บทที่ 397 นายท่านไป๋รู้ความจริง

“เจ้าไม่ได้โกหกข้าใช่ไหม?” นายท่านไป๋ย้ำอีกครั้งเพราะกลัวผิดหวัง

“ข้าไม่โกหกท่าน” ไป๋มู่หยางพูดอย่างหนักแน่น

แม้ว่านายท่านไป๋จะไม่พอใจไป๋มู่หยางแต่ตราบใดที่เขาจะได้เห็นเสี่ยวเหลียน เขาจะโทษให้ไป๋มู่หยางชั่วคราว

“งั้นรีบไปกันเถอะ” นายท่านไป๋ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เพราะเขาไม่ได้กินอะไรมาสองสามวัน เมื่อรีบลุกจึงพาลจะหน้ามืดล้มลง ไป๋มู่หยางยืนมองเขาอย่างเฉยเมย นายท่านไป๋พิงผนังนิ่งๆ อยู่สักครู่ เขาถอนหายใจเดินไปข้างๆ จับแขนไป๋มู่หยางเอาไว้

“ไปกันเถอะ” ทั้งสองคนออกจากจวนไป๋เข้าไปยังรถม้า

เมื่อนึกได้ว่าเขาจะได้พบกับติงเสี่ยวเหลียนนายท่านไป๋ก็กระปรี้กระเปร่ามากขึ้น เขากินขนมสองสามคำในรถม้า ส่วนไป๋มู่หยางยังนั่งหลับตาอย่างเงียบๆ นายท่านไป๋มองบุตรชาย ใบหน้าของเขาค่อนข้างคล้ายนางกัว เขาไม่ชอบเอาเสียเลย คนบางคนก็มักจะไม่ถูกโฉลกกับผู้อื่นเสียดื้อๆ ครั้งแรกที่เขาเห็นนางกัวเขาก็รู้สึกเช่นนั้น หากไม่ใช่เพราะการแต่งงานเพื่อขยายกิจการของครอบครัว เขาคงไม่มีวันแต่งกับนาง

เมื่อได้พบเห็นนางครั้งแรก นางกัวเป็นผู้หญิงแกร่งไม่รู้จักเอาใจผู้คน นายท่านไป๋ไม่ชอบนางถึงขั้นเกลียดเอาเลยทีเดียว แม้ต่อมานางจะตกหลุมรักเขา ดูแลปรนนิบัติเขาเป็นอย่างดี เขาก็ไม่ได้เปลี่ยนความคิดที่มีต่อนาง ไม่ว่านางกัวจะเปลี่ยนตัวเองอย่างไร แต่ความดื้อรั้นและหัวแข็งของนางยังฝังลึกเข้ากระดูกจนเขาทำใจให้ชอบนางไม่ได้

แต่ติงเสี่ยวเหลียนนั้นแตกต่างไป เขาตกหลุมรักนางตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น เขาชอบความอ่อนโยน ความเอาใจใส่เชื่อฟังและหัวอ่อนของนาง ไม่ว่าติงเสี่ยวเหลียนจะเป็นเช่นไรเขาก็ชอบนางเสมอ แม้ว่านางจะทำสิ่งชั่วร้ายเลวทรามเพียงใด นายท่านไป๋ก็ยังรักนางสุดหัวใจ

เหตุใดเสี่ยวเหลียนถึงฆ่านางกัว หากไม่ใช่เพราะนางรักเขาและอิจฉาที่นางกัวเป็นภรรยาถูกต้องตามกฎหมายของเขาหรอกหรือ? ดังนั้นต่อให้เขารู้ว่าติงเสี่ยวเหลียนฆ่านางกัว เขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไร

นายท่านไป๋เกลียดคนที่ชอบเข้ามาจุ้นจ้านกับเรื่องของคนอื่น ผ่านมาสิบกว่าปีแล้วเหตุใดต้องขุดเรื่องขึ้นมา เมื่อเขานึกถึงว่าจะได้พบหน้าติงเสี่ยวเหลียน เขาจึงตั้งแต่รอ

“อีกนานไหม?” นายท่านไป๋ถาม

“ครึ่งชั่วยาม” ดวงตาของไป๋มู่หยางปิดสนิทแต่ริมฝีปากของเขาขยับ

ครึ่งชั่วยามต่อมารถม้าจอดที่หน้ากรมอาญา ไป๋มู่หยางลงจากรถม้าตามด้วยนายท่านไป๋ เขามองประตูกรมอาญานึกถึงติงเสี่ยวเหลียนในคุก นางจะต้องทนทุกข์ทรมานสักเพียงไหน? นายท่านไป๋ยิ่งคิดยิ่งเศร้าใจมากขึ้น

ไม่ช้าเขาก็พบว่าบุตรชายไม่ได้พาเขาไปยังห้องขังแต่กลับเป็นลานพิจารณาคดีที่มีคนมากมายยืนรออยู่

“คดีของเสี่ยวเหลียนตัดสินไปแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดเจ้าถึงพาข้ามาที่ศาลอีก” นายท่านไป๋ถามอย่างสงสัย

“พิจารณาคดีใหม่วันนี้” ไป๋มู่หยางพูดสั้นๆ ไม่ได้อธิบายเพิ่ม

เขาพาบิดาเดินฝ่าผู้คนไปจนถึงด้านหน้า ที่กลางลานมีชายหญิงสองคนนอนอยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัสอย่างน่าสังเวช ดูแล้วไม่รู้ได้ว่าเป็นผู้ใด เพียงแค่แยกว่าเป็นชายหรือหญิงเท่านั้น นายท่านไป๋มองไปทางผู้หญิงอย่างไม่ตั้งใจ

ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เสี่ยวเหลียน?

เขาแทบจะวิ่งเข้าไปหา

“นั่นคือหญิงชั่วชายทรามหรือ?”

“ใช่! นั่นคือเจิ้งจู่เหวินกับติงเสี่ยวเหลียน พวกเขาคบชู้กันจนกระทั่งภรรยาของเจิ้งจู่เหวินจับได้”

“ติงเสี่ยวเหลียนไม่ได้ตายไปแล้วหรือ?”

“ข้าไม่แน่ใจ เป็นไปได้ว่าเจิ้งจู่เหวินช่วยนางออกไปจากคุก”

“คดีจะถูกไต่สวนในวันนี้”

“ติงเสี่ยวเหลียนไม่ใช่ฮูหยินไป๋หรอกหรือ? นางคบชู้กับเจิ้งจู่เหวินได้อย่างไร ว่ากันว่านางแอบคบกันมาหลายปีแล้ว”

เมื่อได้ฟังบทสนทนาเหล่านั้นนายท่านไป๋ชะงักฝีเท้า ใบหน้าของเขาซีดเผือด

“เป็นไปไม่ได้!” เขาอุทานออกมา

เป็นไปไม่ได้!

เสี่ยวเหลียน…เสี่ยวเหลียนจะมีชู้ได้อย่างไร?

นางรักเขามาก!

นี่ต้องเป็นเรื่องโกหกแน่ ไม่ใช่เรื่องจริง! เสียงตะโกนของนายท่านไป๋ทำให้สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่เขา

เมื่อมีคนจำเขาได้พวกเขาก็กระซิบบอกต่อกัน จากนั้นสายตาที่มองนายท่านไป๋จึงเปลี่ยนไป

เขาทนไม่ได้กับสายตาเช่นนี้ เขาไม่เชื่อว่าเสี่ยวเหลียนจะหักหลังตน ดังนั้นเขาต้องอยู่รอฟังความจริง

ในไม่ช้าคนที่รับผิดชอบคดีในครั้งนี้ก็มาถึง เนื่องจากนักโทษในคดีนี้คือเจิ้งจู่เหวินซึ่งเคยทำงานในตำแหน่งเจ้ากรมอาญา เหตุการณ์นี้สร้างความตื่นตระหนกให้กับฮ่องเต้อย่างมาก ดังนั้นเขาจึงมอบหมายให้กู้หวนเนี่ยนผู้พิพากษาศาลต้าหลี่มาเป็นประธานในการพิจารณาคดีในครั้งนี้ โดยมีเจ้าหน้าที่ของกรมอาญาคอยให้ความช่วยเหลือ

กู้หวนเนี่ยนนั่งอยู่ที่เก้าอี้ประธาน ส่วนเว่ยฉิงนั่งที่ด้านล่างซ้ายมือเขา

“นักโทษเจิ้งจู่เหวินเจ้าเป็นเจ้ากรมอาญาแต่กลับละเมิดกฎหมาย ทั้งๆ ที่นักโทษติงเสี่ยวเหลียนถูกต้องโทษประหารตัดหัวแต่เจ้ากลับนำศพอื่นมาอำพราง เจ้าจะยอมรับสารภาพผิดหรือไม่!” กู้หวนเนี่ยนถาม

เจิ้งจู่เหวินไม่ยอมพูด ในไม่ช้าพยานก็มาถึง เขาคือผู้คุมนักโทษแดนประหาร ทำให้เจิ้งจู่เหวินไม่มีอะไรจะแก้ตัว เขาจึงสารภาพผิดออกมา

“นี่เป็นข้อหาแรก ข้อหาที่สอง เมื่อสิบสองปีก่อนเจ้าได้ฆ่าพยานที่ให้ปากคำว่านางกัวถูกผลักตกบ่อจริงหรือไม่?” กู้หวนเนี่ยนถาม

เจิ้งจู่เหวินรู้ว่าเขาจบสิ้นแล้วเขาไม่ต้องการข้อกล่าวหาเพิ่มขึ้นอีกจึงพยักหน้ารับสารภาพ เจิ้งจู่เหวินมีคดีอื่นๆ อีก และมีพยานมาให้ปากคำกันทีละคน

“ติงเสี่ยวเหลียนเจ้ามีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวกับเจิ้งจู่เหวิน เจ้าฆ่านางกัวและสั่งฆ่าพยานเจ้าจะยอมรับผิดหรือไม่?” กู้หวนเนี่ยนถาม

ติงเสี่ยวเหลียนอยู่ในสภาพปางตาย นางไม่สามารถแม้แต่จะเอ่ยปากได้ เจิ้งจู่เหวินจึงตอบแทนนาง

“ใช่ นางกับข้ามาจากหมู่บ้านเดียวกัน พวกเราเข้าเมืองหลวงมาพร้อมกัน หลังจากที่นางฆ่านางกัวและทิ้งเบาะแสไว้ นางขอความช่วยเหลือจากข้า…”

เจิ้งจู่เหวินมองนางติงด้วยดวงตาแดงก่ำ นางเป็นคนทำให้เขาเป็นแบบนี้ แม้ว่าเขาจะต้องตายก็ต้องลากนางตายไปพร้อมกัน!

ใบหน้าของนายท่านไป๋ซีดเซียวลงเมื่อได้ยินเขาแทบจะเป็นลมหน้ามืด หลังจากการไต่สวนเขาก็รู้ว่าที่ติงเสี่ยวเหลียนลอบคบชู้กับเจิ้งจู่เหวินนั้นเป็นเรื่องจริง

ทำไม? ทำไมเสี่ยวเหลียนจึงทรยศเขา!

นายท่านไป๋รู้สึกเหมือนท้องฟ้ากำลังถล่ม เขาหันหลังทำท่าจะเดินจากไปแต่ไป๋มู่หยางรั้งเขาไว้

“การพิจารณาคดียังไม่สิ้นสุด ดูต่อให้จบเถอะ” ไป๋มู่หยางคลี่ยิ้ม

ตอนนั้นเองที่นายท่านไป๋ตระหนักได้ว่าตัวเขามีอายุมากแล้ว ไป๋มู่หยางก็โตขึ้น เพียงแค่บุตรชายกดไหล่ของเขาเอาไว้ เขาก็ไม่สามารถขยับหนีไปไหนได้ นายท่านไป๋โดนบุตรชายตรึงไว้ เขากัดฟันจนตาแทบจะถลนออกจากเบ้า

“ว่ากันว่าเมื่อคืนนี้เจิ้งจู่เหวินและติงเสี่ยวเหลียนถูกจับได้คาเตียงเลย ทั้งสองคนอยู่ในสภาพเปลือยด้วยกันทั้งคู่”

“นายท่านไป๋ดีกับนางติงราวกับแก้วตาดวงใจ แต่ดูสิ! นางหญิงชั่วลอบใส่หมวกเขียวให้เขา”

“ใช่แล้ว อีกอย่างลูกชายของติงเสี่ยวเหลียนก็ไม่รู้ว่าลูกของใคร? นายท่านไป๋กับนางติงอยู่กินกันมาหลายปี แต่ข้าคิดว่าลูกชายของเขาอาจจะแซ่เจิ้ง”

เสียงผู้คนพูดคุยกันพร้อมกับมองนายท่านไป๋ด้วยสายตาแปลกๆ จงใจเยาะเย้ยเขา ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขาดีกับติงเสี่ยวเหลียนและไป๋ซวี่หยางราวแก้วตาดวงใจจริงๆ แต่สุดท้ายแล้วนางกลับสวมเขาให้เขา

นายท่านไป๋รู้สึกโทสะตีขึ้นมาที่หน้าอก เขาเจ็บจนกระอักเลือดออกมา