บทที่ 359 เจ้าด่าผู้ใดกัน

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 359 เจ้าด่าผู้ใดกัน

บทที่ 359 เจ้าด่าผู้ใดกัน

เมื่อเห็นเฉาซินเหลียนดูถูกตนเองเช่นนี้ ซุนซีเอ๋อร์ก็โกรธทนแทบจะระเบิด

ด้วยกลัวว่าโลกจะไม่วุ่นวาย*[1] ซุนซีเอ๋อร์จึงเติมเชื้อเพลิงไปว่า “โอ้ เด็กสองคนหิวมากจนกลายเป็นเช่นนี้ เกรงว่าพวกเขาคงไม่ได้กินอาหารอย่างเพียงพอมานาน น้องสาว เจ้าไปที่ใดมากันล่ะ?”

เฉาซินเหลียนมองไปยังซุนซื่อที่กำลังมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น แล้วมองไปที่บ้านหลังใหญ่ของตระกูลกู้และเด็กสกปรกสองคน ยิ่งนางคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร นางก็ยิ่งรู้สึกไม่ยุติธรรมมากขึ้นเท่านั้น

ตอนนั้น ถ้าไม่ใช่เพื่อครอบครัวนี้และเพื่อให้ได้ของมามากกว่านี้ นางคงไม่หุนหันพลันแล่นทำเรื่องเลวร้ายเช่นนั้นหรอก

แต่คราวนี้ สิ่งที่นางทำ ผลประโยชน์ทั้งหมดกลับถูกกู้ฉวนโซ่วแย่งไป ไม่ว่าเฉาซื่อจะคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางก็รู้สึกไม่สบายใจ และนางอยากให้กู้ฉวนโซ่วรีบตายในทันที บ้านและที่ดินทั้งหมดของครอบครัวจะได้ตกเป็นของนาง

ในเวลานั้น นางก็จะมีบ้านและที่ดิน และจะไม่ทนทุกข์ทรมานเช่นนี้อีกต่อไป

และเด็กสองคนนี้ กู้ฉวนโซ่วกลับออกไปข้างนอกพร้อมกับเงินในกระเป๋าโดยไม่สนใจชีวิตและความตายของแม่และลูกของเขาเลย เขาออกไปเกือบครึ่งเดือนแล้วและยังไม่กลับมา

บ้านหลังนี้ เขายังอยากได้อยู่อีกหรือไม่!

ยิ่งเฉาซินเหลียนคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร นางก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งคิดก็ยังคับแค้นใจ

เงินก็ไม่เหลือให้นางแม้สักตำลึงเงินเดียว

ลูก ๆ เขาก็ไม่มาสนใจดูแล

บ้าน เกรงว่าคงจะลืมไปแล้วว่าเข้าทางไหน

ส่วนตนเอง เกรงว่าเขาคงจะลืมภรรยาคนนี้ไปนานแล้ว

เฉาซินเหลียนทั้งโกรธและไม่พอใจ เกลียดกู้ฉวนโซ่วจนไม่มีความรู้สึกรักหลงเหลืออยู่แล้ว

เมื่อเผชิญหน้ากับคำถากถางดูถูกของซุนซีเอ๋อร์ เฉาซินเหลียนก็กล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “ที่ที่ข้าไปไม่ใช่ธุระของเจ้า! ข้าจะไปที่ไหนมาก็คงไม่ต้องบอกคนเคยติดคุกอย่างเจ้าหรอก”

เฉาซินเหลียนไม่ลืมที่จะจี้ปมความเจ็บปวดของซุนซีเอ๋อร์ในทุกคำพูด

การอยู่ในห้องขังเป็นสถานที่ที่อัปยศมากที่สุดในชีวิตของซุนซีเอ๋อร์ ผู้หญิงหน้าตาดีจากครอบครัวที่ดีถูกคุมขังในห้องขังที่มืดมิดเป็นเวลาหนึ่งเดือน ไม่รู้ว่ามีข่าวลือเช่นไรแพร่กระจายออกไปบ้าง

แต่เมื่อเผชิญกับการดูหมิ่นของเฉาซินเหลียน ซุนซีเอ๋อร์ก็ไร้อำนาจ

เฉาซินเหลียนเหยียบจุดอ่อนของนางไว้ และซุนซีเอ๋อร์ก็ไม่มีกำลังที่จะต่อสู้ เดิมทีนางต้องการโจมตีเฉาซินเหลียนอย่างรุนแรง แต่เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของเรื่องในอนาคต นางจึงทำได้เพียงอดทน

นางทำได้เพียงพ่นลมและกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “ให้เจ้าภาคภูมิใจตอนนี้ไปก่อน แล้วค่อยรอดูภายหลัง”

หลังจากที่นางกล่าวจบ นางก็เพิกเฉยต่อเฉาซินเหลียนและปิดประตูฝั่งปีกตะวันตกอย่างแรง

เฉาซินเหลียนไม่ยอมแพ้ “คอยดูเถอะว่าใครจะกลัวใคร!”

เฉาซินเหลียนไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน ประตูฝั่งปีกตะวันตกถูกปิดไปแล้ว แต่นางยังเอาสองมือเท้าสะโพกและก่นด่าต่อไปสักพัก จนกระทั่งท้องของนางส่งเสียงดังออกมาจึงรู้สึกว่านางหิวเล็กน้อยแล้ว

เมื่อเห็นว่ากู้ถิงถิงถือชามใบใหญ่อยู่ในมือ ดูเหมือนว่าภายในมีบางอย่างบรรจุอยู่ และส่งกลิ่นหอมออกมา

“ในชามนั้นมีอะไรกัน?” เฉาซินเหลียนเอ่ยถาม กู้ถิงถิงจึงเปิดฝาชามในมือของนางออก มีหมูผัดซอสแดงและข้าวขาวอยู่ในชาม หมูผัดซอสแดงราดบนข้าวขาวก้อนใหญ่ หอมกรุ่น ใครเห็นก็น้ำลายไหล

เฉาซินเหลียนกลืนน้ำลายของนาง หยิบชามของกู้ถิงถิงและแบ่งสำหรับแต่ละคน เฉาซินเหลียนคีบหมูผัดซอสแดงไปหลายชิ้น หมูนั้นชิ้นอวบอ้วน หวาน และนุ่มจนละลายในปาก เฉาซินเหลียนเสพติดมัน

ไม่กี่วันที่ผ่านมา เมื่อนางกินข้าวบ้านแม่ทีไรก็จะโดนน้องสะใภ้จ้องเขม็งราวกับว่านางเป็นขโมย เพราะกลัวว่านางจะกินอาหารที่บ้านไปมาก ทุกวันมีเพียงข้าวฟ่าง ไม่มีผัก มีเพียงแต่น้ำซุปใส ๆ ไม่ได้กินข้าวขาวกับหมูตุ๋นมัน ๆ เช่นนี้มานานแล้ว

เฉาซินเหลียนกินข้าวไปสองชาม หลังจากรีบร้อนมาทั้งเช้า นางก็ใกล้จะหิวตายแล้ว

หลังจากที่อิ่มแล้ว เฉาซินเหลียนก็เรออกมา แล้วนางก็นึกขึ้นได้ “เจ้าไปเอาอาหารนี้มาจากไหน? เหตุใดถึงข้าวขาวดี ๆ และเนื้อเยอะเช่นนี้!”

กู้ถิงถิงตักข้าวในชาม ข้าวที่นำมาครั้งนี้เพียงพอสำหรับนางและกู้ซุ่นสีเท่านั้น แต่คราวนี้ เมื่อแม่กลับมาก็กินไม่พอและแม่ก็ยังกินไปเยอะอีก กู้ถิงถิงและกู้ซุ่นสีเหลือข้าวเพียงครึ่งชาม

“ข้าได้มันมาจากพี่เสี่ยวหวาน” กู้ถิงถิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา

“เจ้าบอกว่าใครนะ?” เฉาซินเหลียนกลัวว่าตนเองได้ยินไม่ชัด นางจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้และดุว่า “เจ้าเด็กเวรนี่ กล้าโกหกแม่เจ้าหรือ!”

“ท่านแม่ เราไม่ได้โกหก แต่พี่เสี่ยวหวานเป็นคนให้มาจริง ๆ” กู้ซุ่นสีช่วยอธิบาย

“บัดซบ!” เฉาซินเหลียนไม่ได้คิดเกี่ยวกับมันและตำหนิ “เจ้าเด็กบ้านั่นจะมาใจดีและให้อาหารพวกเจ้าได้อย่างไร!”

“ท่านแม่ พี่เสี่ยวหวานให้อาหารแก่พวกเราจริง ๆ” กู้ถิงถิงอธิบายเสียงดัง “ท่านแม่อย่าว่าพี่เสี่ยวหวานเลย ถ้านางไม่ให้อาหารเรา ซุ่นสีกับข้าคงจะอดตายแน่”

กู้ถิงถิงรู้สึกเสียใจอย่างมากเมื่อเห็นท่าทางที่ดุร้ายของเฉาซื่อ

แม่จากไปถึงครึ่งเดือน แต่เหลืออาหารไว้ให้เพียงสองวัน ในช่วงเวลานี้นางพากกู้ซุ่นสีออกไปร่อนเร่หาอาหาร แต่ไม่มีครอบครัวไหนที่ยอมให้อาหารกับพวกเขาเลย ส่วนครอบครัวที่ดีก็ให้ข้าวกินคนละคำ

นี่ก็ยังถือว่าดี

“ท่านแม่ พี่เสี่ยวหวานเป็นคนดี ให้อาหารเรากินจนอิ่ม เมื่อไรที่เราหิวก็จะไปหาพี่เสี่ยวหวาน และพี่เสี่ยวหวานก็จะให้อาหารเรา” กู้ซุ่นสีกล่าว

“ท่านแม่ ถ้าไม่ใช่เพราะพี่เสี่ยวหวาน ซุ่นสีกับข้าคงอดตายกันไปแล้ว แม่บอกว่าจะกลับมาในอีกสองวัน แต่แม่หายไปถึงครึ่งเดือนแล้ว ที่บ้านจึงไม่มีอะไรจะกิน และท่านพ่อก็ยังไม่อยู่อีก เราต้องไปที่หมู่บ้านเพื่อหาอะไรกิน แต่พวกเขาให้อาหารเราเพียงเล็กน้อย ข้ากับซุ่นสีจึงมีอาหารไม่พอกินในทุกวัน” กู้ถิงถิงรู้สึกเสียใจอย่างมากและหลั่งน้ำตา

เฉาซินเหลียนรู้สึกผิดเล็กน้อยและพึมพำ “เฮ้อ ก็แม่ของเจ้ามีธุระนี่!”

“ท่านแม่ ตอนป้าใหญ่กลับมา เราจึงไปขออาหารจากนาง แต่ป้าใหญ่กลับผสมก้อนหินในอาหารให้เรากิน นั่นจึงทำให้ฟันของซุ่นสีหัก ท่านแม่ดูสิ…”

กู้ซุ่นสีอ้าปากของเขาและมีหลุมดำอยู่ในนั้น

“สะใภ้ที่ไร้ยางอายนั่น” เมื่อเฉาซินเหลียนเห็นว่าลูกชายของนางเสียฟันไปหนึ่งซี่ นางก็ระเบิดความโกรธออกมา นางวิ่งไปที่ปีกฝั่งตะวันตกและกระแทกประตูอย่างไม่เกรงกลัว “ซุนซีเอ๋อร์ เจ้าคนหน้าไม่อาย ออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้ เจ้าเอาก้อนหินผสมในอาหารทำบ้าอะไร นั่นทำให้ซุ่นสีฟันหลุดเลยนะ เจ้าออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้ เจ้าคนหน้าด้าน!”

“เฉาซินเหลียน เจ้าเรียกใครว่าหน้าด้านกัน!” ทันใดนั้น เสียงเย็นชาก็ดังมาจากด้านหลัง

*[1] หวังว่าโลกจะวุ่นวายเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตนเอง