บทที่ 341 เธอนี่จริงๆเลย

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

“อ้อ?”รอยยิ้มของวารุณีก็ชัดมากขึ้น“ดังนั้นฉันคิดได้ไหมว่า ที่คุณเมธาวีมาเป็นดีไซเนอร์ ก็เพราะอยากจะเอาชนะฉัน?”

เมธาวีเชิดคอขึ้นมา ตอบกลับอย่างภูมิใจ“ถูกต้อง ฉันมีจุดประสงค์อย่างนี้แหละ!”

วารุณีไม่อยากโจมตีเธอจริงๆ ได้แต่กำฝ่ามือไว้แน่นแล้วกลั้นขำ“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นคุณก็สู้ๆนะคะ”

พูดจบ วารุณีก็จะเดินผ่านเธอเข้าไปในลิฟต์

เมธาวีจับแขนของวารุณีไว้“หยุดเดี๋ยวนี้ เธอยังไม่บอกเลย ว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่?”

“คำตอบนี้เหรอคะ……”

“เธอไม่ต้องพูดแล้ว ฉันรู้”เมธาวีไม่รอให้วารุณีพูดจบ ก็ตัดบทเธอไปโดยตรง ทำเสียงฮึดฮัดอย่างดูถูก“เธอจะต้องทนต่อไปไม่ไหวแล้วแน่ อยากกลับไปบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป จากนั้นใกล้ชิดกับพี่นัทธีอีกใช่ไหม?”

วารุณีมองบนใส่ในใจ ขี้เกียจจะสนใจเธอ

อย่างไรก็ตามเมธาวีเห็นเธอไม่ตอบ คิดว่าตัวเองเดาถูก ก็โกรธจนตาแดง“จริงๆด้วย เป้าหมายของเธอก็คือพี่นัทธี”

“ใช่ งั้นคุณพอใจหรือยังล่ะ”วารุณีชักมือกลับมาอย่างหมดคำพูด

ใบหน้าของเมธาวีเหยเกทันที“เธอฝันไปเถอะ อย่างเธอเนี่ยนะคู่ควรที่จะมีพี่นัทธี ไม่มีทางเสียหรอก ยัยโง่พิชญานั่นหมั้นกับพี่นัทธีมาห้าปีก็ยังไม่ได้ใจพี่นัทธีไป แล้วเธอเป็นใครกัน และฉันบอกเธอให้นะ พี่นัทธีแต่งงานแล้ว!”

ตอนที่พูดประโยคนี้ ในใจของเมธาวีทั้งเจ็บแปลบและอิจฉา

ที่จริงเธอคิดว่าพิชญาตายแล้ว ตัวเองก็จะมีโอกาส

สุดท้ายเธอยังเริ่มลงมือ พี่นัทธีก็แต่งงานเสียแล้ว เธอโกรธแทบตาย รอเธอหาผู้หญิงคนนั้นได้ก่อนว่าเป็นใคร เธอไม่ปล่อยยัยนั่นไว้แน่

“ฉันรู้ว่าประธานนัทธีแต่งงานแล้ว เพราะคนที่แต่งงานด้วยนั่นก็คือฉันไงล่ะ”วารุณีชี้ใส่หน้าตัวเอง หรี่ตามองเมธาวี

เมธาวีก็ไม่เชื่อ กลอกตามองบนใส่“เธอ?ล้อเล่นอะไรกัน นอกจากใบหน้านี้แล้วเธอจะมีอะไร ชาติตระกูลก็ไม่มี เธอช่วยอะไรพี่นัทธีไม่ได้เลย พี่นัทธีจะชอบเธอได้ไง”

“คุณพูดผิดแล้วค่ะประโยคนี้ ฉันไม่มีชาติตระกูล แต่บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปใหญ่ขนาดนี้ ไม่จำเป็นต้องแต่งงานเลยค่ะ ดังนั้นประธานนัทธีก็ไม่ต้องการให้ฉันช่วยเขา ดังนั้นที่เขาชอบ ก็เป็นหน้าของฉันเนี่ยแหละค่ะ”วารุณีลูบหน้าของตัวเอง จงใจกระตุ้นเมธาวี

เมธาวีก็ถูกกระตุ้นจริงๆ มองใบหน้าสวยงามเหมือนนางฟ้าของเธออย่างอิจฉา

“หึ ตลกจริงๆ เธอเชื่อไหมว่าถ้าฉันเอาที่เธอพูดไปบอกพี่นัทธี และภรรยาตัวจริงของพี่นัทธี ฉันจะดูสิพี่นัทธีจะปล่อยเธอไปไหม ภรรยาของพี่นัทธีจะจัดการเธอหรือไม่”เมธาวีพูดไป ก็กอดอกมองวารุณีอย่างยั่วยุ

ที่จริงคิดว่าวารุณีจะกลัว ร้องไห้ขอร้องเธออย่าพูด ไม่คิดเลยว่าวารุณีจะไม่แค่ไม่กลัว แต่กลับหัวเราะอย่างหยิ่งผยอง

“ได้สิ คุณไปเลย คุณไปบอกภรรยาของพี่นัทธีได้ด้วยนะว่า ฉันอยู่กับสามีเธอทุกวัน จูบริมฝีปากของสามีเธอ นอนด้วยกันกับสามีเธอ แล้วเธอจะจัดการฉันไหมนะ”วารุณีทำท่าเชื้อเชิญ

เมธาวีก็ตะลึง“เธอบ้าแล้วเหรอ เธอยอมให้ฉันไปพูดเนี่ยนะ เธอไม่กลัวจริงๆเหรอ?”

“ไม่กลัวเลย”วารุณีเอาผมทัดหู ตอบกลับขำๆ

ตอนนี้เอง จู่ๆร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งก็เดินออกมาจากอีกด้าน“เธอไม่กลัวจริงๆ เพราะว่าเธอคือภรรยาของนัทธี”

คนนั้นก็คือนิรุตติ์

เมธาวีก็รู้จัก ได้ยินเขาพูดแล้ว ก็อ้าปากอย่างไม่อยากจะเชื่อ“จะเป็นไปได้ไง เธอเป็นภรรยาของพี่นัทธีได้อย่างไร”

เธอชี้ไปที่วารุณี นิ้วมือกำลังสั่น ยังไงก็ไม่ยอมเชื่อความจริงนี้

แต่คำนี้พูดออกมาจากปากของนิรุตติ์ เธอจะไม่เชื่อก็ไม่อาจทำได้

“เธอเป็นภรรยาของนัทธีจริงๆ”นิรุตติ์ลูบคาง มองเมธาวีที่ถูกโจมตีอย่างครุ่นคิด

ริมฝีปากของเมธาวีขยับ อยากจะพูดอะไร สุดท้ายก็พูดอะไรไม่ออก หลังจากมองวารุณีด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉา ก็กระทืบเท้าวิ่งออกไป

ชัดเจนว่าถูกผลลัพธ์นี้โจมตีจนไม่มีหน้าอยู่ต่อไปแล้ว

พอเมธาวีไป ในที่นั้นเหลือแค่วารุณีกับนิรุตติ์เพียงสองคน

วารุณีมองไปที่เขา“ผู้อำนวยการนิรุตติ์ ทำไมคุณถึงมาอยู่นี่?”

“สำนักงานใหญ่แจ้งให้คนของบริษัทลูกมาประชุม ผมเลยมา แต่ว่าเนื้อหาประชุมไม่เกี่ยวข้องมากนักกับบริษัทลูกที่ผมดูแล ผมเลยออกมาเดินเล่นไปทั่ว คิดไม่ถึงว่าจะเจอฉากเด็ดของคุณกับเมธาวีเข้าได้”นิรุตติ์เอามือยัดใส่กระเป๋ากางเกง ตอบอย่างเอ้อระเหยลอยชาย

วารุณีเงยคางขึ้นทันที“แบบนี้นี่เอง งั้นฉันไปก่อนนะ”

“อย่ารีบร้อนสิ”นิรุตติ์ก้าวไปด้านซ้าย ขวางไว้ตรงหน้าวารุณี“พวกเราไม่เจอกันนานแล้ว คุณจะไปแบบนี้ ทำร้ายจิตใจผมมากเลยว่าไหม?”

ระหว่างที่พูด เขาก็ยื่นมือ จะไปสัมผัสผมของวารุณี

รูม่านตาของวารุณีหดลง ถอยหลังไปจากเขาอย่างระวังตัว พูดเสียงคมกริบว่า:“ผู้อำนวยการนิรุตติ์ ฉันเป็นภรรยาของนัทธี เป็นน้องสะใภ้ของคุณ กรุณาให้เกียรติด้วย”

เหมือนจะเพิ่งคิดได้ นิรุตติ์จึงถอนหายใจ ชักมือกลับมาอย่างเสียดาย

วารุณีเห็นเขาไม่ทำอะไรมั่วๆ จึงโล่งอก“ผู้อำนวยการนิรุตติ์มีอะไรไหมคะ?”

“ผมมาหาคุณ นอกจากพินัยกรรมแล้ว จะมีเรื่องอะไรได้อีก?แน่นอนว่าถ้าคุณอยากมีอะไรกับผม ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้”นิรุตติ์พูดยิ้มๆ

วารุณีขมวดคิ้ว ทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดลวนลามของเขา พูดไปนิ่งๆว่า“พินัยกรรม ยังไม่ได้ข่าวคราวเลย”

พอได้ยิน สีหน้าของนิรุตติ์หม่นลงทันที“เหลืออีกครึ่งเดือนก็ถึงเส้นตายสุดท้ายแล้ว เวลาหนึ่งเดือนครึ่งนี้ คุณทำอะไรกันแน่ ไม่ได้ข่าวของพินัยกรรมมาตลอด วารุณี คุณคงไม่ได้หลอกผมใช่ไหม?”

เขาหรี่ตาลง มองเธอด้วยสายตาคมกริบ

ในใจของวารุณีไม่ใช่ว่าไม่กังวลไม่กลัว แต่เพื่อไม่ถูกเขามองข้อบกพร่องออก เธอบีบฝ่ามือ พยายามให้ตัวเองตอบไปอย่างใจเย็น:“ฉันไม่ได้หลอกคุณ ฉันหยั่งเชิงถามนัทธีแล้ว ถามเขาว่าตอนที่คุณปู่ยังมีชีวิตอยู่ ได้ทิ้งของอะไรให้เขาไหม เขาบอกไม่มี”

“เหรอ?”นิรุตติ์ยังคงจ้องเธอ ชัดเจนว่าไม่เชื่อคำพูดของเธอ

วารุณีสุดลมหายใจลึกๆ“ใช่ ดังนั้นฉันคิดว่า นัทธีน่าจะไม่รู้จริงๆว่าพินัยกรรมอยู่ที่ไหน ยังไงคุณก็เพิ่งมารู้ทีหลังเหมือนกันไม่ใช่เหรอว่ามีพินัยกรรมอยู่?”

นิรุตติ์ไม่พูด

เขายอมรับ ตั้งแต่แรก พวกเขาตระกูลไชยรัตน์ทุกคนต่างไม่รู้ว่ามีพินัยกรรมอยู่ เขาก็บังเอิญรู้มา

แต่ผู้ช่วยคุณปู่คนนั้น กลับพูดสาบานอย่างน่าเชื่อถือว่า พินัยกรรมที่คุณปู่ทิ้งไว้ จะมีแค่นัทธีที่หาเจอ ดังนั้นจะหาพินัยกรรมเจอได้ ก็ต้องพึ่งนัทธี

คิดไป นิรุตติ์ก็หรี่ตาลง ใบหน้านั้นดูบูดบึ้ง“วารุณี ผมไม่สนว่าคุณจะคิดหาทางยังไง แต่ในครึ่งเดือนสุดท้ายนี้ ผมจะต้องได้พินัยกรรมมา ถึงไม่ได้มา ผมก็ต้องรู้เบาะแสที่อยู่ที่เกี่ยวข้องกับพินัยกรรม ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าผมไม่เกรงใจคุณ!”

เขาแตะหน้าของเธอ จากนั้นท่าทางก็เปลี่ยนไป กลับไปเป็นสภาพเอ้อระเหยลอยชายที่ไม่เป็นอันตรายต่อใครตามปกติ

“โอเควารุณี ผมไปก่อนละ รอข่าวดีจากคุณอยู่นะ”

พูดจบ เขาก็ชักมือกลับ ออกไปด้วยรอยยิ้ม

วารุณีเดินเซไปเล็กน้อย พิงกำแพงด้านหลัง รู้สึกแค่ว่าร่างกายและจิตใจนั้นเหนื่อยล้า

ถ้ารู้ว่าตัวเองจะได้คบกับนัทธี ตอนนั้นเธอก็ไม่ควรให้นิรุตติ์บริจาคเลือดให้อารัณ เพื่อปิดบังตัวตนของอารัณหรอก ควรจะบอกตัวตนของอารัณไปเลยตรงๆ ให้นัทธีผู้เป็นพ่อบริจาค

ถึงแม้คนในครอบครัวโดยตรงจะเกิดการแตกของเม็ดเลือดแดงได้ง่าย แต่บริจาคไปเล็กน้อยเพื่อรักษาชีวิตของอารัณไว้ แล้วค่อยไปหาเลือดอื่นมาก็ทำได้ น่าเสียดาย ทั้งหมดนี้ไม่รู้มาก่อน

วารุณีหัวเราะอย่างขมขื่น ลากร่างที่หนักอึ้งเข้าไปในลิฟต์ แล้วออกไปจากบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป

อาจเพราะนิรุตติ์กดดันเธอมากไป ทั้งวันเธอจึงไม่มีชีวิตชีวา ตอนที่ทำงาน ก็ทำผิดไปหลายครั้ง

ปาจรีย์เป็นห่วงอย่างมาก“วารุณีเธอเป็นอะไร?”

วารุณีส่ายหน้า“ฉันไม่เป็นไร”

“ยังจะไม่เป็นอะไรอีก เธอดูแบบที่เธอวาดเสียที่พื้นสิ และยังมีต้นฉบับพวกนั้นที่เธอแก้ผิด นี่ไม่เหมือนเธอตอนปกติเลย”ปาจรีย์ชี้ไปที่พื้น และก็ชี้ไปที่โต๊ะอีกครั้ง

วารุณีวางดินสอลง มือสองข้างนั้นปิดหน้าไว้“ปาจรีย์ เธอให้ฉันอยู่เงียบๆหน่อยได้ไหม?”