ตอนที่ 439 อวี้เหอหาเรื่องใส่ตัว (2)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 439 อวี้เหอหาเรื่องใส่ตัว (2)

การเมืองก็คือการต่อรองต่างๆ แม้ว่าจะอยู่ภายใต้อำนาจของฮ่องเต้ ก็ต้องต่อรองให้เป็นเช่นกัน

หนิงเซ่าชิงครุ่นคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ

แต่ เขาก็รู้เช่นกันว่า มั่วเชียนเสวี่ยไม่ใช่คนที่ทำอะไรโดยไม่มีแบบแผน ในเมื่อนางให้ตนเองรอหนึ่งชั่วยาม เขารอก็ได้

ในสถานที่ห่างไกลมีเสียงลูกธนูดังหวีดหวิวลอยมา คิ้วที่ขมวดเป็นปมของหนิงเซ่าชิงถึงได้คลายออก

เสียงลูกธนูนี้เป็นสัญญาณลับอย่างหนึ่ง แสดงให้เห็นให้ดรุณีน้อยที่ใจกล้าบ้าระห่ำนางนั้นออกจากวังหลวงอย่างปลอดภัยแล้ว

หนิงเซ่าชิงที่คิ้วคลายปมแล้ว กำลังจะออกจากศาลา แต่ทางเข้าศาลากลับมีผู้มาเยือนคนหนึ่ง

“คารวะหัวหน้าตระกูลเจ้าค่ะ”

ผู้มาเยือนสวมอาภรณ์สีอ่อน บนศีรษะมวยผมเป็นทรงเมฆาเหิน และมิได้ประดับเครื่องประดับศีรษะหรูหราเฉกเช่นสตรีนางอื่นในตระกูลหนิง เพียงแค่ประดับด้วยเครื่องประดับมู่ตานสีแดงสลับเขียวเรียบง่ายชิ้นหนึ่ง

แต่กลับบริสุทธิ์สง่างามอย่างยิ่ง

นั่นก็คือสตรีที่เคยเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง…กุ้ยเสี่ยวซี

แม้ว่าอวี่เหวินหันเหล่ยจะงาม แต่กลับเป็นความงามแบบธรรมดาทั่วไป ความงามของกุ้ยเสี่ยวซี เป็นความงามที่บุคลิกอันบอบบางนุ่มนวลที่แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง

เพียงแต่ กาลก่อน ความงามของกุ้ยเสี่ยวซีแฝงไปด้วยความหยิ่งในศักดิ์ศรี และมีความโอหังถือตัวเล็กน้อย ยามนี้ ก็งาม แต่เป็นความงามที่ต่ำต้อย และมีกลิ่นอายหัวใจแตกสลาย นัยน์ตาคู่สวยในอดีตมีเพียงแค่ความเศร้าหมอง

ความบอบบางนุ่มนวลและต่ำต้อยเช่นนี้กลับทำให้เกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจขึ้นในใจบุรุษ

ทว่า รูปโฉมงดงามเช่นนี้ บนใบหน้าหนิงเซ่าชิงกลับเย็นชาราวกับน้ำค้างแข็ง เขาตอบเพียงแค่ “อืม” กระทั่งหางตาก็ไม่ได้ชายตามองนางสักแวบเดียว และเดินผ่านนางไป

“หัวหน้าตระกูลโปรดหยุดก่อนเจ้าค่ะ”

หนิงเซ่าชิงยังคงเดินต่อไปข้างหน้า โดยไม่ได้ชะงักฝีเท้าสักนิด ราวกับไม่ได้ยิน

กุ้ยเสี่ยวซีที่อยู่ด้านหลัง เร่งฝีเท้าตามมา

“หัวหน้าตระกูลโปรดหยุดก่อนเจ้าค่ะ เสี่ยวซีมีวาจาจะกล่าว”

เสี่ยวซี? ถึงกับกล้าเรียกตนเองว่าเสี่ยวซีต่อหน้าเขา?!

ภรรยาน้องชายอยู่ต่อหน้าพี่ชาย มากสุดก็เรียกแทนตนเองว่าเชี่ยเซิน จะเรียกแทนตนเองด้วยชื่อได้เช่นไร

ความเย็นชาบนใบหน้าหนิงเซ่าชิงเพิ่มขึ้นอีกขั้นหนึ่ง คิ้วก็ขมวด ระหว่างเขากับนาง ไม่มีอันใดต้องสนทนากันอีก นับตั้งแต่เมามายพันวันจอกนั้นแล้ว ยามที่นางแต่งเข้าตระกูลหนิงเป็นฮูหยินรองตระกูลหนิง ก็เป็นจุดสิ้นสุดแล้ว

ไม่อยากสนใจคนที่เอ่ยและทำอันใดโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง หนิงเซ่าชิงยังคงเดินต่อไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดเท้า

แววตากุ้ยเสี่ยวซีที่เดิมหม่นหมองก็อับแสงลงยิ่งกว่าเดิม

แต่กลับไม่ยอมแพ้

นางสืบร่องรอยการเดินทางของหนิงเซ่าชิงมาโดยเฉพาะ สามารถพบกันในสวนได้ครั้งหนึ่งนั้นไม่ง่ายเลย

แน่นอนว่า นี่ไม่ใช่การพบกันโดยบังเอิญเป็นครั้งแรก แต่นางได้ยินว่าเขาอยู่ในสวน จึงมา “พบ” เขาเป็นการเฉพาะ

เร่งฝีเท้าตามไปสองก้าว กุ้ยเสี่ยวซีก็เอ่ยเข้าประเด็นทันที “หนิงเซ่าอวี่คิดจะทำร้ายท่านมาตลอด ท่านต้องระวังตัวนะ”

วาจานี้ไม่มีการเรียกหัวหน้าตระกูลอย่างให้เกียรติแต่เป็นการเรียกโพล่งออกมาว่า “ท่าน” อย่างสนิทสนม

หนิงเซ่าชิงชะงักฝีเท้าทันที

ในใจเกิดเพลิงโทสะขึ้นมา

แต่ทว่า คนถ่อยเช่นนี้ ไม่คู่ควรให้เขาโมโห

เขาควบคุมอารมณ์ได้ดีมาเสมอ เพลิงโทสะที่ผุดขึ้นมาในตอนนี้ได้กลายเป็นการดูแคลน

เขาเพียงแค่เอ่ยเบาๆ ประโยคหนึ่ง โดยไม่ได้หันกลับไป “กุ้ยซื่อเป็นคนไม่ควรประพฤติตนต่ำช้าเกินไป!”

กุ้ยเสี่ยวซีเหลือบตาขึ้นจ้องแผ่นหลังในอาภรณ์สีขาวของคนผู้นั้น บุรุษที่สุภาพอ่อนโยนมาโดยตลอด ก็สามารถกล่าววาจาโหดร้ายที่ทำร้ายคนเช่นนี้ได้ด้วยหรือ

ใช่แล้ว นางมีคุณสมบัติอันใดมาเตือนเขา!

ในฐานะคู่หมั้นของเขา นางหักหลังเขา ตอนนี้เมื่อเป็นภรรยาของหนิงเซ่าอวี่ กลับหันกลับมาหักหลังสามีของตนเอง!

ขอแค่เป็นคน ล้วนมองว่าตนเองต่ำช้า!

นางไม่โทษเขา!

ตอนนี้ กุ้ยเสี่ยวซีอยากหัวเราะ หัวเราะที่ตนเองโง่ และหัวเราะความเขลาของตนเอง และยิ่งหัวเราะให้กับสถานการณ์ของตนเอง

แต่สุดท้ายก็ไม่ได้หัวเราะออกมา มีเพียงแค่หยาดน้ำตาที่หลั่งรินจากนัยน์ตา

ภัยพิบัติที่ถูกประทานจากสวรรค์ชั้นฟ้า ยังอาจจะสามารถหลบหนีเอาชีวิตรอดได้ แต่เวรกรรมที่ตนเองสร้างนั้นไม่มีวันหนีพ้น!

นัยน์ตากุ้ยเสี่ยวซีเต็มไปด้วยความโดดเดี่ยวเศร้าเสียใจ แต่กลับไม่อธิบาย และไม่วิงวอน น้ำเสียงก็เรียบเฉยมากเช่นกัน “มีผู้อาวุโสในตระกูลคนหนึ่งที่สมรู้ร่วมคิดกับเขา หัวหน้าตระกูลโปรดระวังตัวด้วย เขาคิดจะฆ่าท่านตลอดเวลา เพื่อแทนที่ท่าน”

เอ่ยจบแล้ว ก็หันหน้าเดินจากไป

หนิงเซ่าชิงไม่ปริปากเอ่ยอันใด เท้าก็ไม่หยุด เดินออกจากสวนบุปผาไปอย่างรวดเร็ว

ตั้งแต่เมื่อคืน ซูชีก็จับพวกอันธพาลกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าอยู่ข้างนอก ขับไล่ขอทานที่ไร้บ้านให้กลับทั้งหมด

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาฆ่าคนเป็นจำนวนมากหลังจากกลับมา ขอเพียงแค่ขัดขืนการจับกุม ขอเพียงแค่ขอทานที่ไร้บ้านให้กลับไม่ยอมออกจากเมือง เขาล้วนฆ่าทิ้งหมด

ขอทานเหล่านี้ก่อปัญหาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็ให้พวกเขาหายไปจนหมด

เช่นนี้ ก็เป็นการส่งสัญญาณเตือนให้กับคนที่คิดจะใช้ประโยชน์จากขอทานพวกนี้แรงๆ ครั้งหนึ่ง

ภายในเมืองหลวงล้วนสะอาดสะอ้านขึ้นมาทันที บนท้องถนนไม่มีแม้กระทั่งคนมาขอข้าวกินสักคน นับประสาอะไรกับพวกลักเล็กขโมยน้อย

ซูชีพลันกลายเป็นบุคคลในหัวข้อสนทนาขึ้นมา

ไม่เพียงแค่เขา ข่าวลือเรื่องนั้นเรื่องนี้ด้านนอกเดิมก็แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว

นอกจากเรื่องเพลิงไหม้จวนกั๋วกงแล้ว เรื่องที่ลือกันมากที่สุดกลับเป็นข่าวอื้อฉาวององค์หญิงอวี้เหอ

แน่นอน เนื่องด้วยฐานะขององค์หญิงอวี้เหอ ไม่มีผู้ใดกล้าลือกันอย่างเปิดเผย ล้วนใช้วิธีกระซิบกระซาบกันทั้งนั้น

องค์หญิงอวี้เหอเรียกองครักษ์เข้าพบในยามค่ำคืนอะไรนั่น

องค์หญิงอวี้เหอเลี้ยงชายบำเรออะไรนั่น

ในร้านหนังสือมีคนเอ่ยเสียแปลกประหลาดพิสดารยิ่งกว่า

เขาเอ่ยว่ามีคืนหนึ่งตนเองถูกคนฟาดสลบแล้วพาตัวไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง

ในนั้นมีเพียงสตรีมาดสูงศักดิ์ปรนนิบัติเขาพร้อมกับสาวใช้นางหนึ่ง สตรีมาดสูงศักดิ์นางนั้นอายุไม่มาก แต่กลับช่ำชองในเรื่องอย่างว่า ทำให้เขาแทบจะไม่มีสติในการควบคุมตนเอง

วันนี้เขายังจำได้ว่า ภายในห้องไม่ได้มีเขาที่เป็นบุรุษคนเดียว ยังมีบุรุษอีกคนอยู่ที่นั่นด้วย เขากับบุรุษผู้นั้นผลัดกันเข้าสู่สังเวียน

ขณะที่ทั้งสี่คนกำลังโรมรันกัน ก็ได้ยินสาวใช้นางนั้นเรียกสตรีผู้นั้นว่าองค์หญิงตอนที่ปรนนิบัติอยู่ ตอนนั้นเขายังนึกว่าฝันไป ตอนนี้หวนคิดดูแล้ว ที่แท้ก็เป็นเรื่องจริง…

คนนั้นยังเอ่ยอีกว่า ความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายในวันนั้นจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หายอยาก

ที่สำคัญก็คือตอนที่เขาเอ่ย มีคุณชายท่านหนึ่งที่แอบฟังอยู่อีกด้านในตอนนั้นกระโดดออกมาชี้เขา พลางเอ่ยว่า “ที่แท้ คืนนั้นก็คือสหายท่าน…” เอ่ยจบก็ไม่ลืมเอามือปิดปากตนเอง มองซ้ายมองขวาคล้ายกับร้อนตัว

และหลังจากนั้น คุณชายสองท่านที่สนทนากันก็ดูเหมือนจะกลัวว่าตนเองหาเรื่องใส่ตัว เร้นกายหายไปอย่างรวดเร็ว

แต่ แม้จะจากลาไปแต่คนผู้นั้นยังทิ้งชื่อเสียงไว้ให้โจษจัน นับประสาอะไรกับวาจาคน

ข่าวลือเรื่องที่องค์หญิงอวี้เหอถูกคนหลายคนทาบทับอยู่บนร่างในค่ำคืนหนึ่งก็ลือกันไปทั่วทันทีทั้งแบบนี้

ไม่เพียงเท่านี้ ยังลือกันอีกว่า นางไม่พอใจที่ถูกคนทาบทับ ยังให้สาวใช้ข้างกายมาเพิ่มความสนุกสนานด้วยกัน นางดูไป พลาง…ลือกันเสียจนเย้ายวนใจอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นวิธีการที่ลือเรื่องสุนทรียะเย้ายวนใจเหล่านี้ได้ดีที่สุด

คุณชายท่านใดที่ยังไม่ได้ยินนั้นถือว่าเป็นพวกล้าหลัง

คุณชายที่เคยได้ยินล้วนเฝ้ารอว่าวันใดตนเองจะถูกองค์หญิงเรียกตัวเข้าพบ ได้เล่นสนุกกับสตรีสูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้าโดยไม่ต้องเสียสักตำลึงเดียว ทำไมจะไม่ยินดีเล่า

ยามที่ข่าวลือเหล่านี้ลือไปถึงตระกูลเซี่ย หัวหน้าตระกูลเซี่ยก็ถูกทำให้โมโหจนใบหน้าบิดเบี้ยวแล้ว

เขาส่งคุณชายสามเซี่ยไปที่ร้านหนังสือ เพื่อจับคนที่แพร่กระจายข่าวลือสองคนนั้น แต่ไม่พบแม้เงา