บทที่ 434 คนที่ดีมาก?

อวี้จื่อหนิงที่มีท่าทางเฉลียวฉลาดและซุกซน ยังเอ่ยต่ออีก “ข้าเพิ่งจะถามเสร็จ ก็ได้พบกับคนที่พวกเขาพูดถึง สำเนียงการพูดแปลกจริง ๆ นะขอรับ”

จี้จือฮวนลดเสียงลง จงใจเลียนแบบน้ำเสียง และพูดกับอวี้จื่อหนิง “ใช่สำเนียงแบบนี้หรือไม่?”

อวี้จื่อหนิงดวงตาเบิกโพลง “ใช่ ๆ ๆ ฮูหยิน เหตุใดท่านถึงพูดได้เล่าขอรับ? คงไม่ใช่คนจากบ้านเกิดท่านหรอกกระมัง?”

จี้จือฮวนเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “พวกเขามีโอกาสที่จะเป็นโจรสลัด และคนที่เจ้าเห็นเป็นคนแบบใดบ้าง พวกเขาซื้อของอะไรไป?”

อวี้จื่อหนิงครุ่นคิดอยู่สักพัก “เป็นชายกลุ่มหนึ่งกับสตรีอีกคนหนึ่งขอรับ ใบหน้าของสตรีผู้นั้นขาวมาก บริเวณใกล้กับหลังใบหูของนางมีรอยสักรูปดอกไม้อยู่ ข้าคิดว่าน่าจะเป็นโสเภณีที่มาจากที่ใดที่หนึ่ง และที่ที่พวกเขาไปก็คือร้านขายอาวุธขอรับ”

เมื่อครู่พวกเผยเสี่ยวเตาก็ถูกร้านอาวุธล่อลวงเช่นกัน

แต่สิ่งที่จี้จือฮวนคิดถึงกลับเป็นพื้นที่ชายฝั่งทะเล ที่เดิมก็มีความเกลียดชังกลุ่มโจรสลัดอยู่แล้ว แต่พวกเขากลับสามารถขึ้นฝั่งได้อย่างเปิดเผย ซื้ออาวุธและขนออกจากท่าเรือได้ เห็นได้ชัดว่าช่องโหว่ของที่นี่ร้ายแรงเพียงใด มัวแต่ทำอะไรกันอยู่ ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปหากมีโจรสลัดปะปนขึ้นมา พวกเขาก็คงคิดว่ามาท่องเที่ยวกระมัง?

ไฟดวงหนึ่งลุกโชนขึ้นในใจของจี้จือฮวน

“เจ้าทำได้ดีมาก” จี้จือฮวนสูดหายใจเข้าลึก ๆ พลางเอ่ยชมอวี้จื่อหนิงเล็กน้อย เจ้าลิงตัวนี้ปกติมักจะร่าเริงและอยู่ไม่สุข แต่ปราดเปรียวที่สุด รูปร่างก็แข็งแรง ทักษะการสังเกตและปฏิกิริยาตอบโต้ล้วนยอดเยี่ยมมาก ครั้งนี้การที่ตั้งใจเลือกเขามานับว่าไม่ทำให้จี้จือฮวนผิดหวังจริง ๆ

ในขณะที่พูดกันอยู่นั้นดนตรีก็หยุดลง อวี้จื่อหนิงมองไปทางเวที นางระบำชุดสีแดงที่ร่ายรำอยู่ก็เหาะเข้าไปในฝูงชนราวกับนกนางแอ่น เมื่อมองดูชัด ๆ อีกครั้งก็เห็นบุรุษที่มีรูปร่างหน้าตาสง่างาม แต่งกายด้วยชุดบัณฑิตสีน้ำเงิน หน้าตาเหมือนพวกบัณฑิต นางระบำผู้นั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มทันที บัณฑิตผู้นั้นหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อให้กับนาง แม้จะมีฝูงชนขวางกั้นทว่าก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความเสน่หาระหว่างพวกเขาทั้งสองคน

“สตรีผู้นี้เป็นคณิกาชั้นสูงของหอฉวินฟาง เป็นคณิกาที่ยังไม่เคยรับแขกมาก่อน” เวลานี้เสี่ยวลิ่วจื่อก็แทรกตัวเข้ามา พลางเอ่ยแนะนำให้กับจี้จือฮวนและเผยยวน

“คณิกาชั้นสูงที่หอฉวินฟางเลือกมาทุกปี ล้วนเป็นมือดีในการหาเงิน ส่วนบุรุษที่สวมชุดบัณฑิตผู้นั้นคือ…ข้าขอคิดดูก่อน อ้อ! เป็นเสมียนที่ดูแลเอกสารของฉวนปั๋วซือ เป็นคนดีแต่ขี้ใจอ่อนและมีชื่อเสียงของที่นี่ ชื่อว่า โจวอันคัง”

จี้จือฮวนกับเผยยวนหันไปมองเขาพร้อม ๆ กัน “ฉวนปั๋วซือ?”

เสี่ยวลิ่วจื่อไม่ได้เอะใจแต่อย่างใด “ใช่แล้วขอรับ พวกท่านไม่รู้อะไร โจวอันคังผู้นี้เป็นคนที่ดีมากคนหนึ่งจริง ๆ ดีจนไม่ว่าใครขอร้องให้เขาทำอะไร เขาก็มักจะใจอ่อนทุกครั้ง พวกท่านเคยเห็นคนโง่รับขอทานมาอยู่ด้วยและยกทรัพย์สินทั้งหมดให้ขอทานหรือไม่ขอรับ คนคนนั้นก็คือเขานั่นแหละขอรับ”

จี้จือฮวนจ้องโจวอันคังผู้นั้น บนเสื้อผ้ามีรอยปะขนาดใหญ่สองสามรอยที่เห็นได้ชัด ซึ่งแตกต่างกับนางระบำที่แต่งกายงดงามที่อยู่ข้าง ๆ เขาอย่างสิ้นเชิง

“โชคดีของเขา ที่ยังมีงานเสมียนที่ฉวนปั๋วซือให้ทำอยู่ บ้านขายออกไปแล้วก็ยังสามารถอยู่ในฉวนปั๋วซือได้ เรียกว่าคนโง่ก็ยังมีโชคของคนโง่กระมัง”

“เขาอยู่ในฉวนปั๋วซือหรือ?”

“ใช่ขอรับ”

เสี่ยวลิ่วจื่อทอดถอนใจออกมา “มีอยู่ปีหนึ่งข้าจำได้ว่าใต้เท้าฟางจวิ่นของฉวนปั๋วซือเสียแม่ไป ถูกโจรสลัดฟันจนตาย สุดท้ายโจรสลัดก็ให้ใต้เท้าฟางนำค่าไถ่ไปแลกกับร่างแม่ของเขา ใต้เท้าฟางจวิ่นจะไปเอง ทว่าโจวอันคังกลับอาศัยตอนที่ใต้เท้าฟางจวิ่นไปรวบรวมเงิน บุกเดี่ยวไปเพียงลำพัง เขานำร่างกลับมาได้ ทว่าก็ถูกฟันไปหลายแผลเช่นกัน นับแต่นั้นมาใต้เท้าฟางจวิ่นจึงปฏิบัติต่อเขาเหมือนน้องชายแท้ ๆ นี่คือผลของการทำความดีกระมัง

แม้แต่หัวหน้าของพวกเรายังบอกว่าโจวอันคังผู้นี้ซื่อสัตย์สุจริต ใครได้แต่งกับเขาถือว่าโชคดีแล้ว และเคยคิดจะยกคุณหนูใหญ่ให้เขาด้วย”

เสี่ยวลิ่วจื่อเอ่ยจบ ก็มองไปทางจี้จือฮวนสองสามีภรรยา “พวกท่านไม่คิดว่าคนดีเช่นนี้หาได้ยากหรือขอรับ?”

จี้จือฮวน เผยยวน และแม้แต่อาชิงที่ขี่คออยู่ก็อดไม่ได้ที่จะเอียงคอ และยังคงเงียบอยู่เช่นนั้น

มีเพียงอาชิงน้อยที่ถามด้วยเสียงนุ่มนิ่มออกมา “นี่มันคนโง่ไม่ใช่หรือ มีคนดีเช่นนี้ที่ใดกัน ในไซอิ๋วบอกว่าคนดีที่จู่ ๆ โผล่ออกมาเหล่านั้น ไม่แน่อาจจะเป็นปีศาจแปลงกายมาก็ได้ ตอนแรกเขาจะทำดีกับเจ้า จากนั้นก็จะหลอกเจ้าไปฆ่า”

จี้จือฮวนคิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กคนนี้จะหัวไวถึงเพียงนี้ มุมปากจึงยกขึ้นบาง ๆ พลางเอ่ยกับเสี่ยวลิ่วจื่อที่งุนงงเล็กน้อย “ใช่คนดีหรือไม่ข้าไม่รู้ บางทีบนโลกอาจมีคนที่ยอมเสียสละผลประโยชน์ของตนเองเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นเช่นนี้อยู่จริง ๆ ก็ได้ แต่ข้ายังไม่เคยเจอมาก่อน ดังนั้นข้าจึงไม่เชื่อ อย่างไรเสียมนุษย์เราล้วนมีความเห็นแก่ตัว มักจะหวังอะไรบางอย่างทั้งนั้น”

เสี่ยวลิ่วจื่อรู้สึกว่าคำพูดของจี้จือฮวนแฝงความนัยเอาไว้ “ฮูหยินคิดว่าโจวอันคังดูไม่เหมือนคนดีหรือขอรับ? แต่เช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องของพวกเรา เพราะพวกเราคงไม่ได้รับผลกระทบอะไรอยู่แล้ว”

จี้จือฮวนไม่ได้ตอบ แต่มันเป็นสัญชาตญาณ นางคิดว่าโจวอันคังผู้นี้ไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย

ฟางจวิ่นคือผู้บังคับบัญชาของเขา บางทีเขาอาจจะทำเพื่อสร้างผลงาน ทำเพื่อจะได้ปีนขึ้นไป จึงยอมเสี่ยงอันตรายเพื่อฟางจวิ่นถึงเพียงนั้น เรื่องนี้นางเข้าใจได้ แต่ถึงขนาดยอมกลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว นางคิดหาเหตุผลอื่นที่คนจอมปลอมเช่นนี้ทำตัวเป็นพระโพธิสัตว์ไม่ออกจริง ๆ

คนคนหนึ่งหากลงทุนลงแรงกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป เช่นนั้นก็ยิ่งไม่น่าไว้วางใจ

ดังนั้นโจวอันคังผู้นี้ ไม่เพียงมีโอกาสเป็นคนไม่ดีแล้ว ยังมีโอกาสสูงมากที่จะเป็นสายของโจรสลัดที่แฝงตัวอยู่ในฉวนปั๋วซืออีกด้วย คนคนหนึ่งที่เอาแต่อาศัยอยู่ในฉวนปั๋วซือ หากต้องการรู้เวลาและเส้นทางเรือของทางการ เรือโดยสาร และเรือขนส่งสินค้า รวมถึงรายการสินค้าที่ทำการขนส่งจะไปยากอะไรกัน

แน่นอนว่าไม่ โดยเฉพาะคนที่เป็นเสมียนที่มีตำแหน่งไม่สูง แต่กลับสามารถใช้ข้ออ้างว่าคัดลอกเพื่อจัดระเบียบ และเก็บข้อมูลเหล่านั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ อีกทั้งสามารถทำอย่างเปิดเผยต่อหน้าทุกคนได้

ประกอบกับเขามีชื่อเสียงว่าเป็นคนดีที่ขี้ใจอ่อนคนหนึ่ง แม้แต่เสี่ยวลิ่วจื่อของกลุ่มกองเรือยังเอ่ยชมไม่ขาดปาก หากข่าวรั่วไหลออกไป เกรงว่าแม้แต่คนหาบเร่ที่เดินผ่านประตูก็ไม่แน่ว่าจะสงสัยในตัวเขา

จี้จือฮวนรู้ว่าตัวเองกำลังคิดเชื่อมโยงไปเรื่อยเปื่อย ถึงขนาดกำลังสร้างทฤษฎีสมคบคิด แต่หากเป็นเช่นนี้จริง ๆ เล่า? หากเป็นความจริงขึ้นมาเล่า?

แต่ละคนต่างตกอยู่ในความคิดของตัวเอง มีเพียงเอี๋ยนเฟินฟางเท่านั้นที่ส่ายก้นใหญ่ ๆ ของตัวเอง และพึมพำออกมาอย่างช้า ๆ หนึ่งประโยค “ข้าก็อยากร่ายรำเหมือนผีเสื้อตัวน้อยบ้าง~”

ทุกคนต่างก็ตัวสั่นเทาขึ้นมาทันทีอย่างควบคุมไม่ได้

หลังจากนั้นพักใหญ่ เฉินไห่คั่วก็ได้ส่งคนมาเชิญเผยยวนไปกินข้าวที่บ้าน เผยยวนกับจี้จือฮวนจึงพาผู้ติดตามจำนวนหนึ่งไปด้วย

จวนของเฉินไห่คั่วเป็นเรือนสามชั้นหลังหนึ่งที่อยู่ใกล้กับค่ายของกองทัพเรือ ลูกชายหญิงล้วนแต่งงานหมดแล้ว หลานชายคนเล็กก็อายุห้าขวบแล้ว เนื่องจากเผยยวนบอกว่าไม่อยากให้คนรู้ เฉินไห่คั่วจึงบอกเพียงว่าเชิญสหายมา เพื่อไม่ให้คนในบ้านตกใจ และตั้งโต๊ะที่เรือนหลังของเขาโต๊ะหนึ่งเท่านั้น

ตอนที่เผยยวนกับจี้จือฮวนมาถึง พบว่ายังมีชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ คนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาก็คือโจวอันคัง

จี้จือฮวนแทบจะรู้ได้ทันที ว่าชายอีกคนคงจะเป็นฟางจวิ่นจากฉวนปั๋วซือ

เฉินไห่คั่วเข้ามาอธิบาย “คืออย่างนี้ขอรับ การเคลื่อนไหวครั้งนี้ค่อนข้างใหญ่ ฟางจวิ่นจึงมาถามข้าที่กองทัพเรือ ว่าเหตุใดเรือที่สัญจรไปมาต่างถูกกองทัพเรือของเราสกัดกั้น ข้าจึงทำได้เพียงบอกความจริงกับเขาไป แต่ข้าไม่ได้บอกฐานะของท่าน บอกเพียงว่าท่านคือคนที่ราชสำนักส่งมาเท่านั้นขอรับ”

เผยยวนพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเดินไปหาพวกฟางจวิ่น

ฟางจวิ่นโค้งตัวลง “ฟางจวิ่นจากฉวนปั๋วซือ ไม่ทราบว่าใต้เท้ามีนามว่า…?”

“ผู้ตรวจการกู้ยวน นี่คือภรรยาของข้า เผยฮวน”

ฟางจวิ่นไม่ได้สงสัยอะไร “ผู้ตรวจการกู้เชิญนั่งขอรับ”