บทที่ 236 ข้าเขียนไม่เป็น

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรนะ นี้ยังไม่หลั่งเลือด อีกเดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว!” หลี่ซิ่วยิงรีบปลอบโจวชิวเซียง

สายตาของชุ่ยฮวามองไปที่หน้าท้องโจวชิวเซียง ในใจก็เกิดความหวาดผวา

คราวแรกนางยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะตั้งท้องจริง ๆ หวังหยู่ชุนไม่ได้พูดมั่วซั่ว!

คิดมาถึงตรงนี้ มองโจวชิวเซียงอีกครั้ง ยสายตานางก็เต็มไปด้วยดูถูก

เหล่าไท่ไท่ฟังแล้วก็รู้ว่าแย่แล้ว รีบฉุดแขนเสื้อชุ่ยฮวา “ชุ่ยฮวา เจ้ารีบไปเรียกคายจือเข้ามา มาช่วยชิวเซียงแต่งเนื้อแต่งตัว”

ชุ่ยฮวาตอบรับ แล้วรีบออกไป เหล่าไท่ไท่ก็รีบไปปิดประตู แล้วกลับมองดูโจวชิวเซียงอีกครั้ง เห็นสีหน้านางขาวซีด จากสถานการณ์ตอนนี้ไม่ค่อยดี ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี

“พี่สะใภ้ใหญ่ ไปเชิญท่านหมอมาตรวจดีหรือไม่”

“ไม่ได้ ไม่ได้ ถ้าเชิญท่านหมอมา เดี๋ยวเถ้าแก่เฉียนรู้เข้า อย่างไรก็ห้ามให้เขารู้ ไม่งั้นชิวเซียงของพวกเราก็ไม่ต้องคิดจะได้แต่งออกไปแล้ว!”

หลี่ซิ่วยิงกล่าวปฏิเสธ

โจวชิวเซียงนอนฟังที่พูดคุยกันก็รีบคว้าแขนแม่ของนางไว้ “ห้ามเรียกหมอ ข้าจะแต่งเข้าตระกูลเฉียน! ต้องได้แต่งกับเขา!”

เหล่าไท่ไท่อ้าปาก สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

ถ้าสตรีนางนี้แท้งลูกร่างกายคงจะเจ็บหนัก แต่กลับกลัวจะเกิดเรื่องขึ้นมา!

ในห้องครัวเมื่อโจวชิวเซียงถูกอุ้มไปแล้ว หวังหยู่ชุนถึงได้สติกลับมา ก็รู้สึกหวาดกลัว

สตรีด้านข้างพูดกับนางว่า “หยู่ชุน น้องสาวเจ้าก็ตั้งท้องอยู่ เหตุใดเจ้าถึงถีบไปที่ท้องของนางเล่า หากเกิดอะไรหรือไร”

ในใจหวังหยู่ชุนหวาดหวั่นมาก แต่ฟังผู้อื่นกล่าวว่าเช่นนี้ นางก็ไม่ยอมแพ้ ยืนกรานว่า “จะโทษข้า? เป็นนางเองที่พุ่งเข้ามาทะเลาะกับข้า!”

“งั้นเจ้าเป็นพี่สะใภ้ก็ไม่ควรตบตีกันสิ ถ้านางเป็นอะไรร้ายแรงขึ้นมา เจ้าคอยดูว่าแม่สามีเจ้าจะจัดการเจ้าอย่างไร!”

หวังหยู่ชุนคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ในใจก็หวาดกลัวกว่าเดิม เพียงยังปากแข็งต่อ “พวกเจ้าต้องเป็นพยานให้ข้า เป็นนางที่เริ่มลงมือก่อน”

ขณะพูดอยู่ ชุ่ยฮวาก็พุ่งเข้ามา ก็เรียกโจวคายจืออย่างดัง “คายจือ เจ้ารีบเข้าไปเร็วๆ แม่เจ้าเรียกหาเจ้า กลัวว่าชิวเซียงจะไม่ไหวแล้ว!”

โจวคายจือมือสั่น รีบวางของในมือลง เร่งเท้าออกไปข้างนอก

ขาหวังหยู่ชุนสั่นเทิ้มไปหมด ในใจรู้สึกหวาดหวั่น

สตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งในห้องถามชุ่ยฮวา “ชิวเซียงเป็นอะไร”

“แหม ก็กลัวจะรักษาเด็กในท้องเอาไว้ไม่ได้ ชิวเซียงร้องเจ็บอยู่ตลอดเลย กล่าวว่าต้องรักษาลูกนางเอาไว้ให้ได้!”

เพียงกล่าวออกมา ก็ทำให้ผู้คนโดยรอบติฉินกันอย่างเซ็งแซ่

ถึงจะรู้กันก่อนแล้ว แต่การเห็นด้วยตาตัวเองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

บอกว่าเป็นสตรียังไม่ได้แต่งงานได้อย่างไร นี่ยังไม่ทันจะได้แต่งงานก็ท้องโตกับผู้อื่นเสียแล้ว นี่มันไม่ได้แล้ว!

หวังหยู่ชุนได้ยิน คิดถึงหลี่ซิ่วยิงกับคนตระกูลโจว ก็รอต่อไม่ไหวแล้ว วิ่งโกยแนบไปที่บ้านตัวเอง เข้าไปในบ้านล็อกประตู กลับเข้าไปในห้องตัวเอง แล้วล็อกประตู ใจเต้นระรัวไม่หยุด

ทุกคนที่ห้องครัวยังพูดคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้น โจวกุ้ยหลานตักอาหารในกระทะขึ้นมา กล่าวกับพวกเขาที่กำลังพูดคุยกันย่างร้อนแรงว่า “ให้คนมาช่วยข้าก่อไฟที อาหารพวกนี้จะทำไม่ทันแล้ว ยังต้องรบกวนพี่สะใภ้ทุกคนช่วยเหลือ”

คนเหล่านั้นได้ยิน ก็รีบไปทำงานของตัวเองทันที

เมื่อครู่พวกเขาพูดคำที่ไม่น่าฟังไม่น้อย ตอนนี้ถึงนึกได้ว่ากุ้ยหลานยืนอยู่ตรงนี้ แต่ละคนก็หน้าแดง

ขณะชุ่ยฮวาดูก็ก่อไฟ เงยหน้าถามกุ้ยหลาน “น้องสาวเจ้าเป็นแบบนี้แล้ว ทำไมเจ้าไม่ไปดูนางสักหน่อยล่ะ”

โจวกุ้ยหลานยกมุมปาก “ล้วนไปดูนางกันหมดแล้ว แล้วใครจะทำงานกันล่ะ”

“แหม ยังเป็นโจวกุ้ยหลานที่คิดรอบคอบ!” ชุ่นฮวากล่าวอย่างประหลาดใจ

โจวกุ้ยหลานไม่ต่อบทคุย

เดิมทีนางไม่สนใจโจวกุ้ยหลาน นางจะดีจะร้ายก็ไม่เกี่ยวข้องกับตน

อีกอย่าง ถ้านางไปแล้ว ถ้าลูกโจวชิวเซียงไม่มีแล้ว บางทีถึงตอนนั้นโจวชิวเซียงจะกล่าวว่าเป็นเพราะนาง

ไม่อยากให้ยุ่งวุ่นวาย

“เจ้าว่าพวกเจ้าตระกูลโจว ล้วนประพฤติตนถูกทำนองคลองธรรม ทำไมชิวเซียงถึงใจกล้าหน้าไม่อาย คาดไม่ถึงจะก่อเรื่องพวกนี้ขึ้นมาได้” ชุ่ยฮวากล่าวขึ้น

ฟังที่ชุ่ยฮวากล่าวคำเหล่านี้ โจวกุ้ยหลานก็รู้สึกว่าน่าขัน

ชุ่ยฮวาลืมเรื่องที่นางไปหาโจวต้าไห่ทำเมื่อปีที่แล้วใช่ไหม

เห็นโจวกุ้ยหลานมองที่ตนเอง ชุ่ยฮวาก็คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อก่อน ความหน้าหนาแทบคงไว้ไม่ไหว ก็กระแอมสองสามคราว ละสายตาออกไป ไม่มองโจวกุ้ยหลาน

“ที่พูดก็ใช่ว่าเพราะเหตุผลนี้ แต่นี่มันจะไร้ยางอายเกินไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงตระกูลโจว หมู่บ้านต้าสือพวกเราก็ไม่เคยทำเรื่องอย่างนี้ ชิวเซียง ทำให้หมู่บ้านพวกเราขายหน้าหมดแล้ว!”

“พูดอย่างนี้ไม่ได้นะ หลังชิวเซียงแต่งเข้าบ้านคนรวยแล้ว ถึงตอนนั้นนางจะใช้ชีวิตผ่านไปดีๆ!เจ้าอย่าว่า ชิวเซียงคนนี่มีหัวคิด ตอนข้าโตเท่านาง ยังไม่กล้าพูดคุยกับบุรุษเลย!”

“ช่างเถอะน่า ถ้าลูกสาวข้าก่อเรื่องเช่นนี้ ข้าคงถือไม้กวาดตีนางตาย เลี่ยงพูดให้ขายหน้า!”

“พวกเจ้านี่ ล้วนคิดเรื่องไม่เป็น พวกเจ้าดูซิ่วยิงสิ ข้าเห็นปากนางลอยจนถึงฟ้าแล้ว ในใจคงยินดีอยู่แล้ว!”

แล้วก็แย่งกันพูดกันต่อ ทุกคนพูดกันอย่างติดลม

ตอนแรกยังละอายใจกับโจวกุ้ยหลาน แต่เห็นนางไม่พูดอะไร ที่พูดนั้นยิ่งพูดยิ่งไม่น่าฟัง

โจวกุ้ยหลานตักอาหารขึ้นมา เทน้ำมันลงกระทะ เริ่มทอดลูกชิ้นทันที

คำพูดของคนเหล่านี้ นางไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลยสักนิด

เสียงดังเอะอะขนาดนี้ พริบตาก็เที่ยงวัน อาหารที่โจวกุ้ยหลานผัดก็ใกล้เสร็จแล้ว น้ําซุปกระดูกที่ควรต้มก็ต้มเสร็จแล้ว ใส่ไว้เต็มหม้อใหญ่หลายใบเพื่ออบ อีกเดี๋ยวถ้าทุกคนกินข้าวแล้ว ค่อยกลับไปอุ่นหม้ออีกคราว แค่นี้ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว

“ลำบากท่านป้าและพี่สะใภ้ทุกท่านแล้ว ทุกคนไปพักผ่อนเถอะ อีกเดียวกินข้าวแล้วก็รบกวนพวกท่านอีกครั้ง” ขณะโจวกุ้ยหลานพูด ก็เช็ดมือของตัวเองกับผ้ากันเปื้อน

“พวกข้าก็ไม่ได้ทำอะไรมาก ล้วนเป็นเพราะกุ้ยหลานทำนั่นแหละ” ชุ่ยฮวาอึดอัดที่จะเอาใจโจวกุ้ยหลาน

โจวกุ้ยหลานยิ้ม “ถ้าไม่เพราะพวกท่าน ข้าคนเดียวก็ทำอาหารมากมายเหล่านี้ไม่ไหวหรอก!”

ในใจคนที่อยู่ในบ้านก็ยินดี กล่าวเกรงใจสองสามคำ แล้วทุกคนก็ออกไปนั่ง

โจวกุ้ยหลานปิดประตูห้องครัวลง เดินไปถึงในลานบ้าน ก็เห็นเจ้าก้อนน้อยกระดกก้นน้อย ๆ กำลังวาดไปมาบนพื้น พวกต้าญาก็ล้อมเขาไว้

โจวกุ้ยหลานสาวเท้าเขาไปอย่างไว ก็เห็นเจ้าก้อนน้อยกำลังเขียนอักษรอยู่บนพื้น บอกพวกเขาว่า “อันนี้อ่านว่าญา!”

“ญา? งั้นนี่คืออักษรของชื่อพวกเรา?” ต้าญาตอบกลับอย่างดีใจ

เอ้อร์ญาก็ดีใจ ตาทั้งสองข้างจ้องเพ่งเล็งไปที่อักษรนั้นบนพื้น

ต้าหู่ตบไหล่เจ้าก้อนน้อย เข้าประกบเขา กล่าวเอาใจว่า “งั้นเจ้าเขียนหู่ให้พวกข้าดูสักหน่อยได้ไหม”

เจ้าก้อนน้อยเกาหัวตัวเอง คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็คิดไม่ออกว่าหู่เขียนอย่างไร จึงส่ายหน้าไปมา “ข้าเขียนไม่เป็น”

เห็นท่าทางกลัดกลุ้มของเขา โจวกุ้ยหลานก็อยากหัวเราะ