ตอนที่ 391 ซุ่มโจมตี

ซูจ้าวมองเขา ไม่รู้ว่าควรจะว่าอะไรเขาดี

หากพูดถึงเรื่องสังหารพวกอนุหร่วนแม่ลูก นางก็เข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายทำไปเพราะต้องการรักษาชีวิต แต่ตอนนี้นางไม่ค่อยอยากจะคิดตามอีกต่อไปแล้ว

นางเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นเพราะตนเลือกอยู่กับอันไท่ผิงแล้วหรือเปล่า ถึงได้ทำให้มุมมองที่มีต่อเขาเปลี่ยนไป มีบางคำที่อยากพูดออกไปแต่ก็ต้องระงับไว้

แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกไปว่า “เจ้าเคยคิดถึงความรู้สึกของหลิ่วเอ๋อร์บ้างหรือไม่? หรือว่าต้องการบังคับให้นางออกเรือน?”

เซ่าผิงปอเอ่ยเสียงเรียบ “เรื่องเช่นนี้หากนางไม่ยินยอม ข้าก็ไม่มีทางบังคับนาง”

“จริงหรือ?” สีหน้าของซูจ้าวแสดงออกชัดเจนว่าไม่เชื่อ

เซ่าผิงปอพยักหน้ารับ ไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก จึงเปลี่ยนประเด็นไปว่า “เรื่องที่กล่าวไปวันนี้ท่านแค่รับรู้ไว้ก็พอ อย่าให้เบื้องบนของท่านรู้เรื่องนี้”

ซูจ้าวเอ่ยถาม “เจ้ากังวลเรื่องใด?”

เซ่าผิงปอเอ่ยว่า “หอจันทร์กระจ่างสามารถสมคบกับซีย่วนต้าอ๋องได้ ก็แปลว่าหอจันทร์กระจ่างได้แทรกแซงเรื่องราวต่างๆ ภายในราชวงศ์แคว้นฉีแล้ว ข้าไม่อยากให้ฝั่งเฮ่าเจินเกิดขัดแย้งอันใดกับแผนการของทางหอจันทร์กระจ่าง”

ซูจ้าวกล่าวว่า “เจ้าสั่งให้ทางเราไปสังหารชายาอิงอ๋อง แล้วยังให้น้องสาวออกเรือนกับเฮ่าเจิน จะไม่ให้ทางนี้คิดมากเลยก็คงเป็นไปได้ยากแล้ว ต่อไปเบื้องบนต้องซักถามจากข้าแน่นอน”

เซ่าผิงปอเอ่ยว่า “มีเหตุผลมากมายที่จะใช้ปกปิดไว้ได้ ข้าต้องการใช้การสมรสเชื่อมสัมพันธ์ครั้งนี้กดดันทางฝั่งแคว้นเยี่ยนกับแคว้นหาน หากท่านว่าไปเช่นนี้พวกเขาย่อมเข้าใจแน่นอน พี่จ้าว ข้าไม่ไว้ใจหอจันทร์กระจ่าง แต่ไว้ใจท่าน ข้าไม่มีทางปกปิดเรื่องใดไปจากท่าน” พูดแล้วก็ลุกขึ้นมากะทันหัน ค่อยๆ เดินเข้าไปหา ทั้งสองสบตากันโดยที่หนึ่งยืนหนึ่งนั่ง

เมื่อก่อนซูจ้าวเคยชินกับพฤติกรรมเช่นนี้ แต่ยามนี้ค่อนข้างอึดอัดขึ้นมา คิดจะถอยหลบไปตามสัญชาตญาณ ผู้ใดจะทราบว่าเซ่าผิงปอกลับยื่นมือมาจับมือนางไว้

ซูจ้าวลนลานขึ้นมาเล็กน้อย คิดจะชักมือกลับ แต่พอนึกถึงคำสั่งของเบื้องบนขึ้นมา เรื่องอันไท่ผิงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทว่านางไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเรื่องทางมณฑลเป่ยโจวผิดพลาด อย่างน้อยในฉากหน้าก็ยังต้องคงความสัมพันธ์กับเซ่าผิงปอไว้

หลังจากประสบกับเรื่องอันไท่ผิงมา นางก็พอจะมองออกแล้ว เบื้องบนน่าจะมองออกแต่แรกแล้วว่าต่อให้สุดท้ายเซ่าผิงปอทำสำเร็จ เขาก็ไม่แน่ว่าจะยอมแต่งกับนาง แต่เบื้องบนก็ทำเป็นหลับตาข้างหนึ่งมาโดยตลอด

ส่วนเซ่าผิงปอก็น่าจะรู้แต่แรกแล้วว่าหอจันทร์กระจ่างต้องการใช้ประโยชน์เขา

ทั้งสองฝ่ายต่างมีแผนอยู่ในใจ ส่วนนางเป็นเพียงตัวเบี้ยที่อยู่ตรงกลาง

เรื่องราวหลายอย่างที่แต่ก่อนมองไม่ออกเพราะหลงใหลได้ปลื้มในตัวเซ่าผิงปอ พูดอีกอย่างคือไม่ยอมตื่นจากความฝัน ตอนนี้หลายเรื่องราวนั้นล้วนกระจ่างแจ้งแจ่มชัดขึ้นมาแล้ว

หลังจากได้อยู่ร่วมกับอันไท่ผิง อันที่จริงนางอยากจะถอนตัวแล้ว แต่เรื่องราวไม่ได้ขึ้นอยู่กับนาง หากนางกล้าก่อความวุ่นวายขึ้นมาล่ะก็ เบื้องบนไม่มีทางปล่อยอันไท่ผิงไปแน่ ลำพังโอสถเทพระทมนั้น อันไท่ผิงก็ไปไหนไม่รอดแล้ว

ขณะที่นางกำลังลังเลอยู่ เซ่าผิงปอกลับเข้ามาใกล้ชิดนาง กางสองแขนออกโอบตัวนางเข้าสู่วงแขน

ซูจ้าวประหนึ่งโดนงูฉกก็มิปาน ผลักเขาออกไปทันที รีบถอยหลังออกไปหลายก้าวอย่างรวดเร็ว

“…..” เซ่าผิงปอผงะไป แต่ก่อนนางเป็นฝ่ายเข้ามากอดเขาก่อนด้วยซ้ำ เป็นเขาที่ปฏิเสธอย่างละมุนละม่อมมาโดยตลอด วันนี้เหตุการณ์กลับตรงกันข้าม

ซูจ้าวก็เหมือนจะตระหนักอะไรขึ้นมาได้ เอ่ยอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ผิงปอ ที่นี่ไม่เหมาะ”

“ท่านคิดมากไปแล้ว ไม่เป็นไรหรอก” เซ่าผิงปอก้าวเข้ามาอีกครั้งต้องการจะโอบกอดนางต่อ

ซูจ้าวเบี่ยงตัวออกไปด้านข้าง หลบเลี่ยงเขา อ้อมไปหลบด้านหลังโต๊ะตัวหนึ่ง เอ่ยด้วยรอยยิ้มเก้อกระดาก “ผิงปอ ที่นี่คือหอนางโลม”

เซ่าผิงปอเพ่งมองนางอยู่สักพักแล้วยิ้มออกมา ไม่ได้ฝืนใจอีก รามือแต่เพียงเท่านี้

เขาก็ไม่สะดวกจะรั้งอยู่ที่นี่ไปตลอดเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายหารือกันอยู่สักพักก็แยกจากกัน

เมื่อออกจากเรือนเมฆาขาว พอขึ้นรถม้าไปก็ดึงหน้ากากออกจากใบหน้า สีหน้าคร่ำเคร่งลงเล็กน้อย

ในอดีตซูจ้าวต้องการ ‘อยู่กับเขา’ มาโดยตลอด เป็นเขาไม่ตอบตกลง เมื่อประสบเรื่องม้าศึกในครั้งนี้ เขาสังเกตเห็นว่าซูจ้าวผิดปกติไป มาครั้งนี้เขาคิดจะ ‘ทำเรื่องดีงาม’ กับซูจ้าวให้สำเร็จเพื่อผูกมัดซูจ้าวไว้ต่อไป ทว่าซูจ้าวกลับเปลี่ยนไปแล้ว นางกลายเป็นฝ่ายปฏิเสธเขา

หากเทียบกับเมื่อก่อนแล้ว นี่มันผิดปกติอย่างมาก

เซ่าซานเสิ่งเห็นเขามีสีหน้าผิดปกติจึงลองสอบถามดู “คุณชายใหญ่ เป็นอะไรไปขอรับ?”

เซ่าผิงปอยกมือลูบเส้นผมตนเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “ข้าผมหงอกแล้วน่าเกลียดมากหรือ?”

“….” เซ่าซานเสิ่งพลันพูดไม่ออก คุณชายใหญ่ใส่ใจเรื่องรูปลักษณ์ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? หลังจากได้สติกลับมาก็รีบตอบว่า “ผมหงอกจะส่งผลกระทบต่อความสง่างามของคุณชายใหญ่ได้อย่างไรขอรับ มีผมหงอกเพิ่มขึ้นมานิดหน่อยก็ยิ่งขับเน้นความงามสง่า น่าเกลียดที่ไหนกันล่ะขอรับ?”

เซ่าผิงปอเงียบไปสักพักก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เดี๋ยวเจ้าไปขอให้คนของสำนักเขามหายานตรวจสอบคนผู้หนึ่งให้ที เป็นชายฉกรรจ์หน้าแดงรูปร่างสูงใหญ่บึกบึน”

เซ่าซานเสิ่งสงสัย “ชายฉกรรจ์หน้าแดงหรือขอรับ? คุณชายใหญ่ เบาะแสน้อยไปหน่อย อีกทั้งที่นี่ก็มิใช่ถิ่นของพวกเรา ยังมีเบาะแสอย่างอื่นอีกหรือไม่ขอรับ?”

เซ่าผิงปอกล่าวว่า “เป็นชายฉกรรจ์หน้าแดงคนหนึ่งที่สามารถเข้าออกเรือนหลังของเรือนเมฆาขาวได้ ข้าก็รู้เพียงเท่านี้เหมือนกัน ข้ามั่นใจว่าเขาไม่มีทางเข้าไปเพียงครั้งเดียวแน่ ส่งคนไปเฝ้าดูได้”

“ขอรับ” เซ่าซานเสิ่งพยักหน้ารับ สื่อว่าจดจำไว้แล้ว

แต่ในใจเขายังคงฉงนอยู่ เมื่อรวมกับที่เซ่าผิงปอเอ่ยถามเรื่องผมเมื่อครู่นี้ เขาพอจะเกิดข้อสงสัยขึ้นมารางๆ แล้ว

….

ภายในวังหลวง บนเรือมังกรเหนือทะเลสาบครามกระจ่าง เฮ่าอวิ๋นถูพิงราวกั้นรับลม

ปู้สวินเหินเหยียบคลื่นเข้ามา ร่อนลงบนดาดฟ้าเรือแล้วรีบเดินขึ้นไปยังชั้นบน หลังจากเดินมาถึงข้างกายเฮ่าอวิ๋นถูก็ทำความเคารพแล้วเดินเข้าไปรายงานว่า “เซ่าผิงปอแอบไปเยือนเรือนเมฆาขาวอย่างลับๆ พ่ะย่ะค่ะ”

ดวงตาเฮ่าอวิ๋นถูฉายแววแปลกใจเล็กน้อย หัวเราะหยันออกมา “เห็นทีเรื่องที่สะใภ้ของข้าคนนั้นถูกลอบสังหารอาจจะเกี่ยวข้องกับหอจันทร์กระจ่างจริงๆ สินะ”

ปู้สวินเอ่ยว่า “เช่นนั้นเรื่องวิวาห์ของอิงอ๋องจะเอาอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ?”

เฮ่าอวิ๋นถูยกมือปรามเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “หากสะใภ้ใหม่ไม่สามารถทำให้พอใจได้ก็ยังเปลี่ยนใหม่ได้ โอรสของข้ายังต้องกลัวจะหาภรรยาไม่ได้อีกหรือ? ทว่าไม่อาจปล่อยให้เป่ยโจวโกลาหลได้ เป่ยโจวจำเป็นต้องพึ่งพาสมรสเชื่อมสัมพันธ์ครั้งนี้ ต้องช่วยค้ำจุนเซ่าผิงปอและค้ำจุนมณฑลเป่ยโจวก่อน แบ่งแยกความสำคัญให้ดี เรื่องในอนาคตค่อยว่ากันอีกที…”

….

ณ เรือนส่วนในของร้านเต้าหู้ หยวนกังที่เปลือยกายท่อนบนห้อยหัวลงจากราว มีลูกน้องสองคนใช้ท่อนเหล็กฟาดใส่จนเกิดเสียงดังผัวะๆ

หยวนเฟิงรีบเดินเข้ามาในเรือนด้านใน โบกมือให้ลูกน้องทั้งสอง สื่อว่าให้ทั้งสองถอยออกไป

หยวนกังที่สองเท้าเกาะเกี่ยวคานเหล็กเอาไว้พลันหดขาเหวี่ยงตัวขึ้นไปด้านบน หมุนตัวตีลังกากลางอากาศรอบหนึ่งแล้วลงแตะพื้นด้วยสองเท้า หลังจากยืนบนพื้นอย่างมั่นคงแล้วก็เดินอาดๆ เข้าไปในเรือนโดยมีหยวนเฟิงติดตามไป

ทั้งสองเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าแผนที่ หยวนเฟิงชี้ไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง “หลังออกมาจากเรือนเมฆาขาวก็มุ่งหน้าไปยังเรือนแห่งหนึ่งที่อยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง นับว่าห่างจากวังหลวงไม่ไกลนัก ไปลองสืบถามมาแล้ว เขาเพิ่งมาเช่าพักอาศัยอยู่ที่นี่เมื่อไม่มานานมานี้ขอรับ”

“ให้พวกพี่น้องไปจับตามองอยู่ตามปากถนนแต่ละสาย ห้ามทำตัวผิดปกติ ห้ามเผยพิรุธ” หยวนกังจ้องมองแผนที่พลางสั่งการ

หลังเขาออกมาจากเรือนเมฆาขาวก็ไม่ได้โดยสารเรือกลับมาที่ร้านเต้าหู้ หากแต่ลงจากเรือระหว่างทาง แสร้งไปสอบถามเรื่องค้าขายที่แผงเต้าหู้ริมถนนแล้วแอบมอบหมายภารกิจสะกดรอยตามให้อย่างลับๆ

ถึงแม้เขาจะมีกำลังคนไม่มาก ทว่ากลับวางเครือข่ายไว้ตามท้องถนนของเมืองหลวงจนเหมือนตาข่ายปากหนึ่ง นับว่ายังพอใช้จับตามองคนคนหนึ่งได้อยู่

…..

หลายวันต่อมาในช่วงรุ่งสาง หยวนเฟิงวิ่งกระหืดกระหอบกลับไปที่เรือนด้านหลังร้านเต้าหู้อย่างเร่งด่วน ไปยืนอยู่ตรงหน้าแผนที่กับหยวนกังอีกครั้ง

“เป้าหมายออกเดินทางแล้วขอรับ โดยสารรถม้ามุ่งหน้าออกไปทางประตูตะวันออก ตอนนี้เห็นว่าใช้เส้นทางหลวงเป็นหลัก ส่งกลุ่มลูกน้องคอยผลัดเปลี่ยนกันสะกดรอยตามไปแล้วขอรับ”

หยวนกังเอ่ยถาม “ใช้เส้นทางหลวงหรือ? คนผู้นี้เจ้าเล่ห์ มั่นใจหรือว่าเป้าหมายไปแล้วจริงๆ?”

หยวนเฟิงพยักหน้ารับ “แน่ใจขอรับ ให้คนปลอมตัวเป็นคนส่งอาหารไปตรวจสอบที่บ้านมาแล้ว ภายในบ้านว่างเปล่า มีเพียงข้ารับใช้ที่เจ้าของบ้านเช่าส่งมาทำความสะอาด ข้ารับใช้เหล่านั้นก็บอกว่าเป้าหมายเพิ่งเดินทางออกไป เห็นกับตาว่ามีคุณชายผมขาวคนหนึ่งขึ้นรถม้าไปแล้ว”

หยวนกังจ้องมองแผนที่ ชี้นิ้วลากไปตามเส้นทาง สุดท้ายก็หยุดอยู่ที่แถบพื้นที่ป่าเขาแห่งหนึ่ง พลันเอ่ยเสียงเข้ม “รีบแจ้งให้คนที่ไม่ได้ออกไปตั้งแผงมารวมตัวกันเดี๋ยวนี้!”

“ขอรับ!” หยวนเฟิงวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

ไม่นานนัก คนงานของร้านเต้าหู้ที่ออกไปฝึกซ้อมตอนช่วงรุ่งสางก็ทยอยกลับเข้ามา

ในตอนที่คนมาถึงครบ ทางหยวนกังก็ได้เตรียมห่อสัมภาระที่มีขนาดเท่ากันไว้กองหนึ่งแล้ว เมื่อแจกจ่ายให้เสร็จทั้งกลุ่มก็จากไปอย่างรวดเร็ว

ด้านนอกเรือน หยวนต้าหูและกู่โหย่วเหนียนเข้ามาขวางหยวนกังเอาไว้ หยวนต้าหูเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เถ้าแก่ วันนี้ยังจะออกไปฝึกขี่ม้านอกเมืองหรือเปล่าขอรับ?”

“อืม!” หยวนกังตอบรับ

ทั้งสองเตรียมจะติดตามไปด้วย ผู้ใดจะทราบว่าหยวนกังกลับเอ่ยเสริมขึ้นว่า “วันนี้พวกท่านไม่ต้องไป”

สองผู้เฒ่าเฝ้ามองหยวนกังเดินอาดๆ ออกไปด้วยความตะลึง มองกันไปมองกันมา

ส่วนหยวนกังก็เรียกได้ว่าไม่มีการปกปิดแม้แต่น้อย นำคนหลักร้อยวิ่งออกไปนอกเมือง คนที่สัญจรผ่านไปผ่านมาก็เหมือนจะเคยชินกันหมดแล้ว

ทั้งคณะออกจากเมือง ไปยังลานม้าที่มักจะเช่าม้าในยามฝึกซ้อมปกติเป็นประจำ เมื่อเช่าม้านับร้อยเสร็จก็ควบม้าวิ่งห้อออกไป

กระทั่งมาถึงส่วนลึกของทุ่งหญ้าแล้ว สัมภาระของคนนับร้อยก็ไปรวมกันอยู่บนร่างของคนห้าสิบคน คนที่เหลือถูกพาออกไปฝึกฝนต่อภายใต้การนำของหยวนหั่วและหนิวซานเพื่อปกปิดอำพรางสายตาคน ส่วนหยวนกังก็พาทั้งห้าสิบคนที่แบกสัมภาระไว้ควบม้าวิ่งไปต่อ

ระหว่างทางเมื่อพบลานม้า หยวนกังยังคงทำตัวเปิดเผยไม่ปกปิดอันใด แจ้งขอผลัดเปลี่ยนม้าในนามของตระกูลฮูเหยียนอย่างเปิดเผย

ผ่านไปค่อนวัน ในที่สุดก็ไล่ตามทันพี่น้องของตนที่แปลงโฉมมาทำหน้าที่ติดตามเป้าหมายก่อนล่วงหน้าบนถนนหลวง

“เป้าหมายยังเดินทางไปตามเส้นทางหลวงหรือเปล่า?” หยวนกังถาม

พี่น้องคนนั้นตอบว่า “ขอรับ อยู่ด้านหน้าไม่ไกลแล้ว ต้าหย่งยังตามไปอยู่ หากมิเป็นเพราะว่าอยู่บนทางหลวง มีคนสัญจรผ่านไปมาเป็นปกติ พวกเราคงไม่กล้าตามต่อไปจริงๆ ขอรับ”

“พวกเจ้าทำงานของพวกเจ้าต่อไป” หลังจากหยวนกังสั่งการก็นำแผนที่ออกมาอย่างรวดเร็ว ค้นหาพิกัดที่ตนอยู่ จากนั้นตรวจดูเส้นทางเล็กน้อยแล้วเก็บแผนที่กลับไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง เอ่ยสั่งทุกคนว่า “อีกฝ่ายมีรถม้าเดินทางได้ไม่เร็ว พวกเราจะใช้เส้นทางลัดล่วงหน้าไปก่อน ไป!” เขาบังคับม้าหักเลี้ยวแล้วพุ่งนำออกจากถนนหลวงไป

คนอีกหลายสิบคนที่เหลือควบม้าไล่ตามเขาไป

ช่วงพลบค่ำในแถบป่าเขา ชายชราคนหนึ่งขี่ม้าพุ่งเข้าสู่ถนนหลวงที่ตัดผ่านป่าเขา ปากก็ส่งเสียงร้อง “กรู้” เหมือนเสียงนกเป็นระยะๆ สอดส่ายสายตามองซ้ายมองขวา

“กรู้…กรู้…” พลันมีเสียงนกร้องขานรับแว่วออกมาจากในป่าอีกด้านหนึ่ง

ชายชรารั้งบังเหียนหยุดม้าทันที พอพบเนินชันแห่งหนึ่งก็ควบพุ่งขึ้นไป ควบม้าไปเรื่อยๆ จนไปถึงส่วนลึกของป่าเขาถึงผูกม้าเอาไว้แล้ววิ่งกลับมา

เมื่อวิ่งมาถึงพงป่าข้างถนนก็มองซ้ายมองขวา พงหญ้าพุ่มหนึ่งขยับเล็กน้อย พงหญ้าเคลื่อนไหว หยวนกังที่หน้าเปื้อนโคลนและมีหญ้าปักอยู่บนศีรษะโผล่หน้าออกมาเอ่ยถามว่า “อีกนานไหมกว่าจะมาถึง?”

ชายชรามิใช่ใครอื่น เป็นต้าหย่งนั่นเอง ต้าหย่งตอบว่า “อย่างมากก็อีกครึ่งก้านธูปขอรับ”

หยวนกังหันไปสั่งการ “เตรียมพร้อม!”

ต้าหย่งรีบจัดแจงพงหญ้าที่เคยเดินผ่านให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็ว จากนั้นมีเสียงคนเรียกจากด้านหลัง เขาหันไปมอง ไม่รู้ว่ามีห่อสัมภาระถูกโยนออกมาจากไหน หล่นกระทบกันดังเคร้งๆ

เขารับเอาไว้แล้วล่าถอยออกไปอย่างรวดเร็ว ถอยไปจนถึงหลืบเขาแล้วเปิดห่อสัมภาระออก มีข้าวของกระจุกกระจิกกองหนึ่งกระจัดกระจายอยู่ เขารีบประกอบของเหล่านั้นเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว ท่าทางคล่องแคล่ว ประกอบชุดหน้าไม้เก้าชิ้นเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นรีบจัดการอำพรางตัวเองต่อโดยเร็ว

สถานการณ์เป็นไปตามที่เขาบอกไว้ เวลาผ่านไปราวครึ่งก้านธูป รอม้าสองคันที่มีผู้คุ้มกันหลายสิบคนก็เคลื่อนตัวมาตามถนนหลวงจนเข้าสู่ช่องเขา

พอเห็นขบวนรถใกล้เข้ามา หยวนกังที่ฟุบหมอบบนพื้นพลันออกแรงกระตุกเชือกที่ฝังซ่อนไว้ใต้พื้น

ตูม!

เกิดเสียงดังสนั่น เปลวเพลิงปะทุขึ้นมา เนินเขาสั่นสะเทือน พื้นดินบริเวณถนนหลวงระเบิดขึ้นสู่ฟ้า ระเบิกฉีกกระชากรถม้าทั้งสองคันที่วิ่งตามกันมาจนแหลกเป็นชิ้นๆ คนกระเด็นตกจากหลังม้าทันที

ฝุ่นโคลนสะเก็ดหินปลิวว่อน กำลังคนที่ซุ่มโจมตีอยู่สองฝั่งของผืนป่าได้ยินเสียงสัญญาณก็พากันกระโจนออกมาจากพงหญ้าคนแล้วคนเล่า ถือหน้าไม้ประกอบเก้าส่วนยิงลูกศรออกไปอย่างต่อเนื่องดังฟุบๆ ซุ่มโจมตีจากสองฝั่งถนน เห็นใครก็ยิงสังหารทันที

……………………………………………………………….