ตอนที่ 360 ฟังเรื่องสะเทือนขวัญจากบัณฑิตน้อย

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 360 ฟังเรื่องสะเทือนขวัญจากบัณฑิตน้อย

“หมดก็คือหมด เข้าท้องเด็ก ๆ ก็ยังดีกว่าถูกเจ้าเอาไปให้บ้านมารดา ! ” พ่อโก่วเชิ่งเอ๋อร์ชักสีหน้า ตอนเขาบาดเจ็บสาหัส ไม่รู้ว่าจะเป็นหรือตาย พวกพี่น้องฝั่งบ้านแม่ยายถึงขั้นสนับสนุนให้นางเก็บข้าวปลาอาหารและเงินทั้งหมดภายในบ้านแล้วไปแต่งงานกับคนอื่น แถมยังพูดว่าเขาบาดเจ็บหนักขนาดนี้ แม้ไม่ตายก็คงกลายเป็นคนพิการ แล้วจะเก็บเขาไว้เป็นภาระอีกทำไม !

โชคดีที่ภรรยาคนนี้ยังไม่เลาะเลือนจนถึงขีดสุด ถ้านางเก็บอาหารและเงินทั้งหมดในบ้านกลับบ้านมารดาจริง ๆ ของเหล่านั้นก็ไม่รู้จะตกไปอยู่ที่ใคร ! การบอกให้นางหอบข้าวของกลับไป ญาติเสมือนปลิงก็แค่หลอกนางเท่านั้น ไฉนเลยยังจะสนความเป็นความตายของนางอีก ?

แม่เลี้ยงโก่วเชิ่งเอ๋อร์เห็นว่าไม่มีความหวังในส่วนของโก่วเชิ่งเอ๋อร์แล้วจึงพูดกับบุตรชายของตน “มู่เกินเอ๋อร์ ประเดี๋ยวแม่เก็บขนมพวกนี้ให้เจ้าเอง…”

มู่เกินเอ๋อร์ใช้โอกาสที่นางไม่ทันสังเกต แอบเอาขนมไปซ่อนไว้ในแขนเสื้อพ่อเลี้ยงแล้ว “ข้าไม่ให้ท่านเก็บ ! ท่านเก็บไปเก็บมาก็เก็บเข้าท้องพวกตุนจื่อ ! ข้าจะให้ท่านพ่อเป็นคนเก็บ ! ”

ตุนจื่อคือบุตรชายของท่านลุง เมื่อก่อนตอนเขาอยู่บ้านท่านยายก็โดนพวกตุนจื่อและพวกพี่น้องคนอื่นแย่งของไปไม่น้อย ถ้าไม่ให้ก็จะทุบตีเขา !

มู่เกินเอ๋อร์รู้ตัวดีเช่นกันว่าหากเก็บไว้เอง ยังไม่ทันถึงวันรุ่งขึ้น ขนมพวกนี้ก็ต้องถูกเขากินหมดเพราะห้ามปากไม่ไหว แล้วต่อไปเวลาที่โก่วเชิ่งเอ๋อร์กิน เขาก็ได้แต่มองเท่านั้น

เขาพูดกับพ่อโก่วเชิ่งเอ๋อร์ว่า “ท่านพ่อ ท่านช่วยข้าเก็บไว้หน่อย แต่ละวันให้ข้ากินแค่คำเล็ก ๆ ก็พอ ที่เหลือรอให้ถึงคืนส่งท้ายปีเก่าแล้วบ้านเราค่อยมากินด้วยกันขอรับ ! ”

โก่วเชิ่งเอ๋อร์ก็ยื่นห่อขนมของตนให้บิดา “ท่านพ่อ ท่านก็ช่วยเก็บให้ข้าด้วย ! รอถึงคืนส่งท้ายปีเก่าแล้วเรามากินด้วยกันขอรับ ! ”

ขณะมองสามพ่อลูกรักใคร่ปรองดอง แม่เลี้ยงโก่วเชิ่งเอ๋อร์ก็โมโหจนปวดตับไปหมด เจ้าโก่วเชิ่งเอ๋อร์นั่นช่างเถิด เพราะอย่างไรก็ไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของตนอยู่แล้ว แต่มู่เกินเอ๋อร์เด็กไร้มโนธรรมกลับไม่เชื่อใจแม่แท้ ๆ ! จะทำให้นางโมโหตายหรือไร !

มู่เกินเอ๋อร์และโก่วเชิ่งเอ๋อร์รีบโกยอาหารเข้าปาก แม่เลี้ยงโก่วเชิ่งเอ๋อร์ด่าด้วยความหงุดหงิด “รีบไปคลอดลูกกันหรือ ! ไม่กลัวติดคอตายเสียบ้าง ! ”

พ่อโก่วเชิ่งเอ๋อร์ถลึงตาใส่นางทันที “จะปีใหม่อยู่แล้ว พูดคำอัปมงคลอะไรกัน ? ”

มู่เกินเอ๋อร์ยิ้มหน้าบาน “ตอนบ่ายพี่รองหลินยังทำขนมอีก ! กินข้าวเสร็จแล้วพวกเราจะไปช่วยนางขอรับ ! ”

“เห็นคนนอกดีกว่าคนในบ้าน แม่เจ้าทำงานอยู่บ้านมือเป็นระวิง ไม่เห็นอยากช่วยข้าบ้าง ? สรุปว่าเจ้าแซ่หวังหรือแซ่หลินกันแน่ ? ” แม่เลี้ยงโก่วเชิ่งเอ๋อร์พูดด้วยความโมโห

มู่เกินเอ๋อร์หัวเราะคิกคักแล้วเข้าไปใกล้พ่อเลี้ยง “ข้าแซ่หลิวเหมือนท่านพ่อ…”

พ่อโก่วเชิ่งเอ๋อร์ลูบศีรษะเขา ก่อนจะหยิบซาลาเปาไส้ผักให้ ส่วนแม่เลี้ยงโก่วเชิ่งเอ๋อร์รีบพูด “เขากินไปลูกหนึ่งแล้ว ท่านเอาซาลาเปาของตนให้เขาแล้ว จะเหลือแต่ผักต้มให้ท่านกินเท่านั้น…”

พ่อโก่วเชิ่งเอ๋อร์พูดกับนาง “ในเขตเริ่นอันไม่ได้มีข้าวสารราคาถูกมาขายหรือ ? บ้านเราไม่ได้ขาดแคลนเงิน ต่อไปทำซาลาเปาเพิ่มหลายลูกหน่อย ให้พวกเด็ก ๆ ได้กินอิ่มท้อง…”

แม่เลี้ยงโก่วเชิ่งเอ๋อร์บ่นพึมพำ “มีบ้านไหนไม่ทำแบบนี้บ้าง ? ภัยแล้งทำให้คนอดตายไม่น้อยแล้ว…จะให้เด็กแสบพวกนี้กินอิ่มแล้วไปทำงานให้บ้านอื่นหรือไร ? ”

เด็กทั้งสองหันมามองหน้ากัน หลังกินผักต้มคำสุดท้ายหมดแล้ว พวกเขาก็วิ่งออกจากบ้านทันที ตอนไปถึงบ้านตระกูลหลินก็พบว่าเสี่ยวถู่โต้วกับวังตงเฉียงมาถึงก่อนแล้ว ไม่ต้องให้หลินเว่ยเว่ยบอก เด็กทั้งสองก็เข้าไปนั่งยองหน้าเตาไฟทันที

ตอนบ่าย หลินเว่ยเว่ยทำสาลี่ตุ๋นน้ำตาลกรวดกับลูกอมชวนเป้ย หลังตัดไม้ไผ่ออกเป็นซีกแล้วนางก็โยนให้พวกเด็ก ๆ ขัด จากนั้นก็ต้มพวกมันด้วยน้ำร้อนอีกทีและนำแม่พิมพ์ที่ใช้ทำคุกกี้ออกมารอไว้

จัดการล้างผลสาลี่ให้สะอาด จากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็เริ่มคั้นน้ำสาลี่ออกด้วยมือแล้วกรองด้วยผ้าขาวบางอีกที หลังเติมแปะแซและน้ำตาลกรวดลงไปเคี่ยวจนเนื้อข้นแล้วเทลงแม่พิมพ์ ผึ่งลมไว้ข้างนอกให้เย็นสักพักก็จะแข็งตัวจนกลายเป็นลูกอม ขณะมองลูกอมรูปลูกหมี ดอกไม้ วงกลมและหัวใจ พวกเด็ก ๆ ก็ตื่นเต้นมาก ! เพราะพวกตนก็มีส่วนร่วมในการทำลูกอมหลากรูปร่างนี้ !

หลินเว่ยเว่ยแจกจ่ายให้พวกเด็ก ๆ กินคนละเม็ด เจ้าตัวน้อยยิ้มหน้าบานทันที หวานมากและมีกลิ่มหอมสดชื่นของสาลี่ด้วย !

ในลูกอมชวนเป้ยมีส่วนผสมของสมุนไพรแก้ไอและละลายเสมหะอยู่ เพื่อลดปัญหาเรื่องการกินยาก นางจึงต้มน้ำตาลเทใส่แม่พิมพ์ด้วย หลังพวกมันแข็งตัวได้พอประมาณแล้วก็ใช้มีดหั่นเป็นก้อนเล็ก ๆ

เศษน้ำตาลที่กระเด็นออกมาตอนตัดกลายเป็นของที่พวกเด็ก ๆ แย่งกัน แม้แต่ชาวบ้านที่อยู่ห่างไกลก็ยังได้ยินเสียงพูดคุยและหัวเราะอย่างมีความสุขของเด็กพวกนี้ !

ชาวบ้านที่นั่งอยู่บนเตียงเตาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “บ้านตระกูลหลินช่างมีชีวิตชีวาดีเหลือเกิน ! ”

ช่วงเทศกาลก็สมควรคึกคัก สร้างสีสันเพื่อต้อนรับปีใหม่อยู่แล้ว สถานการณ์ของบ้านตระกูลหลินเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ ชีวิตเจริญรุ่งเรืองขึ้นทุกวันและการเปลี่ยนแปลงนี้ยังเกิดขึ้นในระยะเวลาอันสั้นแค่ครึ่งปีกว่า ๆ เท่านั้น…

หลินเว่ยเว่ยทำสาลี่ตุ๋นน้ำตาลกรวดและลูกอมชวนเป้ยไว้ไม่น้อย เหตุผลหลักที่ทำก็เพราะน้องสี่ ตอนที่เขาเกิดมาได้ไม่นานพ่อหลินก็จากไปแล้ว สถานการณ์ในบ้านจึงเริ่มแย่ลง สุขภาพของเขาก็ไม่ดีมาโดยตลอด มักมีอาการหายใจไม่ออกและไอเป็นครั้งคราว

หลินเว่ยเว่ยไม่อยากให้เจ้าตัวน้อยต้องดื่มยาต่างน้ำหลังเข้าสู่ฤดูหนาว นางจึงนึกถึงวิธีนี้ขึ้นมา ลูกอมชวนเป้ยมีฤทธิ์ทำให้ปอดชุ่มชื้นและบรรเทาอาการไอ เมื่อรวมกับน้ำพุวิญญาณแล้วผลลัพธ์ก็เห็นได้ชัดกว่าเดิมและแทบไม่มีผลข้างเคียงอันใด รสชาติหวานอร่อย พวกเด็ก ๆ ชอบกิน !

หลังทำเสร็จแล้วนางก็ห่อสาลี่ตุ๋นน้ำตาลกรวดให้พวกเด็ก ๆ ส่วนลูกอมชวนเป้ยมีส่วนผสมของสมุนไพรจึงมีกลิ่นฉุน นางจึงทำลูกอมเมล็ดสนให้พวกเขาแทน

ในสายตาพวกเด็ก ๆ ลูกอมเมล็ดสนมีรสหวานหอมถูกปาก อร่อยกว่าลูกอมชวนเป้ยที่มีกลิ่นสมุนไพรตั้งเยอะ ตอนที่กลับออกมาจึงมีใบหน้าเปื้อนยิ้มกันทุกคน !

ตกค่ำ เจียงโม่หานก็ฝ่าลมหนาวกลับมา หลินเว่ยเว่ยรีบพาเขาไปที่เตียงเตา ก่อนจะให้เขาดื่มน้ำขิงร้อน ๆ อีกถ้วยแล้วถามว่า “คุณชายหยวนอยู่ที่ใด ? ถูกผู้อาวุโสเซวียรั้งไว้หรือ ? ”

เจียงโม่หานพยักหน้า “อืม! บัณฑิตหยวน…หรือก็คือบิดาของคุณชายหยวนเป็นลูกศิษย์ที่อยู่รับใช้ข้างกายผู้อาวุโสเซวียนานที่สุด อดีตฮ่องเต้ชอบหวาดระแวง สามารถลงโทษด้วยข้อหาที่ปั้นแต่งขึ้นมาจึงสั่งประหารลูกศิษย์ของผู้อาวุโสเซวียที่มีตำแหน่งสูงไปหลายคน แม้บัณฑิตหยวนจะบริสุทธิ์แต่ก็มีชื่อเสียงในสังคม จึงถูกปลดลงจากตำแหน่งแล้วโดนเนรเทศไปยังชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือ…”

พอเห็นหลินเว่ยเว่ยเอามือเท้าคางพลางแสดงท่าทางเหมือนกำลังฟังเรื่องเล่าอย่างตั้งใจ เขาก็หัวเราะแบบไร้เสียงพักหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “ในความเป็นจริงแล้วการเนรเทศไปยังชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือก็ไม่ต่างอะไรจากการโดนโทษประหารชีวิต ก่อนอื่นคือต้องเดินทางหลายพันลี้ แม้จะแบกสัมภาระเบา ๆ ไปและมีกำลังวังชาที่ดี ทว่าต้องใช้เวลาเดินทางถึงสี่เดือนกว่า ๆ แล้ว นับประสาอันใดกับนักโทษที่โดนล่ามโซ่ไว้ด้วย ? เนื่องจากเป็นการเดินทางไกลจึงมีคนจำนวนมากไม่ป่วยก็หิวตายระหว่างทาง บางศพถูกสัตว์กัดกินแล้วก็ยังมีบางศพที่ต้องกลายเป็นอาหารของนักโทษหิวโซคนอื่น”

“แม้จะได้รับความช่วยเหลือให้ไปถึงชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือแล้ว แต่สิ่งที่รอพวกเขาอยู่ยังเป็น ‘นรกบนดิน’ เพราะที่นั่นมีสภาพอากาศย่ำแย่ ตามบันทึกประวัติศาสตร์กล่าวว่า ‘เป็นสถานที่ไม่ค่อยมีมนุษย์ไปถึง ต้องข้ามแม่น้ำเชี่ยวกราก เดินข้ามภูเขา พันธุ์ไม้นานาชนิดหนาทึบจนไม่เห็นผืนฟ้า ในฤดูหนาวก็มีแต่ผาน้ำแข็งอยู่ทุกหนทุกแห่ง ต้องประทังชีวิตด้วยการกินรากไม้ มักโดนทำร้ายร่างกายโดยการใช้เกือกม้าเตะ ลมหนาวพัดผ่าน หิมะโปรยปราย เสียงนกประหลาดดังก้องไปทั่วผืนป่า…’ ”