ตอนที่ 388 ใครขัดขืนต้องตาย!

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 388 ใครขัดขืนต้องตาย!

หลังอ่านจบ ลิ่งหูชิวตะลึงงัน เป็นจดหมายจากหนิวโหย่วเต้าจริงๆ น่ะหรือ? หนิวโหย่วเต้าทำให้หอจันทร์กระจ่างรับปากว่าจะไม่มาหาเรื่องเขาได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ?

“นายท่าน จดหมายจากหนิวโหย่วเต้าจริงหรือเจ้าคะ?” หงซิ่วที่อยู่ในสภาพมอมแมมลองเอ่ยถาม

“พวกเจ้าอ่านดูเองเถอะ” ลิ่งหูชิวตกตะลึงใจลอย ยื่นจดหมายส่งให้พวกนาง

สตรีทั้งสองรับจดหมายไป ก้มหน้าอ่านไปพร้อมกันอย่างรวดเร็ว หลังอ่านจบก็มองหน้ากัน

หงซิ่วเอ่ยถามด้วยความสงสัยอีกครั้ง “เบื้องบนจะปล่อยพวกเราไปจริงหรือเจ้าคะ?”

“ไม่รู้ หากจะตายก็ตายอย่างมีศักดิ์ศรีกันหน่อย ไปหาสถานที่อาบน้ำอาบท่าก่อน” ลิ่งหูชิวถอนหายใจ เทตั๋วแลกทองมูลค่าหนึ่งร้อยเหรียญทองใบหนึ่งออกมาจากในซองจดหมาย

เห็นได้ชัดว่าผู้เขียนจดหมายคาดการณ์ไว้แล้วว่าของที่ถูกตรวจยึดไปจากพวกเขาคงไม่มีทางได้กลับคืนมาอีก ถึงแม้จำนวนเงินจะไม่มาก ทว่าแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจจริงๆ

สองหญิงหนึ่งชายในสภาพเสื้อผ้าขาดวิ่นเดินเท้าเปล่าออกไป

หลังจากฟ้ามืดลงทั้งสามที่อาบน้ำสะอาดสะอ้านแล้วนั่งกินอาหารอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง

ไม่ว่าเรื่องที่หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่าจะจริงหรือไม่ แต่ทั้งสามก็ทราบแก่ใจดีว่าหากหอจันทร์กระจ่างต้องการมาจัดการพวกเขาจริงๆ ด้วยสถานการณ์โดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งของทั้งสามในตอนนี้ไม่มีทางหนีรอดไปได้

ไม่ได้กินอาหารดีๆ มาหลายเดือนแล้ว หลังจากกินจนอิ่มหนำทั้งสามก็กลับไปที่ห้องพัก พอเปิดประตูเข้าไปก็ใจหายวาบทันที มองเห็นคนในชุดผ้าคลุมดำมีหมวกคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าต่าง หันหลังให้พวกเขาอยู่

ทั้งสามตื่นตัวขึ้นมาในทันที ตั้งท่าระแวดระวังอยู่นอกห้อง

“เข้ามาสิ!” คนชุดดำเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแหบพร่า

ทั้งสามล้วนเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน ตระหนักได้แล้วว่าเป็นผู้ใด จิตใจแต่ละคนตึงเครียดเป็นกังวล

ทั้งสามอยากหลบหนีไป แต่เท้ากลับหนักอึ้ง สุดท้ายก็ค่อยๆ เดินเข้าไปในห้องพักทีละคน

พอประตูปิดลง คนชุดดำเอ่ยเนิบๆ ว่า “นับจากนี้ พวกเจ้าทั้งสามไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกเราอีกต่อไป ถ้าไม่อยากตายก็ควรลืมเลือนเรื่องที่ไม่ควรจดจำไปเสีย หนนี้นับว่าพวกเจ้าโชคดีมาก ดูแลตัวเองให้ดีแล้วกัน!”

พอกล่าวประโยคนี้จบ คนผู้นั้นก็กระโจนออกจากหน้าต่างไป หายลับไปดั่งภูตผี

ทั้งสามยืนนิ่งอยู่นานพักใหญ่ ผ่านไปสักพักถึงค่อยๆ ได้สติกลับมาราวกับตื่นจากฝันร้าย

หงซิ่วจุดตะเกียงน้ำมัน ผีเสื้อจันทราของพวกเขาไม่อยู่แล้ว ตอนที่ออกจากคุกมาเหลือเพียงเสื้อผ้าขาดวิ่นติดกายเท่านั้น

หงฝูเดินไปปิดหน้าต่างอย่างรวดเร็ว

แสงตะเกียงสาดส่องใบหน้าคนทั้งสาม ทั้งสามยังคงมีท่าทางหวาดผวาเสียขวัญอยู่

หงฝูเอ่ยทำลายความเงียบว่า “นายท่าน ดูเหมือนเรื่องที่หนิวโหย่วเต้าบอกไว้ในจดหมายจะเป็นความจริงนะเจ้าคะ”

พวกเขาทราบชัดเจนดี คนที่หลุดพ้นจากองค์กรได้แบบยังมีชีวิตอยู่นั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยจริงๆ หากไม่มีเหตุผลพิเศษก็เป็นไปไม่ได้เลย

ลิ่งหูชิวค่อยๆ เดินไปนั่งลงข้างตะเกียง หยิบจดหมายฉบับนั้นของหนิวโหย่วเต้าออกมาอีกครั้ง อ่านดูอีกรอบ

หลังจากอ่านดูอีกครั้งและทราบว่าเนื้อหาในจดหมายเป็นความจริง ในใจก็มีสารพัดอารมณ์เอ่อล้นขึ้นมา

ตอนอยู่ในคุก เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมสารภาพ เพราะรู้ว่าตนไม่มีทางรอดแล้ว ถึงตายก็ต้องลากหนิวโหย่วเต้าลงหลุมไปด้วยกันให้ได้

เรื่องที่ทำให้เขานึกแค้นใจยิ่งกว่านั้นคือเดรัจฉานหนิวโหย่วเต้ากล้าแตะต้องกระทั่งสตรีของเขา โทสะนี้เขาสะกดกลั้นไม่ไหวจริงๆ เป็นเหตุผลที่ทำให้เขายืนกรานว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็จะไม่ยอมสารภาพ

แต่พอถึงตอนนี้ เมื่อได้มาเห็นจดหมายฉบับนี้ เขาถึงได้เข้าเจตนาที่แท้จริงขึ้นมา เพิ่งทราบว่าหนิวโหย่วเต้าต้องการช่วยปกป้องชีวิตเขาไว้จริงๆ ทั้งที่ตัวเขาไม่เหลือประโยชน์คุณค่าใดๆ อีกแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด หนิวโหย่วเต้าก็ไม่จำเป็นต้องหาความลำบากใส่ตัวเลย ตอนนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเขาออกจากคุก แต่ยังช่วยให้เขาหลุดพ้นจากหอจันทร์กระจ่างอีก ทำให้เห็นถึงความจริงใจของอีกฝ่าย

เวลานี้พอสงบลงใจลงได้อย่างแท้จริง เขาจึงอ่านประโยคนั้นในจดหมายดูอีกครั้ง ‘พี่รองประสงค์จะทำร้ายน้อง แล้วจะให้น้องทำอย่างไร?’

พอสงบใจย้อนนึกดูแล้ว เป็นทางนี้เองที่คิดจะใช้แผนยั่วยวนเพื่อทำร้ายหนิวโหย่วเต้า เพราะเหตุนี้ถึงทำให้หงซิ่วหงฝูได้รับความอัปยศ อีกฝ่ายก็แค่ผสมโรงตามน้ำไปเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้น

จดหมายฉบับนี้ช่างมีผลลัพธ์น่าอัศจรรย์นัก ทำให้ความโกรธเคืองขุ่นข้องของเขาสลายหายไปจากใจเขาได้จริงๆ ไม่มีความคิดอยากจะแก้แค้นเอาคืนอีก เขายกมือเอาจดหมายฉบับนั้นจ่อกับไฟบนตะเกียง มองดูมันถูกเผาเป็นเถ้าไปทีละน้อย เอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ล้วนเป็นอดีตไปหมดแล้ว”

เขาปล่อยวางได้อย่างแท้จริง แต่สำหรับสตรีทั้งสองเมื่อนึกถึงฉากที่ได้รับความอัปยศในวันนั้นขึ้นมา พวกนางยังคงทนนึกถึงไม่ได้อยู่ดี ยากจะทนรับความอับอายได้

หงฝูขบริมฝีปากเล็กน้อย ถามออกไป “นายท่าน จะปล่อยหนิวโหย่วเต้าไปเช่นนี้หรือเจ้าคะ?”

ลิ่งหูชิวถามกลับ “เจ้ายังคิดจะทำอะไรอีก? แม้แต่เบื้องบนก็ยังรั้งตัวเขาไว้ในแคว้นฉีไม่ได้ ขนาดเบื้องบนยังทำอะไรเขาไม่ได้เลย เขามีคนติดตามคุ้มกันรอบกายมากมาย อาศัยเพียงกำลังของพวกเราสามคนจะทำอันใดได้? เกรงว่าคงไม่มีแม้แต่โอกาสจะเข้าประชิดตัวเขาด้วยซ้ำ หากฝืนดึงดันต่อไป จะเป็นการบีบคั้นจนเขาหมดความอดทน แม้แต่ราชทูตแคว้นเยี่ยนเขาก็ฆ่ามาแล้ว ไหนจะคุนหลินซู่อีก? เขาไม่มีทางยอมใจอ่อนไว้ไมตรีแน่”

สองสตรีเงียบไป ลองใคร่ครวญดูก็พบว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ คิดจะล้างแค้นหนิวโหย่วเต้าหาได้ง่ายดายเช่นนั้นไม่ ขนาดตอนที่มีกำลังของหอจันทร์กระจ่างเป็นที่พึ่งก็ยังทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ ยามนี้ไร้ซึ่งกำลัง การจะไปตอแยหนิวโหย่วเต้านั้นแทบจะไม่มีหวังอะไรเลย

หงซิ่วเอ่ยถาม “นายท่าน จากนี้พวกเราจะไปไหนกันดีเจ้าคะ?”

ลิ่งหูชิวเงียบงันไปนานพักใหญ่ จากนั้นค่อยๆ ลุกขึ้นยืน จ้องมองแสงตะเกียงพลางเอ่ยเนิบๆ ว่า “ในเมื่อหลุดพ้นแล้ว มีอิสระแล้ว…พวกเรายังพอมีเงินเก็บสะสมไว้ในโรงฝากเงินพอสมควร อย่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักกันอีกเลย พวกเราต้องสร้างหนทางของตัวเอง ตั้งสำนักกันเถอะ! ในเมื่อหนิวโหย่วเต้าสามารถทำได้ ข้าก็ไม่เชื่อว่าพวกเราจะทำไม่ได้…”

….

ณ สวนไม้เลื้อย ตู๋กูจิ้งยืนรออยู่ใต้ชายหลังอย่างสงบ

ประตูเปิดออก อวี้ชางที่อาบน้ำเสร็จแล้วเดินออกมา ยืนบนขั้นบันได เงยหน้ามองจันทราบนนภายามราตรี

ตู๋กูจิ้งเอ่ยว่า “อาจารย์ ลิ่งหูชิวถูกปล่อยตัวแล้วขอรับ”

ตอนนี้อวี้ชางไม่สนใจเรื่องลิ่งหูชิวแล้ว ถามเพียงว่า “จัดการให้คนรอบข้างถอยออกไปหมดหรือยัง?”

ตู๋กูจิ้งตอบว่า “รอบๆ ไม่มีผู้ใดแล้วขอรับ มีคนคอยเฝ้าคุ้มกันอยู่รอบๆ ไม่มีทางปล่อยให้ใครหน้าไหนเข้าใกล้ได้ขอรับ”

อวี้ชางถึงได้เดินลงมาตามขั้นบันได เดินไปหยุดหน้าโอ่งน้ำใบหนึ่งที่บรรจุน้ำสะอาดไว้เต็มใบ เงยหน้ามองดวงจันทร์อีกครั้ง ค่อยๆ เดินหมุนวนรอบโอ่งน้ำคล้ายกำลังหามุมอยู่

ไม่นานนักก็หยุดนิ่ง เขาเหลียวมองรอบข้างเล็กน้อย หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีผู้ใด เขาถึงจะหยิบคันฉ่องสัมฤทธิ์บานนั้นออกมาจากแขนเสื้อ หันบานคันฉ่องเข้าหาดวงจันทร์บนฟ้า ด้านหลังคันฉ่องหันเข้าหาโอ่งน้ำ

ตู๋กูจิ้งไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร แต่จู่ๆ สองตาก็เบิกกว้างขึ้นมาเล็กน้อย มองเห็นว่ามีจุดแสงเก้าจุดสะท้อนเลือนรางบนผิวน้ำภายในโอ่ง อดไม่ได้ที่จะเพ่งมองให้ชัดเจนขึ้น

ทว่าอวี้ชางกลับพลิกคันฉ่อง ดึงเก็บกลับไปอย่างรวดเร็ว ลูบไล้คันฉ่องด้วยสองมือ พึมพำด้วยความรู้สึกตื่นเต้นว่า “เป็นของจริง มันเป็นของจริง! หาพบแล้ว หาพบแล้วจริงๆ หายสาบสูญไปสองร้อยกว่าปี ในที่สุดพวกเราก็หาพบแล้ว” มีหยาดน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาอยู่รางๆ

ตู๋กูจิ้งรอจนเขาสงบสติอารมณ์ลงได้แล้วถึงลองเอ่ยถามออกไป “อาจารย์ ปรากฏการณ์เมื่อครู่คืออะไรหรือขอรับ?”

อวี้ชางเก็บคันฉ่องไว้ในอกเสื้อ ส่ายหน้าเอ่ยกระซิบว่า “ข้าเองก็ไม่รู้รายละเอียดแน่ชัด รู้เพียงว่าขอเพียงค้นพบสถานที่ที่ในอดีตซางซ่งเคยทลายฟ้าพบ สิ่งนี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดประตูสวรรค์ ด้วยเหตุนี้ถึงได้เป็นของวิเศษอันดับหนึ่งในแปดของวิเศษ ส่วนเจ้าสิ่งนี้จะใช้เปิดประตูสวรรค์อย่างไรนั้น แม้แต่ยอดคนทั้งเก้าที่เคยศึกษามาเป็นเวลานานก็ไม่ทราบเช่นกัน เกรงว่าคงมีแต่ต้องค้นหาสถานที่ที่ซางซ่งทลายฟ้าให้พบแล้วไปทำการเทียบกับสถานที่จริงเอาถึงจะทราบคำตอบ จุดแสงเก้าจุดนี้น่าจะเป็นกุญแจสำคัญ น่าเสียดายที่ยังตามหาสถานที่ที่ซางซ่งทลายฟ้าไม่พบเลย…”

….

ภายในวังหลวงงดงามตระการตา ทว่าพออยู่ในความมืดยามราตรีกลับดูมืดมนอย่างน่าประหลาด

เสียงฝีเท้าสับสนร้อนรนแว่วดังทำลายความเงียบ ปู้สวินมุ่งตรงไปยังตำหนักบรรทม คนที่ตามหลังมาหยุดรออยู่นอกตำหนักบรรทม มีเพียงปู้สวินที่ก้าวขึ้นบันไดไปเคาะประตูใหญ่ที่ปิดสนิทอยู่

“มีเรื่องใด?” เฮ่าอวิ๋นถูที่กำลังรับการปรนบัติจากโฉมงามพลันลุกขึ้นนั่งทันที ตะโกนถามขึ้นมา ดูเหมือนจะตื่นเต็มตาขึ้นมาในพริบตา

สนมที่ปรนบัติอยู่ข้างกายก็ค่อนข้างมึนงงเช่นกัน

เฮ่าอวิ๋นถูรู้ดี ในช่วงเวลานี้หากไม่มีเรื่องเร่งด่วน อีกฝ่ายคงไม่กล้ามารบกวนตนแน่

เสียงปู้สวินแว่วมาจากด้านนอก “ฝ่าบาท จวนอิงอ๋องเกิดเรื่องขึ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ไม่นานนัก เฮ่าอวิ๋นถูที่ปล่อยผมสยายก็เดินออกจากประตูมา สวมเสื้อคลุมตัวหนึ่งไว้บนร่างอย่างลวกๆ เอ่ยด้วยแววตาดุดันเย็นชาว่า “เกิดอะไรขึ้น?”

ปู้สวินค้อมกายพลางเอ่ยว่า “พระชายาอิงอ๋องถูกลอบทำร้าย…สิ้นใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ถ้อยคำสุดท้ายกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง

เฮ่าอวิ๋นถูหน้าเปลี่ยนสี โกรธเกรี้ยวขึ้นมาในทันใด “แม้แต่สะใภ้ของเราก็ยังปกป้องไว้ไม่ได้ พวกองครักษ์มัวทำอะไรกันอยู่? คนร้ายเป็นใคร? จับตัวได้หรือไม่?”

ปู้สวินตอบว่า “ไม่พบตัวมือสังหาร ไม่พบตัวคนร้าย พบเพียงอาวุธสังหารพ่ะย่ะค่ะ! มีคนส่งหีบใบหนึ่งเข้าไปในจวนอวี้อ๋อง พอเปิดหีบออก ด้านในมีตุ๊กตาที่หมุนได้เองอยู่ตัวหนึ่ง อิงอ๋องไม่อยู่ ของหายากเช่นนี้ย่อมต้องถูกถวายไปให้พระชายา ผู้ใดจะคิดถึงว่ายามที่เปิดหีบออกมา หลังจากตุ๊กตาหมุนอยู่ไม่กี่ครั้ง จู่ๆ ก็มีเข็มพิษจำนวนมหาศาลพุ่งออกมาดั่งห่าฝน บนเข็มเคลือบยาพิษร้ายแรงไว้ กว่าฝ่าซือเข้าไปให้การช่วยเหลือก็ไม่ทันการแล้วพ่ะย่ะค่ะ! ในขณะนั้นมีบ่าวรับใช้ที่ประสบเคราะห์พร้อมกันอีกหลายคน ทุกคนในที่เกิดเหตุไม่รอดเลยสักรายพ่ะย่ะค่ะ”

เฮ่าอวิ๋นถูเอ่ยด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว “ของถูกส่งมาถวาย ไม่รู้จักตรวจสอบกันบ้างหรือ?”

ปู้สวินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “หีบนั้นถูกสร้างขึ้นอย่างประณีต ตอนที่พวกบ่าวรับใช้เปิดดูในตอนแรกก็ยังปกติดี ภายหลังเปิดตรวจสอบอีกครั้งก็ยังไม่มีปัญหา จนกระทั่งถวายขึ้นไปยังพระชายาถึงได้เกิดเหตุขึ้น โชคดีที่องค์ชายน้อยทั้งสองเหนื่อยจากการเล่นสนุกตอนกลางวัน จึงเข้านอนไปก่อนแล้ว มิเช่นนั้นผลลัพธ์ที่ตามมาคงร้ายแรงจนไม่กล้าคาดคิดพ่ะย่ะค่ะ”

พอได้ยินว่าหลานชายของตนก็เกือบจะถูกทำร้ายไปด้วย เฮ่าอวิ๋นถูก็นึกหวาดกลัวขึ้นมาเช่นกัน ตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว เสียงดังปานฟ้าผ่า “ข้าถามเจ้าว่าจับตัวคนร้ายได้หรือไม่ เป็นฝีมือผู้ใด?”

ปู้สวินเอ่ยว่า “คนที่นำของไปถวายไม่ได้หลบหนีไปไหนพ่ะย่ะค่ะ จับกุมไว้แล้ว แต่ดูจากท่าทางแล้วเห็นทีว่าคงถูกหลอกใช้เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”

“สืบมา! ลากตัวคนร้ายมาให้ได้!” เฮ่าอวิ๋นถูตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด

ฮ่องเต้โกรธา ทั่วทั้งเมืองหลวงแคว้นฉีพลันโกลาหลวุ่นวายขึ้นมาทันที กองทหารในเมืองออกปฏิบัติการสืบค้น ทั่วทุกแห่งหนมีเสียงเคาะประตูขอเข้าไปตรวจสอบ ผีเสื้อจันทราจำนวนมากบินว่อนอยู่บบนภูเขารอบทิศ สามสำนักใหญ่ส่งผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนมากออกปฏิบัติการ

ฝ่าซือคุ้มกันที่กระจายตัวไปทั่วเมืองหลวงยืนอยู่ตามหลังคาอาคารสูง กวาดตามองไปรอบทิศด้วยสายตาเยียบเย็น

มีเสียงร้องโหยหวนแว่วขึ้นในเมืองเป็นระยะๆ มีคนบางส่วนหลบหนีโดยไม่ทราบว่าร้อนตัวด้วยเหตุใด ทว่าถูกยิงธนูใส่ร่างจนล้มคว่ำทันที

ผู้บำเพ็ญเพียรบางส่วนที่อารมณ์ไม่สู้ดีก็จัดการตัดคอทิ้งทันที

ผู้ใดที่ปฏิเสธการตรวจค้น ถ้าจับได้ก็จับ ถ้าจับลำบากก็แทบจะถูกสังหารทิ้งทั้งหมด ภายในระยะเวลาสั้นๆ ไม่รู้ว่ามีผู้บริสุทธิ์ต้องตายอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรมไปมากน้อยเท่าไร กลิ่นคาวเลือดลอยคลุ้งไปทั่วเมืองหลวงแคว้นฉี

……

ณ เรือนเมฆาขาว ซูจ้าวยืนบนหอสูง เงยหน้ามองดวงจันทร์ ฟังเสียงเอะอะวุ่นวายจากด้านนอก

ฉินเหมียนรีบเดินขึ้นมา เอ่ยกระซิบข้างหู “นายหญิง จัดการเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”

ซูจ้าวพยักหน้านิดๆ ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมจากภายนอกก็พอจะคาดเดาได้แปดเก้าส่วนแล้ว นางถามว่า “คนของทางเราที่ควรหลบหนีไปล้วนหลบหนีไปหมดแล้วกระมัง?”

“ล้วนเตรียมการไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยหมดแล้วเจ้าค่ะ ไม่มีทางสืบพบเบาะแสอันใดที่จะสืบสาวมาถึงพวกเราได้เจ้าค่ะ” ฉินเหมียนเอ่ยแจ้ง จากนั้นก็เตือนขึ้นว่า “เมื่อครู่ได้รับข่าวมาจากเบื้องบน เบื้องบนมีคำสั่งสำคัญ หลังจากนี้ไปหากไม่ได้รับอนุญาต ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามแตะต้องหนิวโหย่วเต้าเจ้าค่ะ!”

ซูจ้าวหันกลับไปด้วยความตกใจ “หมายความว่าอย่างไร?”

ฉินเหมียนตอบว่า “ไม่ได้แจ้งมาเจ้าค่ะ บอกเพียงว่าใครขัดขืนให้ฆ่าทิ้งได้!”

“…..” ซูจ้าวพูดไม่ออก รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ เสียหายเพราะหนิวโหย่วเต้าไปมากขนาดนั้น อีกทั้งคนขององค์กรยังถูกสังหารไปหลายร้อยคน แต่เบื้องบนกลับสั่งการลงมาเช่นนี้ ห้ามไม่ให้ใครแตะต้องหนิวโหย่วเต้า นี่มันหมายความว่าอย่างไร?

ในเวลานี้เอง มีคนกลุ่มหนึ่งถือคบเพลิงเดินดุ่มๆ เข้ามาจากด้านหน้า เป็นทหารของราชสำนักที่มาตรวจค้น…

…………………………………………………………………..