งไว้แล้ว ทว่าตอนนี้กระหม่อมได้กลับเข้าวังอีกครั้ง และได้อยู่เคียงข้างฝ่าบาท…”
เขาหยุดไปชั่วขณะ นัยน์ตาฉายแววเด็ดเดี่ยว และกล่าวว่า “กระหม่อมจะพยายามอย่างสุดความสามารถ ปกป้องเจียงหนานของฝ่าบาท ปกป้องประชาชนของฝ่าบาท ปกป้องเรือและทะเลสาบในใจของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
พระเนตรของจักรพรรดิเปล่งประกายเล็กน้อย แต่กลับไม่ยอมให้ตนหวั่นไหวไปกับถ้อยคำของเซี่ยเชียน แล้วตรัสราวกับหยอกล้อก็มิปาน “เจ้าบอกว่าจะปกป้องเจียงหนานและประชาชนแทนข้า นี่คือเป้าหมายของเจ้าเสมอมา แต่การปกป้องเรือและทะเลสาบในของข้า หมายความว่าอย่างไร?”
เซี่ยเชียนไม่กล่าวสิ่งใด สีหน้ากลับอบอุ่นและเด็ดเดี่ยวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
จักรพรรดิทรงพระสรวล หัวสมองที่เดิมทีปวดร้าวจนแทบจะระเบิดนั้นก็เหมือนกับแปรเปลี่ยนไปไม่น้อย
เขาพลิกเปิดสาส์นที่กองสุมอยู่บนโต๊ะอย่างสบายอารมณ์ ถ้อยคำที่มักทำให้เขาโกรธเคืองได้ง่ายเหล่านั้น บัดนี้ดูท่าจะเป็นแค่ตัวอักษรสีดำบนกระดาษสีขาว เป็นเพียงสัญลักษณ์ที่ไม่สามารถคร่าชีวิตได้เท่านั้น ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด
ผ่านไปไม่นาน จักรพรรดิตรัสว่า “ถ้าข้ามีพี่สาวและน้องสาวก็ดี จะได้ให้อภิเษกสมรสกับท่านขุนนาง เปลี่ยนเจ้าให้เป็นเชื้อพระวงศ์ ผูกติดอยู่ข้างกายข้า”
เขาเร่งน้ำเสียงขึ้นเล็กน้อย แล้วกลับมายังอากัปกิริยาหยอกเย้าปกติ เซี่ยเชียนได้แต่ฟังโดยไม่สนใจ
เอ่ยถึงเรื่องการแต่งงาน จักรพรรดิก็อดใจหายอยู่ในพระทัยไม่ได้…
…………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
มีเพียงสหายรู้ใจเท่านั้นแหละที่ทำให้รู้สึกว่าข้างกายเขาเป็นเซฟโซน อั้ยยยย
ใจหายใช่ไหมเพคะเวลาจินตนาการว่าเซี่ยเชียนต้องแต่งงานมีครอบครัว
ไหหม่า(海馬)