บทที่ 348 ทะลวงระดับเทพ บรรพชนพุทธระลึกชาติ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 348 ทะลวงระดับเทพ บรรพชนพุทธระลึกชาติ

ในขณะที่ต่อต้านพลังคำสาปแช่ง บรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์ก็เค้นสมองครุ่นคิดไปด้วย ตกลงแล้วจะตามหาเจ้าแดนต้องห้ามอันธการได้อย่างไร หากหาตัวเจ้าแดนต้องห้ามอันธการไม่พบ ในอนาคตเขาต้องทนทุกข์ทรมานอีกเป็นแน่

เขาไม่เข้าใจแม้แต่น้อย เขาละทิ้งสำนักพุทธไปแล้วแท้ๆ แต่เหตุใดจึงยังสาปแช่งเขาอยู่ ระหว่างเจ้าแดนต้องห้ามอันธการกับเขามีความชิงชังอันใดต่อกัน ถึงได้ตามรังควานจนกว่าจะตายกันไปข้างเช่นนี้

บรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์เพียงแค่ไม่เข้าใจถึงเวรกรรมเท่านั้น แน่นอนว่าหากพบตัวเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ และอีกฝ่ายอ่อนแอกว่าเขาแล้วละก็ เขาจะสังหารอย่างแน่นอน!

ไม่กี่วันให้หลัง พลังของคำสาปแช่งก็ทวีความแข็งแกร่งขึ้น

บรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์ฝืนทนอยู่ไม่นาน

ในที่สุด เขาก็เสียสติไปแล้ว!

ปีศาจในดวงจิตหลอกหลอน ความอาฆาตต่อเจ้าแดนต้องห้ามอันธการเข้าครอบงำความคิดของเขา

เขาต้องปลดปล่อยความอาฆาตนี้!

[บรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์ศัตรูคู่อาฆาตของท่านสูญเสียสติสัมปชัญญะเพราะท่าน]

เมื่อเห็นจดหมายฉบับนี้ หานเจวี๋ยหาได้ยั้งมือ ต้องหักอายุขัยสองพันล้านปีเสียก่อนถึงจะหยุดได้ เขาไม่กลัวว่าจะสาปแช่งบรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์จนถึงแก่ความตาย ความเกลียดชังระดับหกดาวมันช่างขัดตาเสียเหลือเกิน หากกำจัดเจ้านี่ไม่ได้ หานเจวี๋ยก็ไม่มีวันสงบใจได้

เมื่ออายุขัยถูกหักไปสองพันล้านปี หานเจวี๋ยก็หยุดทันที แม่นยำระดับวินาที!

ทันใดนั้นหานเจวี๋ยก็พบว่าตัวเขาไม่ได้หลั่งเลือดออกมา ยังสบายดีราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนแปลงของกายดาราอนธการจะได้ผล

เขาฟื้นฟูกลิ่นอายของตนเอง และสาปแช่งจักรพรรดิปีศาจต่อหลังจากหยุดพักผ่อนไปสองสามวัน

หักอายุขัยสองพันล้านปีเช่นเดียวกัน แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับจักรพรรดิปีศาจ เขาสาปแช่งจู่ถู แต่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างหรือไม่ หานเจวี๋ยรู้สึกหดหู่เล็กน้อย พวกยอดปรมาจารย์พวกนี้หาทางรับมือกับคำสาปได้แล้วหรือ

ดูเหมือนว่าต้องหาโอกาสยกระดับหนังสือแห่งความโชคร้ายบ้างเสียแล้ว หากคิดจะยกระดับหนังสือแห่งความโชคร้าย ก็ต้องหมั่นรีเซ็ตระบบเลือกภารกิจ หานเจวี๋ยทำได้เพียงทะลวงระดับ เขาไม่อาจออกไปหาเรื่องใส่ตัวได้

……

ณ วังเทพ ภายในตำหนักอันเงียบสงบ

จู่ถูเบิกตาโพลง ขมวนคิ้วแน่น “เจ้าแดนต้องห้ามอันธการดูท่าจะจัดการไม่ง่ายเลย”

เมื่อเผชิญหน้ากับเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ เขาก็ไม่ต่างจากผู้ทรงพลังคนอื่นๆ ที่สามารถสืบสาวไปเจอเพียงหนังสือแห่งความโชคร้าย แต่ไม่รู้ว่าเจ้าของของมันรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร

จู่ถูต้องละทิ้งความคิดดูถูกดูแคลน เจ้าแดนต้องห้ามอันธการร้ายกาจไม่เบาจริงๆ! ในเมื่อล่วงเกินเจ้าแดนต้องห้ามอันธการไปแล้ว จู่ถูก็ตัดสินใจจะยืนยันตัวตนของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการให้ได้!

“หึ ในเมื่อเจ้ากล้าแต่หลบซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด เช่นนั้นก็อย่าหวังจะได้ออกมาอีกเลย!” จู่ถูยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ตอนนี้พลังแห่งคำสาปแช่งยังไม่ส่งผลถึงตัวเขา!

หลังจากผลาญอายุขัยไปหกพันล้านปีเพื่อการสาปแช่ง หานเจวี๋ยก็เข้าสู่การฝึกบำเพ็ญต่อ ดูเผินๆ เหมือนจะสิ้นเปลืองอายุขัยไปมหาศาล แต่ความจริงแล้วหานเจวี๋ยใช้อายุขัยของตนไม่ถึงเศษเสี้ยวเสียด้วยซ้ำ

‘เฮ้อ’ หานเจวี๋ยรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องดี นี่ทำให้เขาสูญเสียความหวาดกลัวต่อชีวิตไป

นึกแล้วเชียว การเดิมพันไม่เคยจบลงด้วยดี! ไม่ว่าจะเดิมพันอะไร ล้วนมีจุดจบไม่สวยทั้งนั้น!

หานเจวี๋ยคิดทอดถอนใจ หลังจากมหาเคราะห์สิ้นสุดลง เขาจะไม่ใช้อายุขัยของตนไปสาปแช่งใครอีก เว้นเสียแต่ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกไร้คุณธรรม!

เวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ปวงสวรรค์หมื่นโลกาล้วนตกสู่มหาเคราะห์ นอกจากโลกเขย่าพิภพแล้ว เกือบทุกหนแห่งล้วนก่อสงครามกวาดล้างไปทั่ว แรงกรรมพรั่งพรูจากหมื่นแดน และเริ่มแพร่กระจายไปในห้วงอากาศว่างเปล่า ราวกับความมืดมิดกำลังกลืนกินหมื่นโลกาทั่วหล้า

สี่สิบปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ตบะของหานเจวี๋ยมาถึงขีดจำกัด ไม่สามารถยกระดับได้อีก แต่ขณะนี้เขายังหาหนทางทะลวงระดับเทพไม่เจอ

‘ระดับเทพคืออะไร’ หานเจวี๋ยรู้สึกอึดอัดใจ น่าจะถามตั้งแต่ตอนอยู่ที่ตำหนักเอกอนันต์

หานเจวี๋ยพยายามจะลองใช้ความสามารถวิวัฒนาการ แต่ระบบบอกกับเขาว่าไม่สามารถใช้วิธีวิวัฒนาการตบะได้

เขาหยิบป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ออกมาอย่างจำใจ และถามกับจักรพรรดิสวรรค์ว่าจะทะลวงระดับเทพได้อย่างไร

“อะไรนะ เจ้าใกล้จะทะลวงระดับเทพแล้วหรือ” จักรพรรดิสวรรค์ที่กำลังตกใจ ไม่อาจสงบสติอารมณ์ได้

หานเจวี๋ยกล่าวอย่างหมดหนทาง “ข้าเพียงแต่ถามดู”

หานเจวี๋ยรู้ว่าคำพูดนี้ฟังไม่ขึ้น แต่ในขณะนี้เขาทำได้เพียงไต่ถามจักรพรรดิสวรรค์

จักรพรรดิสวรรค์นิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน

ขณะที่หานเจวี๋ยคิดว่าเขาตัดการเชื่อมต่อไป อีกฝ่ายก็เอ่ยปากพูด “การทะลวงระดับเทพ เป็นการยกระดับจิตวิญญาณ หากก้าวสู่ระดับเทพแล้ว กายเนื้อก็ไร้ความสำคัญอีกต่อไป เมื่อกายเนื้อถูกทำลาย ก็สามารถฟื้นฟูกลับมาได้เพียงแค่นึกคิด”

“ส่วนวิธีการยกระดับจิตวิญญาณ ก็ต้องใช้มหามรรคในการหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณ จนกระทั่งไปสู่จุดหลอมรวม จึงจะก้าวสู่ระดับเทพ ทว่าระดับเทพที่ถูกควบคุมโดยมรรคาสวรรค์ก็เป็นเพียงวิวัฒนาการของมหามรรคเท่านั้น เช่นเดียวกับมหามรรคของแดนเซียนและโลกมนุษย์ที่มีข้อแตกต่างกันไป ว่ากันว่าอริยะเป็นผู้ควบคุมมหามรรคที่แท้จริง ผู้ฝึกเต๋าในสายนี้ทุกคนล้วนไม่อาจแข็งข้อกับอริยะได้”

หานเจวี๋ยได้ยินดังนั้น ก็แอบตกตะลึงเล็กน้อย

‘อริยบุคคลทำตัวอุกอาจถึงขั้นนี้เชียว? เดี๋ยวก่อน! หรือว่าที่ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงคอยสั่งสอนและเผยแพร่มหามรรค ก็เพราะต้องการควบคุมศิษย์เหล่านี้?’

หานเจวี๋ยไตร่ตรองอย่างถ้วนถี่แล้วความกลัวก็ถาโถมจนถึงขีดสุด

‘น่ากลัวเกินไปแล้ว! ต่อไปอาจบำเพ็ญมหามรรคแห่งกรรมไม่ได้อีกต่อไป!’

หานเจวี๋ยกล่าว “ขอบพระทัยฝ่าบาท แม้ว่าข้าจะห่างไกลจากระดับเทพอีกมาก แต่เมื่อใดที่ข้าเข้าสู่ระดับเทพได้แล้ว ข้าจะไม่ลืมพระมหากรุณาของฝ่าบาทเลย”

จักรพรรดิสวรรค์กล่าวเป็นนัย “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น อันที่จริงเราไม่คาดหวังให้เจ้ายื่นมือมาช่วยเหลือวังสวรรค์ในเวลานี้ แต่เราหวังใจว่าเมื่อมหาเคราะห์สิ้นสุดลง เจ้าจะกลับมารับใช้วังสวรรค์อีกครา ถึงตอนนั้น เจ้าต้องกล้าแกร่งเช่นหลี่เต้าคง หลี่เสวียนเอ้า ไม่ต้องหวาดกลัวว่าจะถูกสังหารเพราะเจ้านั้นแข็งแกร่งพอ เราหวังว่าเจ้าจะกลายเป็นเสาหลักแห่งวังสวรรค์ เช่นเดียวกับสี่ยอดมหาจักรพรรดิ”

“เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว หากข้าแข็งแกร่งแล้ว ข้าจะปกป้องความสงบสุขของวังสวรรค์!”

หานเจวี๋ยตกปากรับคำอย่างจริงจัง

จักรพรรดิสวรรค์แย้มพระสรวล ก่อนจะตัดการเชื่อมต่อพลังจิต

หานเจวี๋ยมองไปยังมหามรรคเวียนว่ายตายเกิดในกายของตน

มหามรรคแห่งกรรมนั้นอันตรายเกินไป ไม่อาจฝึกบำเพ็ญได้เป็นแน่ แต่มหามรรคเวียนว่ายตายเกิดยังพอทำเนา

เขาได้รับมหามรรคเวียนว่ายตายเกิดมาเนิ่นนานแล้ว ตั้งแต่หานเจวี๋ยก้าวสู่ระดับจักรพรรดิก็พึ่งพามหามรรคเวียนว่ายตายเกิดมาโดยตลอด

จากมุมมองของเขา น่าจะไม่มีอริยบุคคลมาคอยควบคุมมหามรรคเวียนว่ายตายเกิด ไม่อย่างนั้นจะเล่นไปเพื่ออะไร

ในเมื่อมีคนกำหนดชีวิตเป็นตายให้กับสรรพสิ่งหมดแล้ว!

หานเจวี๋ยดึงมหามรรคเวียนว่ายตายเกิดออกมา ผูกมัดจิตวิญญาณของตน

เมื่อถูกมหามรรคเวียนว่ายตายเกิดห่อหุ้ม วิญญาณของเขาก็รู้สึกอบอุ่น แต่อีกสักพักก็หนาวเหน็บราวกับอยู่ในห้องใต้ดินอันเยือกเย็น

‘หรือว่านี่จะเป็นไฟกับน้ำแข็งในตำนาน?’ หานเจวี๋ยที่คิดไปไกล หยุดความคิดไว้ทันเวลา และปล่อยให้มหามรรคเวียนว่ายตายเกิดหล่อเลี้ยงวิญญาณของเขาต่อไป

หลังจากผ่านไปสามปีเต็ม ในที่สุดเขาก็ค้นพบการเปลี่ยนแปลง จิตวิญญาณผสานกับมหามรรคเวียนว่ายตายเกิด!การผสานดังกล่าวไม่ใช่การรวมตัวกันอย่างเรียบง่าย แต่เป็นการผสานจนเป็นหนึ่งเดียวกัน

หานเจวี๋ยตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

ในที่สุดก็เจอวิธีทะลวงระดับจนได้! แม้ว่ากระบวนการจะเชื่องช้า แต่เขาก็รอคอยจนสำเร็จ!

เมื่ออู้เต้าเจี้ยนกลับเข้ามายังถ้ำเทวา และพบว่ารอบกายของหานเจวี๋ยมีไอขาวดำสอดประสานโอบล้อม นางไม่รู้สึกแปลกใจอีกต่อไป

นางเดินเข้ามาหาหานเจวี๋ย ส่งเสียงเรียกแผ่วเบาว่า “นายท่าน”

หานเจวี๋ยถามทั้งที่ยังไม่ลืมตา “มีอะไร”

“สถานการณ์ของฉู่ซื่อเหรินไม่สู้ดีนัก”

“หือ?”

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น เจ้าเด็กนั่นเป็นอะไรอีกแล้วล่ะ

เขากระจายจิตนึกคิดออกไป เห็นฉู่ซื่อเหรินนั่งฝึกบำเพ็ญอยู่ใต้ต้นฝูซัง แต่แสงพุทธะที่เรืองรองเหนือร่าง ทำให้เขาดูน่าเกรงขามอย่างยิ่ง

คนอื่นต่างพูดคุยกันไม่หยุด

“เขาเป็นวิญญาณพุทธะกลับชาติมาเกิดหรือ”

“สวินฉางอัน เจ้ารู้จักเขาหรือไม่”

“ไม่รู้จัก แต่ข้ารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอเขาที่ไหนมาก่อน”

“พวกเจ้าลองเดาดู ตัวตนในชาติก่อนของฉู่ซื่อเหรินตอนอยู่ที่สำนักพุทธคืออะไร”

“อรหันต์สินะ”

“อรหันต์มีพรสวรรค์เช่นนี้ด้วยหรือ อย่างต่ำก็ต้องเป็นพระพุทธองค์แล้ว!”

เหล่าลูกศิษย์ต่างตื่นเต้นกันยกใหญ่ แต่มิได้หวาดกลัว การปลุกความทรงจำในชาติก่อนไม่อาจกลืนกินความทรงจำในชาตินี้ เพียงแต่หลอมรวมเข้าด้วยกันเท่านั้น

มู่หรงฉี่ สวินฉางอัน และซูฉีเองก็ระลึกชาติได้เช่นกัน แต่ก็ไม่เห็นว่าพวกเขาจะละทิ้งสำนักซ่อนเร้นแต่อย่างใด

……………………………………