ตอนที่ 438 อวี้เหอหาเรื่องใส่ตัว (1)
มั่วเชียนเสวี่ยคิดใคร่ครวญวางแผนอย่างแยบยล แต่กลับคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะเอ่ยวาจาไร้ยางอายเช่นนี้ออกมา นางจึงถูกทำให้โมโหจนหน้าแดงก่ำ
ฮ่องเต้คล้ายกับพลิกสถานการณ์กลับได้
ทั้งยังถูกความคิดยอดเยี่ยมของตนเอง ทำให้ยิ้มหน้าบานด้วยความภาคภูมิใจในตนเอง ยังคงพูดเองเออเองอยู่ตรงนั้น
“ความจริงเป็นสนมของข้า ก็ไม่ได้ทำให้เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรม พรุ่งนี้ข้าจะออกราชโองการ แต่งตั้งเจ้าเป็นเสวี่ยเฟย…ถึงตอนนั้นค่อยจัดพิธีแต่งตั้งเจ้าเป็นพระสนม เมื่อเจ้ากลายเป็นคนตระกูลกู ทั้งสองเมืองย่อมไม่คัดค้านอันใดอีก แม่ทัพทั้งสองนายก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่รับคำสั่งจากเบื้องบน นับแต่นี้ไปชายแดนตะวันตกก็จะสงบสุข!”
ฮ่องเต้ตรัสไปตรัสมาก็รู้สึกเสียใจที่คิดเรื่องพวกนี้ได้ช้าไป!
มั่วเชียนเสวี่ยเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ แต่กลับทำได้เพียงแค่พยายามข่มโทสะภายในจิตใจเอาไว้ พยายามให้น้ำเสียงของตนเองดูราบเรียบ “หม่อมฉันขอแนะนำฝ่าบาทว่าอย่ามีความคิดเช่นนี้จะดีกว่าเพคะ”
เอ่ยถึงตรงนี้ มั่วเชียนเสวี่ยไม่ซัดเข็มเงินออกไปก็ยากแล้ว
อยากจะซัดเข็มเดียวปลิดชีพบเฒ่าชราหน้าไม่อายผู้นี้จริงๆ!
“ถ้าหากฝ่าบาทไม่อยากมีชีวิตผ่านคืนนี้ไป ก็สามารถลองดูได้เพคะ”
เอ่ยจบ เข็มก็ถูกซัดออกไป!
เพียงแต่ ด้านหลังฮ่องเต้กลับมีเงาร่างสีทองปรากฏออกมาคว้าหมับเข้าที่มือของนาง
มั่วเชียนเสวี่ยถูกเหวี่ยงออกไป
หมุนตัวรอบหนึ่งก็ยืนได้อย่างมั่นคง แต่หัวหน้าขันทีกลับรุดขึ้นหน้ามาบีบคอนาง
ขันทีสมควรตาย เป็นสุนัขรับใช้ที่ดีจริงๆ
ตอนที่ไม่สมควรเอ่ยวาจา เขาไม่มีทางพูดมาก แม้ว่าตอนที่นางโต้เถียงกับฮ่องเต้ เขาก็สามารถยืนอยู่อีกด้านราวกับไม่มีตัวตน
ตอนนี้กลับทะยานตัวออกมาเร็วมาก
แต่ทว่า อย่างไรมั่วเชียนเสวี่ยก็กำลังสนทนากับฮ่องเต้ แม้ว่าหัวหน้าขันทีจะบีบคอนาง แต่กลับเป็นเพียงแค่การข่มขู่ ไม่เหมือนกับพละกำลังก่อนหน้านี้ที่ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยอันใดมิได้สักประโยคเดียว
มั่วเชียนเสวี่ยย่อมไม่ยอมถูกจับแต่โดยดี “ฝ่าบาทให้ขันทีผู้นี้ปล่อยหม่อมฉันจะดีกว่า ถ้าหากว่าเส้นผมหม่อมฉันร่วงไปแม้แต่เส้นเดียว ก็เกรงว่าตระกูลหนิงจะรวบรวมเงินเพื่อมอบเป็นเบี้ยหวัดให้ฝ่าบาทไม่ได้”
เงาสีทองยังคงขวางอยู่ด้านหน้าฮ่องเต้ มั่วเชียนเสวี่ยจึงมองเห็นสีหน้าฮ่องเต้ไม่ชัด ได้ยินเพียงแค่เงาสีทองนั้นเอ่ยด้วยท่าทางที่คาดเดาไม่ออกว่า “เสี่ยวลู่จื่อ เจ้ามีความกล้ามากจริงๆ ถึงกับกล้าลงมือใส่เสวี่ยเฟยเหนียงเหนียงของฝ่าบาท!”
เสวี่ยเฟยเหนียงเหนียง?!
มั่วเชียนเสวี่ยโกรธตัวสั่น!
หัวหน้าขันทียิ้มอัปลักษณ์ คลายมือ “เสวี่ยเฟยเหนียงเหนียงโปรดอภัยโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
แม้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะถูกปล่อยให้เป็นอิสระ แต่กลับถูกจนทำให้โมโหจนหงายหลัง!
นางย่อมรู้ว่าสองคนนี้จงใจทำให้นางโมโห ถ้าหากว่าฮ่องเต้ชั่วร้ายจริงๆ ให้คนสกัดจุดนาง วางลงบนเตียงแล้วลงมือจัดการเลยก็ได้…
ตอนนี้นางไม่เพียงแต่โมโห แต่ยังตระหนกใจด้วย
ในขณะที่ตัวสั่นยะเยือกจนขนลุกไปทั้งตัว!
สมองก็แล่นอย่างรวดเร็ว
นัยน์ตากลอกไปมารอบหนึ่ง บนใบหน้าก็พลันสงบนิ่ง “ฝ่าบาท ถ้าหากท่านยังดึงดันจะรั้งเชียนเสวี่ยไว้ในวัง เชียนเสวี่ยก็ไม่ถือสาที่จะเปิดคาถาส่งสัญญาณลับของป้ายไม้ให้หัวหน้าชนเผ่าทั้งสองส่งคนไปแคว้นชัง เพื่อเจรจาเรื่องให้ยืมเส้นทางตอนนี้หรอกนะเพคะ”
ความจริงแล้วป้ายไม้นี้มีความสามารถนี้ที่ไหนกัน!
เพียงแต่ดูโทรทัศน์ อ่านนิยายจอมยุทธ์แฟนตาซีมากเกินไป ภายใต้สถานการณ์ร้อนรน จึงมีความคิดนี้ผุดขึ้นมาในสมองของนาง
แต่ทว่า ป้ายไม้ที่อยู่บนคอของมั่วเชียนเสวี่ยเดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวเลือนหายไปตามใจนาง ฮ่องเต้จึงมิอาจมิเชื่อวาจาของนางว่ามีความจริงอยู่หลายส่วน
เขาจึงลุกขึ้นทันที
ใบหน้าที่เดิมได้ใจเล็กน้อยมีประกายโทสะขึ้นมา
“มั่วเชียนเสวี่ย! เจ้ากล้ามาก! เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะต้องการศีรษะของเจ้าในตอนนี้หรือ!”
เกือบไปแล้ว! ความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนเมื่อครู่นี้เลือนหายไป มั่วเชียนเสวี่ยตอบกลับ “ต่อสู้กับความชั่วร้ายโดยไม่เสียดายชีวิตตนเอง หม่อมฉันก็มีแค่ชีวิตเดียว จะเทียบกับแว่นแคว้นอันกว้างใหญ่ไพศาลของราชวงศ์ได้เช่นไร หม่อมฉันแนะนำให้ฝ่าบาทระงับโทสะ เห็นแก่ส่วนรวมเพคะ”
ฮ่องเต้หมดหนทางโดยสิ้นเชิง
อนาคตราชวงศ์ของเขา จะมีค่าเท่ากับชีวิตหนึ่งของมั่วเชียนเสวี่ยได้เช่นไร
ขังไม่ได้ รับไว้ไม่ได้ ฆ่าไม่ได้ และปล่อยไม่ได้ ขณะที่ฮ่องเต้จนปัญญา ก็รู้สึกหดหู่ใจอยู่บ้าง
มั่วเชียนเสวี่ยกลับตั้งใจไม่ปล่อยฮ่องเต้ไป
ได้ทีขี่แพะไล่ ซ้ำเติมเมื่อผู้อื่นเพลี่ยงพล้ำ เป็นสัญชาตญาณของนางมาโดยตลอด
“อ้อ! ใช่แล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หม่อมฉันเตรียมย้ายไปอยู่บ้านไร่นอกเมืองหลวง เกรงว่าฝ่าบาทต้องจัดเตรียมผู้คุ้มกันให้หม่อมฉันมากหน่อยถึงจะถูก หากว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับหม่อมฉัน เกรงว่าฝ่าบาทก็คงไม่สงบสุขเช่นเดียวกัน หม่อมฉันล้วนคิดเพื่อฝ่าบาท จงรักภักดีต่อฝ่าบาท…”
“เจ้า…”
ฮ่องเต้พิโรธ เกือบจะกระอักเลือดออกมา เจ้าคำนี้เอ่ยอยู่นานสองนานก็ยังตรัสอะไรไม่ออก
มั่วเชียนเสวี่ยทำราวกับรอบด้านไร้ผู้คน “เช่นนั้น…หม่อมฉันทูลลาเพคะ”
ฮ่องเต้ที่ลมปราณภายในร่างกายไหลลื่นแล้ว ก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เจ้าวางใจ ความปลอดภัยของเจ้า ข้าจะส่งคนไปดูแล”
ถอยออกไปได้สองก้าว ก็นึกขึ้นมาได้อีกเรื่องหนึ่ง มั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยเตือนว่า “หม่อมฉันจะกลับไปรอราชโองการให้สร้างจวนกั๋วกงขึ้นใหม่ พร้อมกับค่าใช้จ่ายและคนทั้งหมดจากฝ่าบาทเพคะ”
ฮ่องเต้ไม่ได้ตอบรับ แต่กลับกวาดหนังสือ ฎีกา และแท่นหมึกทั้งหมดบนโต๊ะทรงอักษรลงพื้น
เสียงโครมครามดังขึ้น
เงาร่างสีทองนั้นหายไปนานแล้ว
หัวหน้าขันทีหนังศีรษะชาวาบ
มั่วเชียนเสวี่ยหมุนตัวเดินออกไป โดยไม่ได้ถวายความเคารพ ราวกับมองไม่เห็นเหตุการณ์ตรงหน้า
มั่วเชียนเสวี่ยจากไปแล้ว แต่โทสะของฮ่องเต้ยังไม่หายไป
เขาจ้องแผ่นหลังของนางอยู่ครู่หนึ่งโดยมิได้กล่าวอันใดออกมา มั่วเชียนเสวี่ย รอคนที่ไปสืบข่าวในชายแดนตะวันตกกลับมา ข้าจะสับเจ้าเป็นหมื่นชิ้น เพื่อบรรเทาความเกลียดชังในใจแน่นอน!
หัวหน้าขันทีคุกเข่าเก็บกวาดของเหล่านั้นทันที ตอนนี้เขาไม่สนใจจะเรียกคนเข้ามาช่วย และเกือบจะแนบใบหน้าลงกับพื้น เพื่อลดทอนการมีตัวตนของตนเอง
แม้ว่าจะเป็นหัวหน้าตระกูลขุนนางเก่าแก่ ก็ไม่มีผู้ใดกล้าข่มขู่ โอ้อวดวางอำนาจต่อหน้าฝ่าบาทเช่นนี้
พวกเขามีสิ่งที่ต้องพะวงถึงมากเกินไป ภาระมากเกินไป จึงไม่กล้าหยิ่งทะนงตัวเกินไป
แต่ มั่วเชียนเสวี่ยผู้นี้ไร้บิดามารดา ไร้สิ่งใดให้อาวรณ์ โดดเดี่ยวเพียงลำพัง นอกจากชีวิตของตนเอง นางยังมีอันใดอีก นางยังต้องกลัวอันใดอีก
เป็นเฉกเช่นประโยคนั้นของนางจริงๆ ต่อสู้กับความชั่วร้ายโดยไม่เสียดายชีวิตตนเอง
ตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยเข้าวังหลวง หนิงเซ่าชิงก็ได้รับข่าวสารแล้ว
หนิงเซ่าชิงที่วิตกกังวลก็มายืนนิ่ง มองไปยังทิศทางของวังหลวงในศาลากลางสวนบุปผา
ทุกหนึ่งนาที สำหรับเขาคือความทรมานอย่างหนึ่ง ทำให้เขารู้สึกทุกข์ใจอย่างยิ่ง
ดรุณีน้อยนางนี้ไม่แจ้งให้ตนเองทราบสักคำว่าจะเข้าวังหลวง ช่างมีความกล้ามากจริงๆ
ที่นั่นคือวังหลวง นางต้องเผชิญหน้ากับฮ่องเต้ นางรู้อยู่แท้ๆ ว่าคนที่หมายเอาชีวิตนาง วางแผนคิดร้ายต่อนางก็คือฮ่องเต้…
ตอนเช้าก็มีคนหยิบยกเรื่องจวนกั๋วกงขึ้นมาฟ้องให้ถอดถอนบรรดาศักดิ์ของนางแล้ว แต่ว่ามีเขาอยู่ นางจะต้องกลัวอะไร
หากฮ่องเต้กล้าลงอาญาจริงๆ เขาก็กล้าเปิดโปงเบื้องหลังเพลิงไหม้ในครั้งนี้ ให้คนในเมืองหลวงเคลื่อนไหวใหม่อีกครั้ง
ถึงตอนนั้น ไม่เพียงแต่น่าอู่ฉังที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งแม่ทัพเก้าประตูได้ไม่นาน จะเป็นแม่ทัพต่อไปไม่ได้ แต่ยังจะถูกจัดการขั้นสุดข้อหาบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ด้วย
กระทั่งแม่ทัพผู้ซื่อสัตย์และเป็นที่โปรดปรานของตนเอง ฮ่องเต้ยังปกป้องเอาไว้ไม่ได้ ก็เกรงว่าจะทำให้ผู้ที่มีความจงรักภักดีต่อฮ่องเต้รู้สึกผิดหวังและหวาดกลัวอย่างหลีกเลี่ยงมิได้
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ไม่แน่ว่าอำนาจในการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชนในเมืองหลวงที่ถูกกุมเอาไว้อาจจะถูกเปลี่ยนมืออีกก็ได้