บทที่ 433 เซ่นไหว้เทพวารี
จี้จือฮวนก็บอกไม่ถูกว่าราบรื่นหรือไม่ เฉินไห่คั่วผู้นี้นางเองก็ไม่รู้จัก จึงเอ่ยเพียงแค่ “ถึงเวลาพวกเจ้าต้องร่วมมือกับคนของกลุ่มกองเรือปะปนเข้าไปในค่ายของกองทัพเรือ จากนั้นก็ลาดตระเวนตามหมู่บ้านต่าง ๆ กฎของข้าก็ยังเป็นกฎของข้า ข้าไม่สนใจว่ากลุ่มกองเรือและกองทัพเรือจะมีกฎอะไร พวกเจ้าจำไว้แค่ว่า พวกเจ้าเป็นกองปืนไฟ ควรรู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ เพราะข้าไม่อยากคอยดึงหูสั่งพวกเจ้า”
เมิ่งชื่อฮว่าที่มีสีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อนเอ่ยรับคำด้วยสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที
แม้แต่หนุ่มล่ำที่มีท่าทางตุ้งติ้งอย่างเอี๋ยนเฟินฟางก็ไม่ได้ทำท่าทางแกล้งโง่อีกต่อไป
จี้จือฮวนชื่นชอบพวกเขามาก เพราะแต่ละคนล้วนมีลักษณะนิสัยและจุดเด่นแตกต่างกันไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ พวกเขาสามารถปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่นางตั้งไว้ได้อย่างเคร่งครัด ในแง่ของความเข้าขากันนั้น ในฐานะสหายร่วมรบในอนาคต พวกเขายังต้องเรียนรู้กันและกันมากกว่านี้
เผยยวนเอ่ยขึ้นมา “แค่ทำงานของตัวเองให้ดีก็พอ ไม่ต้องกังวลเกินไป ถือเป็นการสั่งสมประสบการณ์การต่อสู้จริงสำหรับพวกเจ้าด้วย”
เอี๋ยนเฟินฟางรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย ก่อนจะชูกำปั้นขนาดใหญ่ของตนเองขึ้นมา “ข้าตื่นเต้นมากเลยขอรับ~ เมิ่งเมิ่ง เจ้าล่ะ?”
ครึ่งเดือนมานี้เมิ่งชื่อฮว่าที่มีอาการคลื่นไส้ในตอนแรกก็เริ่มชินชาเสียแล้ว ก่อนจะพูดออกมาเพียงประโยคเดียว “อยู่ให้ห่างจากข้าหน่อย” จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
อาหารทะเลของเจียงหนานนั้นสดมาก แม้แต่อาชิงที่กลัวการกินปูและไม่ชอบความยุ่งยากก็ยังแทะก้ามปูไม่หยุด
“อย่ากินเยอะเกินไปนัก กลางคืนจะท้องเสียเอาได้”
อาชิงเรอออกมา พลางลูบพุงกลม ๆ ของตัวเอง และเอ่ยด้วยความยากลำบาก “ข้าก็รู้สึกว่ากินไม่ลงแล้วขอรับ ข้าไปล้างมือก่อนนะขอรับ”
ทางด้านอาอินก็กินอิ่มแล้วเช่นกัน จึงจูงมืออาชิงไปล้างมือด้วยกัน
ส่วนพวกผู้ชายของกองทัพทหารเกราะเหล็กนั้นเวลากินข้าวทั้งดุดันและรวดเร็ว เพราะต้องรีบไปฝึก รีบไปรวมพล ทางร้านเพิ่งจะทำอาหารอันโอชะเสร็จ ทางนั้นก็กินจนสะอาดเอี่ยมแล้ว ทำให้ทางร้านพอใจเป็นอย่างมาก
“ทุกท่านมาจาก…” กำลังจะถามว่าพวกเขาเป็นคนที่ใดกัน ก็เห็นเสี่ยวลิ่วจื่อนั่งอยู่ตรงนั้นด้วย จึงเข้าใจว่าเป็นคนของกลุ่มกองเรือ ครานี้ก็ยิ่งเอาใจใส่มากกว่าเดิม
บางทีสำหรับคนนอกแล้ว กลุ่มกองเรือก็คือโจร คือขโมย คือตัวแทนของความป่าเถื่อน
แต่ชาวบ้านที่นี่ล้วนรู้ดีว่าหัวหน้ากลุ่มคนปัจจุบันอย่างฮวาเส้าจงนั้นกำลังขยายกลุ่มกองเรือออกไปในวงกว้าง แม้ว่าสุดท้ายจะไม่ได้เปลี่ยนมาทำกิจการภายนอกเช่นคนทั่วไป และยังคงเป็นพรรคในยุทธภพอยู่ แต่ว่าหัวหน้าฮวาเส้าจงเป็นคนดี ไม่มีทางให้ใครมารังแกชาวบ้านอย่างแน่นอน
“ที่แท้ก็เป็นพี่น้องของกลุ่มกองเรือนี่เอง มื้อนี้พวกเราไม่คิดเงิน”
เสี่ยวลิ่วจื่อรีบเอ่ยขึ้นมาทันที “ทำเช่นนั้นไม่ได้ ต้องรับเอาไว้!”
หลังจากชักแม่น้ำทั้งห้า เถ้าแก่ท่านนั้นก็ยอมรับเงินเอาไว้ ทั้งยังแถมอาหารให้พวกเขาหลายจานอีกด้วย ทำให้คนกินจนลุกไม่ขึ้นแล้วจึงได้หยุดทำ
ก่อนออกจากร้านก็เห็นชาวบ้านจำนวนมากมุ่งหน้าไปทางเดียวกัน อาชิงจึงเอ่ยถามอย่างสงสัยขึ้นมา “พวกเขาไปที่ใดกันหรือขอรับ?”
เถ้าแก่ท่านนั้นจึงเอ่ยออกมา “ใกล้จะปีใหม่แล้ว จะมีงานเซ่นไหว้ที่แท่นพิธีตรงตรอกเฉาเจียงที่ด้านหน้า เป็นการเซ่นไหว้เทพวารีโดยเฉพาะ เพื่อขอพรให้ปีหน้าเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ดี งานคึกคักมากทีเดียว”
เสี่ยวลิ่วจื่อนึกขึ้นมาได้ทันที “หอฉวินฟางคงจัดงานอีกแล้วกระมัง?”
“ใช่แล้ว แม่นางที่เป็นตัวแทนดอกท้อ ดอกกล้วยไม้ ต้นไผ่ ดอกเบญจมาศ ทั้งสี่คนที่ได้รับคัดเลือกในปีนี้จะขึ้นแสดงบนเวทีเพื่อบูชาเทพเจ้าโดยเฉพาะ โดยแสดงมาหลายครั้งแล้ว”
“ข้าเพิ่งจะกลับมาถึงเมื่อวานจึงไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้ แต่ปีก่อนข้าไม่พลาดไปดูการแสดงทุกเวทีเลยขอรับ คุณชายทั้งสองไปด้วยกันเถอะขอรับ” เสี่ยวลิ่วจื่อเชิญชวนจี้จือฮวนกับเผยยวน
ไหน ๆ ก็มาแล้ว พาเหล่าทหารเกราะเหล็กไปเปิดหูเปิดตาหน่อยก็ดี
ส่วนเผยเสี่ยวเตานั้น คาดว่าที่ใดมีคนเยอะนางก็คงจะไปที่นั่น ไม่แน่อาจจะได้พบกันที่นั่นก็เป็นได้
พวกเขาจึงเดินตามฝูงชนไปด้านหน้า สะพานลอยน้ำที่เต็มไปด้วยพฤกษาพันธุ์ราวกับยามวสันต์ของเจียงหนานก็ปรากฏสู่สายตา ดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบจากฤดูหนาวแต่อย่างใด แม้แต่สายลมที่พัดผ่านก็ดูเหมือนจะคล้อยตามเสน่ห์และความละมุนละไมของเจียงหนานไปด้วย
เมื่อเปรียบเทียบกับความเรียบง่ายและจริงจัง สง่างามและยิ่งใหญ่ของเมืองหลวงแล้ว ดนตรีของที่นี่กลับมอบความไพเราะอันเป็นเอกลักษณ์
เสียงดนตรีดังมาจากที่ไกล ๆ ท่ามกลางฝูงชนที่แน่นขนัด มีชายผู้หนึ่งที่เพิ่งขึ้นมาจากท่าเรือเพื่อมาดูความคึกคัก เขาสวมเพียงรองเท้าฟางอย่างไม่กลัวความหนาวเย็น ยืนอยู่บนรถเข็นที่ใช้บรรทุกสินค้าที่ท่าเรือ พลางเงยหน้ามองเข้าไปด้านใน
เสี่ยวลิ่วจื่อทักทายคนรู้จักอย่างคุ้นเคย ไม่นานก็พาพวกจี้จือฮวนเบียดฝูงชนจนหาตำแหน่งดี ๆ ได้
อยู่ตรงนี้สามารถมองเห็นใต้ร่มเงาต้นหลิวที่มีแท่นหินขนาดใหญ่ทอดยาวไปตามชายฝั่งได้ บนแท่นนั้นมีกลองขนาดใหญ่วาดลายดอกบัวหลากสีสัน หญิงสาวรูปร่างอ้อนแอ้นกลุ่มหนึ่งสวมชุดร่ายรำ เมื่อชายกระโปรงโบกสะบัด มือบางก็ขยับเป็นท่าทางต่าง ๆ ราวกับน้ำพุที่สั่นไหว ชายกระโปรงสีแดงเพลิงของพวกนางฟูฟ่องเป็นรูปทรงอันงดงามครั้งแล้วครั้งเล่า จี้ที่เอวก็พลิ้วไหวไปตามสายลม ราวกับเทพธิดาของวังพระจันทร์ที่อาจจะบินหนีไปได้ทุกเมื่อ
หญิงสาวที่อยู่ตรงกลางกระโดดออกมาตรงหน้าทุกคน การร่ายรำที่รวดเร็วพลันดึงดูดสายตาของทุกคนได้ในทันที แม้แต่จี้จือฮวนเองก็ยังมองอย่างไม่ละสายตา
“ร่ายรำได้ดีจริง ๆ” ราวกับตัวเองได้หลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของการร่ายรำนี้ไปแล้ว
นางกำลังจะถามเผยยวนว่าการร่ายรำนี้เมื่อเทียบกับนางระบำที่ดีที่สุดของคณะละครในวังหลวงอันไหนงดงามกว่ากัน ก็พบว่าอาชิงปิดตาของเผยยวนเอาไว้ แต่ตัวเองกลับมองด้วยความเพลิดเพลิน
“ดี!” เสี่ยวลิ่วจื่อตะโกนชื่นชมขึ้นมา พร้อมกับหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากถุงเงิน และใส่ลงไปในถุงเงินของเด็กรับใช้ที่กำลังมาขอรางวัล นี่เป็นกฎที่ไม่ได้เขียนไว้ของที่นี่ นางระบำแสดงศิลปะขอพรจากเทพวารี บรรดาชาวบ้านที่ยินดีให้ล้วนสามารถได้รับพร แน่นอนว่าต้องเป็นคนที่มีเงินสำรองในมือจึงจะสามารถให้ได้
อีกทั้งแต่ไหนแต่ไรมา ใครก็ตามที่ให้เงินมากก็จะได้นั่งที่นั่งที่ดีที่สุด และมองเห็นได้ชัดที่สุดในปีหน้า
ส่วนเสี่ยวลิ่วจื่อนั้นมาเพื่อให้กำลังใจเท่านั้น
เขาเพิ่งจะใส่เงินลงไป ด้านข้างก็มีคนเบียดเข้ามา คว้าเงินจากในถุงเงินของเขาอีกหนึ่งกำมือแล้วโยนลงไป เสี่ยวลิ่วจื่อสูดปากหนึ่งทีกำลังคิดที่จะด่าออกมา ก็เห็นว่าเป็นเผยเสี่ยวเตาคาบก้อนขนมถั่วเหลืองหนุบหนับชิ้นหนึ่งไว้ในปาก ในมือยังหอบของเล่นเอาไว้อีกด้วย มู่เหยากวงที่ตามหลังมา มีรูปร่างสูง ขายาว ใบหน้าขาวราวกับหยก นัยน์ตาหงส์ เปลือกตาบาง หางตาเชิดขึ้น แฝงไว้ด้วยความเย่อหยิ่งที่ทำให้คนไม่อยากเข้าใกล้ หากดูจากท่าทางของนางแล้ว มู่เหยากวงนั้นมีส่วนคล้ายกับแม่นางจี้อยู่หลายส่วน แต่ว่าแม่นางจี้จะสงบนิ่งและมั่นคง ส่วนมู่เหยากวงนั้นราวกับว่าถูกห่อหุ้มด้วยโซ่ตรวนอีกชั้นหนึ่ง ที่ทำให้คนไม่อาจเข้าใกล้ได้มากกว่า
เสี่ยวลิ่วจื่อกระแอมออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “เจ้าไปที่ใดมา พวกเรากินข้าวกันเสร็จแล้ว อาหารทะเลไม่มีเหลือให้เจ้าแล้ว”
เผยเสี่ยวเตาหัวเราะเบา ๆ “ไม่เป็นไร ข้าชอบขนมข้าวเหนียวนี่ของพวกเจ้ามากกว่า อร่อยมากจริง ๆ!”
มู่เหยากวงได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าหงึก ๆ แล้วเอ่ยขึ้นมา “อร่อยจริง ๆ”
อร่อยจนนางซื้อไปตั้งเจ็ดแปดไม้
เสี่ยวลิ่วจื่อมองไปทางด้านหลัง “อวี้จื่อหนิงที่ไปกับพวกเจ้าเล่า เจ้าเด็กนั่นซนอย่างกับลิงกับค่าง ไม่ใช่ว่าพลัดหลงไปแล้วกระมัง?”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก อยู่นั่นอย่างไรเล่า!”
เสี่ยวลิ่วจื่อหันไปมอง ก็เห็นอวี้จื่อหนิงที่รูปร่างค่อนข้างเตี้ยและตัวเล็ก วิ่งเข้าไปที่ข้างกายของจี้จือฮวน และพูดบางอย่างที่ข้างหูนาง
“ทางเมืองหลวงได้ส่งเรือจากอู่ต่อเรือมาแล้วขอรับ คาดว่าพรุ่งนี้ก็คงจะมาถึงท่าเรือ ข้าได้ส่งข่าวออกไปแล้ว เมื่อเรือมาถึงท่าเรือทุกคนก็จะรู้ว่ามีเศรษฐีจากเมืองหลวงมาถึงแล้วขอรับ”
อวี้จื่อหนิงเอ่ยต่ออีก “อีกทั้งยังได้ยินชาวบ้านใกล้เคียงพูดกันด้วยว่า ความจริงแล้วไม่เพียงมีโจรสลัดขึ้นฝั่งมาปล้นเท่านั้น แต่ยังมักจะมีคนที่มีสำเนียงแปลก ๆ มาขอให้ช่วยซื้อของให้ และเจ้าสารเลวบางคนก็ไม่ให้เงิน กินแล้วชักดาบ ดังนั้นจึงเป็นไปได้มากว่าโจรสลัดเหล่านั้นกล้าเดินเตร่ไปมาอย่างเปิดเผยตามเมืองต่าง ๆ ของเจียงหนาน เพื่อสำรวจเส้นทางและหาซื้อเสบียงอยู่ขอรับ”