ตอนที่ 361 นี่คือสิ่งที่ผู้อาวุโสเซวียเลือกเอง

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 361 นี่คือสิ่งที่ผู้อาวุโสเซวียเลือกเอง

“หลังจากนักโทษไปถึงค่ายกักกันแล้ว นอกจากสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายก็ยังมีงานหนักและชีวิตเยี่ยงทาสรอพวกเขาอยู่ นักโทษที่โดนเนรเทศจะไม่ค่อยได้กินอาหารตลอดทั้งปี เสื้อผ้าไม่ค่อยดี ผิวเหลือง ตัวผอมแห้งและยังต้องทำงานหนัก ถ้าไม่ทำนาก็เผาถ่าน เลี้ยงสัตว์…ไม่มีวันได้หยุดพัก ตื่นตั้งแต่ยามห้า ( 03.01 – 05.00 น. ) ทำงานจนถึงช่วงพลบค่ำ รายได้ทั้งหมดต้องมอบให้ทางการ แต่ก็ยังไม่แน่ว่าจะช่วยลบล้างโทษที่ติดตัวมาได้…”

หลินเว่ยเว่ยขมวดคิ้ว…คนเหล่านี้มีชีวิตอนาถยิ่งกว่าผู้ประสบภัยเสียอีก !

เจียงโม่หานพูดต่อ “ดังนั้นแม้จะต้องตาย คนส่วนมากก็ไม่ยอมโดนเนรเทศ บัณฑิตหยวนโดนเนรเทศไปทั้งครอบครัวโดยพาบุตรและภรรยาไปด้วย ความลำบากจึงยิ่งทวีคูณ…ก่อนสงครามจะรุกรานไปถึงเจียงหนาน ผู้อาวุโสเซวียก็ขอให้คนไปสืบข่าวเรื่องเขามาแล้ว ในเวลานั้นเกิดความโกลาหลขึ้นที่ตะวันตกเฉียงเหนือจึงไม่ได้ข่าวใดกลับมา เขาคิดว่าศิษย์ที่เป็นดั่งบุตรชายคนนี้ต้องเผชิญเรื่องเลวร้าย…”

หลินเว่ยเว่ยถาม “บัณฑิตหยวนมีสายสัมพันธ์ฉันพ่อลูกกับผู้อาวุโสเซวียหรอกหรือ? เขาเติบโตมากับผู้อาวุโสเซวียใช่หรือไม่?”

“จะพูดแบบนั้นก็ได้ ! บัณฑิตหยวนเป็นลูกหลานในสกุลที่มีชื่อเสียงของเจียงหนาน เป็นบุตรชายคนเดียวของภรรยาเอก ตอนเขาอายุเท่าเอ้อร์ฮว๋า บิดามารดาก็จากไปทั้งคู่ ตอนนั้นบัณฑิตหยวนเป็นเสมือนเด็กอ่อนแอที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด คนสกุลสาขาของตระกูลหยวนจึงคอยจ้องจะสูบเลือดสูบเนื้อของเขา”

ไม่รู้ว่าเจ้าหนูน้อยปีนขึ้นมานั่งบนเตียงเตาตั้งแต่เมื่อใด เขาฟังจนเคลิ้มไปกับเนื้อเรื่อง เจียงโม่หานลูบศีรษะของเขา…รู้สึกดีจัง รู้แล้วว่าเหตุใดเด็กตัวแสบชอบลูบศีรษะของเด็กนัก !

“บัณฑิตหยวนเป็นเด็กฉลาด บ่าวรับใช้ก็พาเขาไปกราบขอร้องผู้อาวุโสเซวีย ผู้อาวุโสเซวียชอบเด็กที่เก่งอยู่แล้วจึงรับเขาไว้เป็นศิษย์ เจ้าเมืองซูโจวในขณะนั้นก็เป็นศิษย์ของผู้อาวุโสเซวีย บัณฑิตหยวนจึงกลายเป็นศิษย์น้องของเจ้าเมืองซูโจว พวกกิ่งก้านสาขาของสกุลหยวนเหล่านั้นจึงยอมตัดใจ ไม่กล้ามายุ่งกับตระกูลหลักอีก”

“ผู้อาวุโสเซวียไม่มีบุตร บัณฑิตหยวนปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพแบบอาจารย์และศิษย์ ยังมีความกตัญญูที่มีต่อท่านไม่ต่างจากบิดาผู้ล่วงลับ เมื่อผู้อาวุโสเซวียเริ่มแก่ตัวลง บัณฑิตหยวนที่มีตำแหน่งเป็นจอหงวนกลับละทิ้งเส้นทางขุนนางและพำนักอยู่ที่ซูโจวเพื่อดูแลอาจารย์ที่เคารพรัก…”

เมื่อได้ยินแบบนั้น หลินเว่ยเว่ยก็รู้สึกดีใจแทนผู้อาวุโสเซวียทันที เมื่อคนเราเริ่มแก่ชราก็มักหวังให้พวกลูกหลานมาอยู่ข้างกาย ผู้อาวุโสเซวียดูเป็นคนรักอิสระและเรียบง่าย เรียกว่าเป็นคนสมถะนั่นเอง แต่นางก็ยังสัมผัสได้ว่าท่านก็มีความเหงาอยู่เหมือนกัน…ทุกครั้งที่นางกับบัณฑิตหนุ่มไปเยี่ยม ผู้อาวุโสเซวียก็จะดูอารมณ์ดีขึ้นมาก พี่เซวียยังแอบมาหาพวกนางเพื่อให้หาเวลาว่างไปเยี่ยมท่านบ่อย ๆ…

“ตอนนี้ก็ดีแล้ว ! ผู้อาวุโสเซวียกับลูกศิษย์ได้มาพบกันอีกครั้ง ไม่ต้องเหงาหงอยเศร้าสร้อยเหมือนอดีต ไม่ว่าใครก็มีความสุข ! ” หลินเว่ยเว่ยยิ้มและลูบหลังมือปลอบอีกฝ่าย

เจียงโม่หานส่ายหน้า “ผู้อาวุโสเซวียไม่ยอมตามคุณชายหยวนกลับเมืองหลวงหรือเจียงหนาน…”

“ทำไมหรือ ? ” รอยยิ้มของหลินเว่ยเว่ยค่อย ๆ จางหาย นางขมวดคิ้วพลางถาม

“นึกถึงเหตุการณ์ที่ลูกศิษย์และผู้อาวุโสเซวียต้องเผชิญในราชวงศ์ก่อน…ท่านกังวลว่าตนจะไปส่งผลต่ออนาคตของลูกศิษย์หรือแม้แต่ถึงแก่ชีวิต…” เจียงโม่หานถอนหายใจ

หลินเว่ยเว่ยมุ่ยปาก ดวงตาแดงก่ำ “เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าไม่ใช่ความผิดของผู้อาวุโสเซวีย แล้วเหตุใดจึงให้คนแก่แบกรับความผิดไว้มากมายขนาดนั้น ? พอนึกถึงกระท่อมบนเนินเขาอันโดดเดี่ยวเดียวดาย มีคนแก่ผมขาวอยู่เพียงลำพัง ข้าก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที ! ”

“นี่คือสิ่งที่ผู้อาวุโสเซวียเลือกเอง…” เจียงโม่หานลูบเส้นผมอันนุ่มมือของนาง

หลินเว่ยเว่ยสูดหายใจเข้าก่อนจะลุกขึ้นพูด “คืนนี้ข้าจะทำอาหารซูโจวเยอะหน่อย แล้วพรุ่งนี้ให้พวกพ่อบ้านหยางนำไปมอบแก่ผู้อาวุโสเซวีย ! วันส่งท้ายปีเก่าทั้งทีต้องให้พวกเขาได้กินอาหารรสชาติบ้านเกิดเสียหน่อย”

เจียงโม่หานเห็นนางมีแรงจะทำงานอีกครั้งก็เหมือนยกภูเขาออกจากอกทันที เด็กสาวที่วัน ๆ เอาแต่หัวเราะกลับโศกเศร้าขึ้นมา ทำให้คนที่เห็นอดปวดใจไม่ได้

เที่ยงวันถัดมา พ่อบ้านหยางนำของขวัญที่จะมอบให้ผู้อาวุโสเซวียแล้วมารวมตัวกับคุณชายที่เขตเริ่นอัน ขณะเดียวกันในมือก็ถือกล่องอาหารไว้ตลอดเวลา ด้านในเป็นอาหารที่หลินเว่ยเว่ยปรุงด้วยใจ

ตอนเดินทางมาถึงกระท่อมผู้อาวุโสเซวียก็เป็นเวลาทานอาหารกลางวันพอดี ตอนที่พ่อบ้านหยางยกอาหารซูโจวแต่ละจานออกมา ผู้อาวุโสเซวียก็เบิกตาโต “ไอโหยว ! พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกแล้วกระมัง นางหนูทำอาการบ้านเกิดให้พวกเรามากมายขนาดนี้เชียว ! นี่คงกลัวว่าบ้านของข้าจะไม่มีอาหารต้อนรับแขกสิท่า ? ”

หยวนเจี๋ยประคองท่านมานั่งที่โต๊ะ ก่อนจะพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ศิษย์หลานจะถือว่าเป็นแขกได้อย่างไรขอรับ ? ต้องเป็นเพราะหลินกู่เหนียงคิดว่านี่ก็ใกล้จะปีใหม่แล้วจึงส่งอาหารอร่อยมาให้ขอรับ ! ”

“อาหารเป็นอาหารชั้นดีก็จริง แต่ส่งมาแบบนี้ก็เย็นชืดแล้วจะกินอย่างไร ? ” หลังใช้ชีวิตในภาคเหนือมาสิบกว่าปี รสชาติที่ผู้อาวุโสเซวียชื่นชอบก็เป็นเอกลักษณ์ของภาคเหนือเสียแล้ว

พ่อบ้านหยางรีบพูด “หลินกู่เหนียงบอกว่านี่คือปลากระรอกทอด สามารถเอาไปอุ่นในกระทะได้ ส่วนซอสเปรี้ยวหวานก็แยกมาให้ พออุ่นแล้วค่อยราดลงไป รสชาติก็จะเหมือนเพิ่งออกจากเตาไม่มีผิดขอรับ อิงเถาโร่ว ( เนื้อเชอร์รี่ ) และกุ้งแก้ว ให้นำไปนึ่งสักพักหนึ่ง ส่วนไก่ขอทาน ( ไก่ยัดไส้ห่อใบบัวอบ )…นำไปอบที่เตา…”

ผู้อาวุโสเซวียมองกล่องอาหาร “เฮ้ ! ยังมีขนมเปี๊ยะกระดองปูกับเค้กข้าวมันหมูอีกด้วย ! ไม่ได้กินมา 10 กว่าปี คิดถึงรสชาติของมันจริง ๆ แต่ไม่รู้ว่านางหนูจะทำออกมาได้เหมือนหรือไม่ ! ”

หยวนเจี๋ยเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “เมื่อวานได้ยินว่าอาหารซูโจวที่บ้านตระกูลหลิน จานหนึ่งเป็นหมูตงพอ อีกจานเป็นหัวสิงโตน้ำแดง รสชาติเหมือนศิษย์หลานได้กลับไปเป็นเด็กไม่มีผิด ศิษย์หลานจำได้ว่าตอนเด็ก ท่านพ่อมักพาไปเล่นที่บ้านอาจารย์ปู่ หัวสิงโตน้ำแดงที่พ่อครัวของบ้านอาจารย์ปู่ทำอร่อยมาก ศิษย์หลานที่อายุแค่สามสี่ขวบ กินหัวสิงโตไปหนึ่งชามเต็ม ๆ กลับถึงบ้านก็ไม่กินอะไรสองวันเต็ม ทำให้ท่านแม่ตกใจแทบแย่เลยขอรับ ! ”

ผู้อาวุโสเซวียหัวเราะฮ่าฮ่า “ไม่คิดว่าเจ้ายังจำได้ อาจารย์ปู่เองก็ตกใจไม่น้อย ยังไหว้วานให้คนไปตามหมอมาตรวจเจ้าด้วย พอหมอมาตรวจแล้วจึงได้บอกว่าเจ้ากินเยอะเกินไป แค่ปล่อยให้หิวสักสองวันก็พอ ! หลังเกิดเรื่องนั้นขึ้น อาจารย์ปู่ก็ไม่กล้าปล่อยให้เจ้ากินอะไรมั่วซั่วอีกเลย ! ”

หลังอาหารถูกอุ่นเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสเซวียก็หยิบสุราองุ่นที่ซ่อนไว้ออกมา…เขาอยากดื่มสุราดองกระดูกเสือ แต่วันหนึ่งสามารถดื่มได้แค่จอกเดียวเท่านั้น เช้านี้เขาทนไม่ไหวจึงดื่มไปแล้ว เขาพูดกับหยวนเจี๋ยว่า “มา มาดื่มกับอาจารย์ปู่สักสองจอก ! ”

หยวนเจี๋ยมองสุราองุ่น “…” เดิมทีคิดว่าอาจารย์ปู่ขายภาพวาดเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ ชีวิตคงจะลำบากน่าดู แต่คาดไม่ถึงว่าท่านจะอยู่ดีมีสุขยิ่งกว่าบ้านตน แม้แต่สุราก็ยังเป็นสุรานำเข้าจากตะวันตก !

“ศิษย์หลานเป็นคนบ้านนอกคนหนึ่ง ไม่ทราบว่าสุราองุ่นนี้อาจารย์ปู่ได้มาจากที่ใดขอรับ ? ” ผู้อาวุโสเซวียหัวเราะ ก่อนจะพูดว่า “เจ้าสิ่งนี้…ต้องเก็บไว้เป็นความลับ ! ”

คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก1 นางหนูหลินเป็นเหมือนขุมทรัพย์ที่ไม่มีวันหมด ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่น แค่สูตรหมักสุราองุ่นนี้อย่าให้คนที่มีใจคิดคดได้ไปครอง เพราะการกลั่นแกล้งคนอื่นก็ยังเป็นเรื่องเล็กน้อยตั้งแต่โบราณกาล คนที่ต้องตายเพราะสมบัติล้ำค่าหรือสูตรลับยังมีให้เห็นไม่น้อย ดังนั้นเรื่องที่นางสามารถหมักสุราองุ่นได้ ให้คนรู้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี !

หยวนเจี๋ยคลี่ยิ้ม นิสัยของอาจารย์ปู่ ยิ่งแก่ก็ยิ่งเหมือนเฒ่าทารกขึ้นทุกวัน ! แต่นี่ก็พิสูจน์ได้ว่าท่านไม่ได้มีชีวิตน่าเป็นห่วงอย่างที่พวกตนคิดไว้…

[i]
1 คนไม่ผิด ผิดที่ครองครอบหยก ใช้เปรียบเปรยถึงการมีความสามารถแต่โดนใส่ร้ายหรือโดนรังแก