“น่าจะที่นี่แหละ” 

ราล์ฟพูดขณะที่เรายืนอยู่หน้าประตูเพื่อรอให้ประตูเปิด 

หลังจากการพูดคุยกับพวกผู้อาวุโสเสร็จแล้ว เราก็ได้รับแจ้งว่าการประชุมที่เสนอจะมีขึ้นภายในหนึ่งชั่วโมง หลังจากพักผ่อนได้สักพักจนหมดเวลาพวกเราก็มายืนอยู่หน้าประตูนี่แล้ว ในครั้งนี้ถูกนำโดยคนที่มีทักษะและประสบการณ์จริง ๆ

มันเป็นประสบการณ์ที่ดีกว่าตอนที่เราพึ่งมาถึงที่นี่มาก โบนัสเพิ่มเติมคือความจริงที่ว่าคนที่นำทางเรามาจับตาดูผม แม้ว่าเขาจะเลิกทำอย่างรวดเร็วเมื่อเรามาถึงประตูก็ตาม หลังจากแสดงความเคารพแล้ว เขาก็จากไป เหลือเพียงเรา 2 คนที่นี่ ผู้คุ้มกัน 2 คนที่มากับเราไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้

แคร็ก… แคร็ก… แคร็ก…

เสียงเปิดประตูดังขึ้นก่อนที่ห้องโถงขนาดใหญ่จะปรากฏขึ้นต่อหน้าราล์ฟและผม สายตาของเราจ้องมองไปที่กลางห้องทันทีจนพบกับโต๊ะกลมขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้น ในเวลาเดียวกัน ประตูอื่นๆ อีกหลายบานก็เปิดออก เผยให้เห็นทางเดินและห้องใหม่ๆ

เสียงเปิดประตูดังก้องไปทั่วห้องโถงขนาดมหึมา สะท้อนออกมาจากกำแพงหินโบราณ เมื่อประตูเปิดกว้าง ภาพอันน่าทึ่งปรากฏต่อหน้าราล์ฟและผม 

เรายืนอยู่ที่ธรณีประตู โดยที่สายตาของเราถูกดึงดูดไปที่ศูนย์กลางอันงดงามของห้องทันที โต๊ะกลมขนาดใหญ่ประดับด้วยงานแกะสลักอันประณีตและสัญลักษณ์ของอารยธรรมที่ถูกลืมไปนาน

โต๊ะซึ่งผุกร่อนตามเวลา มีร่องรอยของเรื่องราวและการรวมตัวกันมากมายนับไม่ถ้วนที่เกิดขึ้นภายในกำแพงอันศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ พื้นผิวของมันแวววาวเป็นเงามันวาว สะท้อนแสงอันนุ่มนวลของคบเพลิงที่เรียงรายอยู่ทั่วห้อง รอบๆ โต๊ะนั้นมีเก้าอี้หรูหราตั้งตระหง่านราวกับยามรักษาการณ์ แต่ละตัวเป็นผลงานศิลปะบรรยายภาพสัตว์ในตำนานและวีรบุรุษในสมัยโบราณ

หลังจากเรามองออกไปนอกโต๊ะ เราก็สังเกตเห็นว่ามีประตูอื่นๆ อีกจำนวนมากเปิดพร้อมกัน เผยให้เห็นห้องและทางเดินที่ซ่อนอยู่ ราวกับว่าห้องนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ที่ถูกแช่แข็งด้วยกาลเวลาซึ่งมีความลับที่รอการเปิดเผย อากาศให้ความรู้สึกของการคาดหวัง ราวกับว่าห้องนั้นกำลังกลั้นหายใจด้วยความกระตือรือร้นที่จะเปิดเผยความลึกลับของมันให้ผู้ที่กล้าเสี่ยงออกไปต่อไป

ผมรู้สึกว่ามีหลายสายตาเพ่งความสนใจมาที่ราล์ฟและผมหลังจากที่เราเข้ามาในห้อง ตามด้วยคนอื่นๆ ที่ประตูเปิดพร้อมกัน ทุกก้าวที่ผมเดินไปก้องไปทั่วห้องโถงพร้อมกับเสียงกระซิบเงียบๆ ที่ดูเหมือนจะลอยขึ้นมาจากก้อนหินใต้ฝ่าเท้าของผม

แต่ละคนที่จ้องมองผมมานั้นมีสายตาและออร่าที่ทรงพลัง ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของผู้คนที่อยู่ด้านบนสุดของห่วงโซ่อาหาร ดวงตาที่อยากรู้อยากเห็นของพวกเขามองตามร่างกายของผมจนดูเหมือนต้องการค้นหาความลับใดๆ ก็ตามที่พวกเขาสามารถทำได้จากผม 

ผมยิ้มให้กับความพยายามของพวกเขาขณะที่ราล์ฟและตัวเองเดินมาถึงโต๊ะกลางห้องก่อนจะนั่งลงยังที่นั่งที่ถูกต้องของเราพร้อมกับคนอื่นๆ

สายตาของผมยังคงสแกนผู้คนต่อไปและพยายามรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพวกเขาในตอนที่สามารถเผชิญหน้ากันแบบตัวเป็นๆ ได้ ดาร์กไนท์ได้ให้ข้อมูลที่เพียงพอแก่ผมเกี่ยวกับองค์กรทั้งหมดที่มารวมตัวกันที่นี่ในวันนี้แล้ว รวมเป็นทั้งหมด 8 องค์กรที่ทรงพลัง ซึ่งแต่ละองค์กรควบคุมพลังเฉพาะของตนเอง พร้อมมุมมองและความปรารถนาต่อโลกของแต่ละองค์กร์ 

ในความเป็นจริงอำนาจมากมายเหล่านี้ได้ขยายการควบคุมจักรวรรดิ, อาณาจักรและอื่นๆ อีกมากมาย หากมีใครคิดว่าจักรวรรดิคือจุดสุดยอดของโลกนี้แล้ว พวกเขาคงห่างไกลจากความจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมได้เรียนรู้มาอย่างยากลำบาก

แน่นอนว่ายังมีจักรวรรดิที่มีอำนาจอยู่นอกเหนือการควบคุมอยู่บ้าง แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังต้องตอบสนองต่อสภาสงครามซึ่งอยู่ด้านบนสุดในบรรดาองค์กรเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่าสภาสงครามจะสามารถควบคุมหรือสั่งการองค์กรทั้ง 8 นี้ได้

ขณะนี้มีคน 12 คนอยู่ล้อมรอบผมที่โต๊ะนี้ ตัวแทน 8 คนขององค์กร โดยมี 2 คนในนั้นพามาอีก 2 คนเช่นเดียวกับราล์ฟและอีก 2 คนเป็นตัวแทนของสภาสงคราม ผู้นำคนปัจจุบันและรองผู้นำขององค์กรที่มีอำนาจมากที่สุดคนหนึ่งในโลก

สายตาของผมกวาดสายตามองชายที่นั่งอยู่บนโต๊ะด้วยพลังและความสง่างาม ท่าทางของเขาดูสบายๆ แต่แข็งแกร่ง ใบหน้าของเขาเป็นใบหน้าที่หล่อเหลา มีผมสีแดงหยิกและดวงตาสีเขียวที่เฉียบคม หูที่ยาวของเขาแสดงให้เห็นเชื้อสายของเขา โดยหูหนึ่งมีเครื่องหมายของครึ่งเอลฟ์ ในขณะที่เขาเล็กๆ บนหัวของเขาเปล่งประกายด้วยสีแดง ซึ่งเป็นตัวแทนเชื้อสายปีศาจของเขา

‘ควอกซ์ วอลลีน หนึ่งในตัวตนอันทรงพลัง อัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่ในรุ่นอายุของเขา…’

จิตใจของผมปั่นป่วนกับข้อมูลนี้เมื่อตัวเองจ้องมองไปที่รอยยิ้มอันจางๆ ของเขา ผมสามารถบอกได้ว่าเขาเป็นคนที่อันตรายมากและจะเป็นคนที่ลำบากที่สุดสำหรับผมในการรับมือกับการพิชิตสภาสงคราม 

เมื่อเปิดใช้งานระบบของผม ผมก็ตรวจสอบข้อมูลของเขา

‘โอ้?…น่าสนใจ…’

หลังจากที่ผมตรวจสอบพลังของเขาเสร็จแล้ว ผมก็ยกระดับความอันตรายของเขาในทันที คนอย่างเขาที่ซ่อนตัวอยู่นั้นยังมีอีกมาก ซึ่งจะเป็นคู่ต่อสู้ที่ยุ่งยากมากที่จะรับมือ 

เมื่อวิเคราะห์เสร็จแล้วผมก็หันไปทางผู้หญิงที่นั่งข้างเขา ซึ่งเป็นรองผู้นำ เธอต่างจากเขาตรงที่เธอมีหน้ากากปิดบังใบหน้าอยู่ ผมสีขาวยาวของเธอม้วนลงมาข้างหลังเธอ ขณะที่เธอนั่งอยู่ข้างหลังเขาราวกับหุ่นยนต์

‘ทริกซี่ ริกซี่ ข้อมูลเดียวที่รู้ก็คือเธอคือสิ่งมีชีวิตที่มีเอกลักษณ์…’

ข้อมูลอื่นๆ ทั้งหมดเกี่ยวกับเธอถูกทำลายไปหมดแล้ว ทำให้เธอกลายเป็นปริศนาที่ยิ่งใหญ่กว่าควอกซ์ วอลลีนซะอีก ผมเจาะลึกข้อมูลของเธอและอ่านสิ่งที่สามารถตรวจสอบได้ ซึ่งทำให้ผมเบิกตากว้างอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกลับสู่ภาวะปกติขณะนั่งอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ

‘ดูเหมือนที่นี่จะไม่น่าเบื่อแล้วสิ…’

หลังจากที่ได้อ่านข้อมูลเกี่ยวกับทริกซี่แล้วทำให้ผมต้องเปลี่ยนแผนบางอย่างของสภาสงคราม และในขณะที่ผมกำลังจมอยู่กับความคิดควอกซ์ก็พูดขึ้นมา

“ทุกคนน่าจะมากันครบแล้วสินะ?”

เสียงของเขาดังก้องไปทั่วห้องใหญ่ หลังจากนั้นเสาในห้องก็สว่างขึ้นเพื่อป้องกันบทสนทนาหลังจากนี้ไว้ไม่ให้ใครก็ตามที่กล้าจ้องมองเข้ามาในสถานที่นี้ จากนี้ไปจนสิ้นสุดการประชุม พวกเราทุกคนที่นี่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง

“พวกเรามากันครบแล้ว แต่สิ่งต่างๆ ก็ยังคงล่าช้าอยู่ดี…”

ชายคนหนึ่งบนโต๊ะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหยาบกร้านทำให้ความตึงเครียดของสถานการณ์ในห้องเพิ่มขึ้น ชายผู้นั้นคือปีศาจที่มีผิวสีแดง มีเขาสามเขาและดวงตาสีเหลืองเป็นประกาย ซึ่งเป็นผู้นำขององค์กรเดกซ์ซอส(Dexos)ชื่อ เกอร์เล เวด เคอร์ฟี

“ฉันไม่คิดว่านี่ใช่เวลาที่จะพูดถึงเรื่องนั้นนะ เรามีปัญหาใหญ่กว่าที่ต้องจัดการอยู่…”

เสียงอันแผ่วเบาที่พูดขึ้นมานั้นเป็นของนางเงือกที่มีหน้าตางดงาม ซึ่งมีผมสีฟ้าเป็นประกายและดวงตาของเธอจดจ่อไปที่กึ่งกลางโต๊ะ 

‘นีนี่ โน นาวี่ผู้นำของเซฟาค’ 

ผมคิดขณะที่ทั้งราล์ฟและผมก็พยักหน้าให้เธอเล็กน้อย เธอพยักหน้ากลับก่อนที่จะมุ่งความสนใจไปที่ควอกซ์

“บอกเรามาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น?” 

เธอถามขึ้นมากับเกอร์เล

“จะเป็นเรื่องอะไรไปได้อีกหล่ะ นอกซะจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในสถาบันการศึกษานั่นหน่ะ” 

น้ำเสียงหยาบของเขาฟังดูไม่พอใจมากขึ้น แต่เขายินดีที่จะอดกลั้นเมื่อสถานการณ์เรียกร้อง

“ที่จริงแล้ว สิ่งต่างๆ เลวร้ายเนื่องจาก ‘พวกมัน’ เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งแล้ว” 

เมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกพูด บรรยากาศในห้องโถงก็เคร่งขรึมมากขึ้น

“ข้าคิดว่าเราควรจัดการกับพวกมันเพื่อซื้อเวลาให้มากกว่านี้ไม่ได้งั้นรึ?” 

คนแคระที่โต๊ะพูดขึ้น คำถามของเขาพุ่งตรงไปที่เป้าหมายขณะที่คนอื่นๆ หันไปมองที่ควอกซ์ซึ่งถอนหายใจออกมาก่อนที่เขาจะตอบ

“เรื่องวุ่นวายมากกว่าที่คุณคิดไว้มาก…”

“นั่นหมายความว่ายังไงกัน?”

คนแคระโอมาน จาเซก้า โวเลผู้นำของเทร่าฟอร์มถาม

“ก่อนที่ข้าจะตอบ ทำไมพวกเจ้าไม่ลองดูเจ้านี่ก่อนหล่ะ?” 

ควอกซ์กล่าวพร้อมกับวางอุปกรณ์บางอย่างลงบนโต๊ะซึ่งในไม่ช้าก็เริ่มแสดงรายงาน กราฟขาลงปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาเรา

“นี่คือกราฟของพลังงานคอร์รัป ดังที่พวกเจ้าทราบ พลังงานนี้ไม่เคยหายไปจากโลกของเรา มันเพิ่งมาถึงจุดที่ไม่มีใครรู้สึกได้ รายงานตรงหน้าพวกเจ้าแสดงสถานการณ์ในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา…”

ควอกซ์หยุดพูดชั่วคราว โดยเปลี่ยนรายงานในครั้งนี้เพื่อแสดงกราฟอื่นก่อนที่เขาจะพูดต่อ

“และนี่คือรายงานระดับการคอร์รัป(corrupting)ในปัจจุบันภายใน 50 ปีนี้…”

“พระเจ้าช่วย…” 

นีนี่อ้าปากค้าง

“นี่มัน…”

“เป็นไปได้ยังไง?…”

“ทำไมถึงเป็นตอนนี้หล่ะ?…”

ความตกตะลึงของทุกคนดังไปทั่วห้องเมื่อกราฟแสดงถึงระดับพลังงานคอร์รัปที่เพิ่มขึ้นมหาศาล ซึ่งในไม่ช้าก็จะถึงระดับของการเกิดใหม่

และนั่นอาจหมายถึงสิ่งเดียวเท่านั้น…

…สงครามกลางเมือง(Civil war)…

 

 

 

-Donate-

True Money Wallet ID : mraxzy 

ไทยพาณิชย์ : 4051572923 //ชาคริต