บทที่ 304 ไทเฮาเอาใจ (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 304 ไทเฮาเอาใจ (1)

องค์ชายในวังหลวงที่ถึงวัยอันควรแล้วต้องไปเรียนที่ห้องหนังสือทุกวัน ห้องหนังสือในราชวงศ์นี้ตั้งอยู่กลางตำหนักปีกข้างแห่งหนึ่งของตำหนักจินหลวน

ที่แคว้นเจามีเพียงขุนนางใหญ่ขั้นสามขึ้นไปจึงจะมีสิทธิเข้าร่วมประชุมเช้าที่ตำหนักจินหลวนได้ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นโอกาสที่ขุนนางที่ต่ำกว่าขั้นสามจะได้สอนบรรดาองค์ชาย

ทว่าก็ยังเข้าประตูหลักไม่ได้อยู่ดี

เซียวลิ่วหลังถูกเว่ยกงกงพาขึ้นบันไดเล็กๆ ด้านข้างเข้าตำหนักจินหลวนมา เดินผ่านระเบียงทางเดินมายังหน้าห้องหนังสือ

“พวกองค์ชายที่เหลือเรียนกันเสร็จหมดแล้ว เจ้าสอนแค่ไท่จื่อคนเดียวก็พอ” เว่ยกงกงเอ่ยเตือน

องค์ชายกับไท่จื่อเล่าเรียนด้วยกัน อาจารย์มาจากขุนนางใหญ่ที่มีคุณธรรมสูงส่งในราชสำนัก ที่ต่างออกไปก็คือการศึกษาเล่าเรียนของไท่จื่อจะซับซ้อนกว่าองค์ชายทั่วไป พวกองค์ชายเลิกเรียนกันแล้ว แต่เขายังต้องเรียนต่อ

ไท่จื่อเรียนกับพวกอาจารย์ตอนเช้า ตอนบ่ายเรียนการจัดการบริหารบ้านเมืองกับฮ่องเต้ บางครั้งก็จะถูกส่งตัวไปฝึกฝนหาประสบการณ์

องค์ชายเพียงคนเดียวที่ไม่ต้องเรียนอีกแล้วก็คือองค์ชายใหญ่หนิงอ๋อง

เมื่อเซียวลิ่วหลังมาถึงหน้าห้องหนังสือ ก็เจอเข้ากับพวกองค์ชายที่ออกมาจากด้านในกันพอดี องค์ชายสามรุ่ยอ๋องสีหน้าพะอืดพะอม เห็นได้ชัดว่าการเรียนคือความทุกข์ทรมาน องค์ชายสี่ดูผ่อนคลายและสง่างาม เป็นกันเอง ดูท่าจะเข้าใจบทเรียนถ่องแท้หมดแล้ว องค์ชายห้า ส่วนองค์ชายหกสีหน้าเคร่งขรึม ไม่รู้เหมือนกันว่ามันยากเกินไปหรือว่าอะไร

เซียวลิ่วหลังค้อมกายเล็กน้อยพร้อมกับประสานมือคำนับ ดวงตามองตรงไม่ชำเลืองมองใคร ปฏิบัติตนอย่างเหมาะสม

เว่ยกงกงคำนับให้บรรดาองค์ชาย

รุ่ยอ๋องหยุดฝีเท้าเอ่ยถาม “เว่ยกงกง นี่ใครรึ”

เว่ยกงกงยิ้มเอ่ยตอบ “ทูลรุ่ยอ๋อง นี่คือเซียวซิวจ้วนแห่งสำนักฮั่นหลินพ่ะย่ะค่ะ วันนี้เขาเป็นคนมาถวายการสอนไท่จื่อ”

“ยังหนุ่มอยู่เลย…” รุ่ยอ๋องเบิกตาโต

แต่ไม่ได้พูดว่าตำแหน่งขุนนางต่ำเพียงนี้

เมื่อเทียบกันแล้ว ตำแหน่งขุนนางชั้นต้นนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อาจารย์ผู้นี้ดูๆ แล้วเพิ่งสิบเจ็ดสิบแปดปีกระมัง สามารถถวายการสอนแก่ไท่จื่อได้แล้วรึ

อีกทั้งเขาหน้าตา…คุ้นๆ นะ

รุ่ยอ๋องจ้องหน้าเซียวลิ่วหลังพลางพินิจมองอยู่ครู่หนึ่ง

เซียวลิ่วหลังหลบให้เขาอย่างสงบนิ่ง

อย่างไรเสียรุ่ยอ๋องก็ไม่ใช่ไท่จื่อ ซ้ำยังไม่สนิทสนมกันกับท่านโหวน้อยด้วย ในยามนี้จึงมองไม่ออกว่าเซียวลิ่วหลังเหมือนท่านโหวน้อยคนนั้น

“พี่สาม จะไปหรือไม่ ไหนบอกว่าจะพาข้ากับพี่สี่ไปเล่นที่จวนท่านมิใช่หรือไร”

องค์ชายหกเร่ง

“มาแล้ว มาแล้ว!”

รุ่ยอ๋องไม่ได้คิดอะไรเยอะ เร่งฝีเท้าเดินจากไป

“เซียวซิวจ้วน เชิญขอรับ” เว่ยกงกงผายมือ

เซียวลิ่วหลังสาวเท้าเข้าไปด้านใน

พวกน้องๆ เลิกเรียนกันแล้ว เหลือเพียงตนที่รั้งอยู่เรียนต่อ เดิมทีไท่จื่อก็ไม่สบอารมณ์อยู่แล้ว พอมาเห็นขุนนางฮั่นหลินที่มาสอนตนเป็นเซียวลิ่วหลังก็ยังอารมณ์ไม่ดีหนักขึ้นไปอีก

“เหตุใดจึงเป็นเจ้าล่ะ” เขาเกือบตกใจจนลุกพรวดขึ้นมาแล้ว!

เซียวลิ่วหลังประสานมือให้นิ่งๆ “กระหม่อมได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทให้มาถวายการสอนไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้า…จะถวายการสอนข้ารึ”

เสด็จพ่อคิดอะไรอยู่ เหตุใดจึงส่งไอ้หนุ่มนี่มาสอนตนเล่า ตนไม่สำคัญต่อเสด็จพ่อถึงเพียงนี้เชียวรึ

เด็กน้อยที่ยังไม่หย่านมแบบนี้จะไปมีความรู้อะไรได้!

สีหน้าไท่จื่อเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีด หลากหลายอารมณ์ผสมปนเปไปหมด

ทางด้านกู้เจียวก็เข้าวังมาเช่นกัน

นางมาเยี่ยมเยือนท่านย่า

ในมือนางมีป้ายคำสั่งของตำหนักเหรินโซ่วที่ท่านย่าให้นางไว้ จึงเข้าวังมาได้อย่างราบรื่นยิ่ง

เมื่อเดินผ่านข้างตำหนักจินหลวน นางไม่รู้ว่าเซียวลิ่วหลังอยู่ด้านใน เพียงแค่ปรายตามองไปทางตำหนักจินหลวนแวบหนึ่งตามสัญชาตญาณเท่านั้น

ตำหนักจินหลวนกว้างขวางยิ่งนัก ตั้งอยู่บนบันไดสูงร้อยขั้น ยิ่งใหญ่ตระหง่านใต้ฟ้า สูงเสียดนภา โอ่อ่าใหญ่โต กลิ่นอายตำนานที่สืบทอดมาอย่างยาวนานเข้มข้น ยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม ทำเอาอดเกิดความเคารพยำเกรงขึ้นมาไม่ได้

ตำหนักจินหลวนเป็นสถานที่ที่ขุนนางแคว้นเจาทุกคนต่างใฝ่ฝัน เฉพาะคนที่ได้จัดอันดับในตำหนักจินหลวนเท่านั้นจึงจะเรียกได้ว่าขุนนางคนสำคัญในราชสำนัก

ทางไปตำหนักเหรินโซว่ต้องผ่านสวนหลวงก่อน

กู้เจียวเพิ่งเดินมาถึงตรงนั้นก็ถูกเสียงอ่อนโยนคุ้นหูเรียกไว้

“พี่สาว!”

กู้จิ่นอวี๋นี่เอง

กู้จิ่นอวี๋สาวเท้าแผ่วเบาไปหากู้เจียว ก่อนจะถามอย่างตกใจ “พี่สาวก็เข้าวังมาเหมือนกันหรือ มาเยี่ยมซูเฟยหรือ”

กู้เจียวมองนางนิ่งๆ

กู้จิ่นอวี๋ชินกับความเย็นชาของกู้เจียวแล้ว จึงแย้มยิ้มไม่ถือสาแล้วอธิบายต่อ “ซูเฟยป่วยเสียแล้ว ท่านย่าได้ยินข่าวเข้าก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ จึงให้ข้าเข้าวังมาเยี่ยมซูเฟยแทน”

กู้เจียวไม่ได้ไปมาหาสู่กับกู้จิ่นอวี๋มากมาย แต่จำได้ว่าเมื่อก่อนนางเรียกลูกสาวของกู้เหล่าไท่ไท่ว่าท่านอา

ดูเหมือนว่ากู้จิ่นอวี๋จะสัมผัสได้ว่าท่าทีของกู้เจียวเปลี่ยนไป จึงก้มหน้ายิ้มขื่น “พี่สาวคงยังไม่รู้กระมัง ข้าไม่ใช่เพียงแอบอ้างคุณูปการประดิษฐ์เครื่องเป่าลมเท่านั้น ยังเกือบจะแย่งปูนข้าวเหนียวของพี่สาวไปด้วย ข้าบอกซูเฟยว่าข้ามีการประดิษฐ์ที่ดีเยี่ยมกว่านี้ ผลสุดท้ายเกิดอุบัติเหตุขึ้น ทำเอาซูเฟยไม่มีหน้าไปพบฝ่าบาท ได้ยินว่ายังทำองค์ชายห้าลำบากไปด้วยอีก ยามนี้เกรงว่าซูเฟยคงจะไม่อยากพบข้าแล้ว”

กู้เจียวไม่คิดจะพูดคุยสัพเพเหระกับนาง จึงไม่ได้ต่อบทสนทนาด้วย

กู้จิ่นอวี๋เอ่ย “พี่สาวจะไปหาซูเฟยรึ ไม่สู้ไปกับข้าดีกว่านะ”

กู้เจียวกำลังจะบอกว่าตัวเองไม่ได้มาหาซูเฟย ยังไม่ทันจะเอ่ยขึ้นก็ถูกเสียงตวาดของเด็กหนุ่มขัดขึ้นเสียก่อน

“เจ้าคือเด็กบ้านนอกที่มาจากชนบทนี่!”

กู้จิ่นอวี๋สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางหันไปค้อมกายคำนับให้เด็กหนุ่มในชุดผ้าไหมคนนั้น “ถวายคำนับองค์ชายห้า!”

ปีนี้องค์ชายห้าอายุสิบเจ็ดแล้ว อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับกู้เฉิงหลิน แต่เด็กกว่ากู้เฉิงหลินเกือบสองเดือน

เขาได้หน้าตางดงามจากซูเฟยมาเต็มๆ ในบรรดาองค์ชายที่มีคะแนนความงามสูงก็ยังคงถือว่าโดดเด่นทีเดียว

หากแต่ท่าทางหยิ่งยโสอวดดีและชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ของเขาจึงทำให้กู้เจียวไม่ชอบ

กู้เจียวไม่ได้เหลือบตาขึ้นมองสักนิด นางแค่ชำเลืองมองเขาโดยไม่ได้ตั้งใจแวบหนึ่งเท่านั้น

องค์ชายห้าหยุดยืนอยู่ตรงหน้าทั้งสอง ก่อนมองนางอย่างตกใจ “ท่าทีอะไรของเจ้าน่ะ เห็นข้าแล้วเหตุใดยังไม่ถวายบังคมอีก”

ว่ากันตามหลักการแล้วต้องคุกเข่าคำนับให้ด้วย แต่เห็นแก่ที่เป็นญาติกัน จะอนุโลมให้นางย่อเข่าคำนับก็ได้!

กู้จิ่นอวี๋กระซิบเตือนกู้เจียว “พี่สาว”

กู้เจียวไม่แยแสสักนิด

องค์ชายห้าจึงเดือดดาลขึ้นมา “เจ้าบังอาจนัก!”

กู้จิ่นอวี๋รีบก้าวขึ้นหน้าไปก้าวหนึ่ง เอ่ยเสียงกระซิบ “องค์ชายห้า พี่สาวเพิ่งเข้าวัง ไม่คุ้นเคยกับธรรมเนียมในวังหลวง เดี๋ยวข้าจะบอกพี่สาวให้ดี องค์ชายห้าโปรดเห็นแก่ท่านปู่กับพี่ใหญ่ให้อภัยพี่สาวสักครั้งด้วย”

เมื่อเอ่ยถึงท่านเหล่าโหวกับกู้ฉังชิง สีหน้าองค์ชายห้าจึงคลายลงเล็กน้อย ต่อให้เขาไม่รู้ความก็ยังเข้าใจว่าท่านตากับพี่ใหญ่เป็นคนที่เขาพึ่งพิงได้

ในที่แจ้งท่านตาลาออกจากขุนนางแล้ว แต่ในที่ลับกลับทำงานให้เสด็จพ่ออยู่ พี่ใหญ่ก็คงกำลังทำงานในค่ายทหารด้วยเช่นกัน

ทว่าองค์ชายห้าก็ยังคงไม่คิดจะปล่อยกู้เจียวไปอยู่ดี

เขาเอ่ยกับกู้เจียวอย่างเย็นชา “เรื่องคราก่อนเจ้าเป็นคนเล่นตุกติกใช่หรือไม่”

กู้เจียวมองเขาอย่างฉงน ไม่เข้าใจที่เขาพูดเลยสักนิด

องค์ชายห้าแค่นเสียงเย็น “เจ้าจะเกินไปแล้วนะ ในเมื่อเจ้าประดิษฐ์ของพวกนั้นได้ เหตุใดไม่บอกเสด็จแม่ข้าเสียแต่ทีแรกเล่า ทำเอาเกิดความเข้าใจผิดกันมากมายเพียงนั้น แม้แต่ข้ายังโดนเสด็จพ่อสงสัยสุ่มตรวจการบ้านข้า ล้วนเป็นความผิดของเจ้าทั้งสิ้น!”

นี่มันตรรกะผู้ร้ายอันธพาลอะไรกัน

นางทำอะไรเป็นไม่เป็น แล้วมีสิทธิอะไรต้องไปตีฆ้องร้องป่าวบอกซูเฟยที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตนด้วยเล่า

กู้เจียวกอดอกมององค์ชายห้าเหมือนกำลังมองคนปัญญาอ่อน

กู้จิ่นอวี๋รีบไกล่เกลี่ย “องค์ชายห้า เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับพี่สาว พี่สาวบอกข้าหมดแล้ว ข้าไม่ได้บอกซูเฟยเอง!”

กู้เจียวไม่ได้ตั้งใจบอกกู้จิ่นอวี๋เช่นกัน ประโยคนี้ของกู้จิ่นอวี๋คล้ายว่าจะแบกความรับผิดชอบไว้ที่ตัวเอง

องค์ชายห้ากลับไม่ให้ความร่วมมือ “เจ้าอย่ามาแก้ต่างแทนนาง! ข้าได้ยินเรื่องของนางอยู่ประจำ! กลับมาเมืองหลวงแท้ๆ แต่ไม่ย้ายกลับเข้าจวน และไม่มาถวายพระพรเสด็จแม่ด้วย!”

“พี่สาวออกเรือนแล้วเพคะ มีสตรีออกเรือนคนไหนบ้างที่กลับมาอยู่บ้านเดิม ส่วนถวายพระพรซูเฟยนั้น…ก็มาแล้วนี่อย่างไรเล่า” กู้จิ่นอวี๋ส่งสายตาให้กู้เจียวไม่หยุด บ่งบอกว่าให้กู้เจียวยอมอ่อนข้อให้หน่อย

กู้เจียวยังคงไม่สนใจอยู่ดี

องค์ชายห้าเดือดดาลขึ้นมาอีกหน “เจ้าดูสิๆ! นางไม่จริงใจเลยสักนิด! เห็นได้ชัดเลยว่านางไม่เห็นข้ากับเสด็จแม่อยู่ในสายตา!”

หมู่นี้องค์ชายห้ามักจะคับข้องใจ แรกเริ่มถูกฮ่องเต้กักบริเวณ จากนั้นก็ถูกสั่งให้เรียนอย่างหนัก ไม่อนุญาตให้ใครช่วยเขาทำการบ้าน พวกอาจารย์ก็เข้มงวดกับเขามากขึ้นไม่น้อยเลย เขาไม่มีความสุขเลยสักนิด

วันนี้ทุกคนนัดกันเรียบร้อยว่าจะไปเล่นที่จวนพี่สาม แต่เพราะเขาโดนเสด็จพ่อลงโทษอยู่จึงต้องรั้งอยู่ที่วัง สั่งให้คัดหนังสือให้จบ

เขาจึงคิดจะระบายโทสะใส่กู้เจียวเสียหน่อย

หากเป็นกู้จิ่นอวี๋คงยอมเขานานแล้ว

แต่กู้เจียวไม่มีทางตามใจเขา

กู้เจียวมองเขาพลางเอ่ย “ข้าไม่ได้มาเยี่ยมซูเฟย และไม่ได้มาถวายพระพรเจ้าด้วย”

เอ่ยจบนางก็ผินหน้าเล็กน้อย ให้องค์ชายห้าหลบให้

เดิมทีองค์ชายห้าแค่อยากระบายโทสะใส่นางนิดหน่อย ยามนี้กลับถูกกระตุ้นโทสะขึ้นมาเสียแล้ว

ข้าเห็นเจ้าเป็นญาติ แค่ให้เจ้าคำนับให้ แต่เจ้ากลับไม่ไว้หน้าให้เลย!

องค์ชายห้าเอ่ยเสียงเย็น “คุกเข่า!”