ตอนที่ 443 ไปอาศัยที่บ้านไร่ (1)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 443 ไปอาศัยที่บ้านไร่ (1)

เขาอาศัยสิ่งใดถึงได้มาแสดงท่าทีเด็ดเดี่ยวองอาจเช่นนี้!

มั่วเชียนเสวี่ยจึงโต้กลับทันทีว่า “น่าขัน! ข้าอยากให้ท่านตายงั้นหรือ”

หัวหน้าตระกูลมั่วพูดไม่ออก ตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่ได้เอ่ยอย่างชัดเจนว่าต้องการให้ตนเองตาย

“ในเมื่อข้าไม่ต้องการให้ท่านตาย จะอาศัยสิ่งใดมารับปากท่าน อีกอย่าง คืน? คืนสิ่งใด? บรรดาศักดิ์นี้ ท่านพ่อข้าสู้ไม่คิดชีวิตเพื่อช่วงชิงมา เกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลมั่วของท่านด้วย จะเอาอันใดมาคืน”

“แต่เจ้าจะให้ข้าตายเสียเปล่าไม่ได้…”

“ท่านจำเอาไว้! เป็นภรรยาและบุตรที่มั่งคั่งรุ่งเรืองของท่านต้องการให้ท่านตาย! ทุกคนในตระกูลมั่วที่ต้องการมีชีวิตอยู่อยากให้ท่านตาย! บรรพบุรุษตระกูลมั่วหวังจะให้ท่านตาย!” แต่ละคำของมั่วเชียนเสวี่ยราวกับศิลา น้ำเสียงดังกังวาน

หัวหน้าตระกูลมั่วตัวสั่น!

ทุกครั้งที่เอ่ยประโยคหนึ่ง มั่วเชียนเสวี่ยจะก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง หัวหน้าตระกูลมั่วได้ยินประโยคหนึ่งก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง

ใช่แล้ว ถ้าเขาไม่ใช้ความตายแทนคำขอโทษ เปลี่ยนสถานการณ์ที่เลวร้ายให้กลายเป็นดี ภรรยาและบุตรของเขาก็จะไม่ใช่ผู้มั่งคั่งรุ่งเรือง ทุกคนในตระกูลมั่วก็จะได้รับความเดือดร้อนไปด้วย บรรพบุรุษตระกูลมั่วก็จะรู้สึกอัปยศ

หัวหน้าตระกูลมั่วที่เดินถอยหลังตกตะลึงพรึงเพริด ระหว่างที่โงนเงนก็ถูกตำแหน่งที่นั่งประธานทำให้สะดุด นั่งกระแทกลงไป

มั่วเชียนเสวี่ยเห็นการตัดสินใจของเขาจากความเด็ดเดี่ยวที่จะตายในแววตาเขา

ถ้าหากว่าสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะต้องเปลี่ยนความคิดแน่นอน ให้อภัยผู้เฒ่าที่แม้ว่าจะเป็นคนเห็นแก่ตัวและโหดเหี้ยม แต่ยังนับได้ว่ารู้จักมีมนุษยธรรมผู้นี้

แต่ทว่า ทุกอย่างย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว

นางก็ไม่ใช่สตรีในยุคปัจจุบันที่เห็นชีวิตคนสำคัญมาก และวางกฎหมายไว้เป็นอันดับหนึ่งอีกแล้ว

ในเมื่อบรรลุเป้าหมายแรกแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่อ้อมค้อมอีก

“ข้าหวังว่า คนที่รับช่วงต่อตำแหน่งหัวหน้าตระกูล…จะเป็นมั่วจื่อถัง” เดิมคนที่จะสืบทอดตำแหน่งนี้ เป็นบุตรชายคนโตของภรรยาของหัวหน้าตระกูลมั่ว แต่ว่าคนนั้น เมื่อวานมั่วเชียนเสวี่ยได้พบไปแล้ว เป็นคนที่ไม่เอาไหนคนหนึ่ง เป็นลูกผู้ดีมีเงินที่อาศัยอิทธิพลคนอื่น ถ้าหากต้องการจัดการตระกูลมั่วที่เป็นความกังวลนี้ในครั้งเดียว ก็จำเป็นต้องให้ผู้ดูแลตระกูลมั่ว เป็นคนที่นางเชื่อใจได้ เดิมนึกว่ายังต้องสิ้นเปลืองวาจาอีกมาก จะรู้ได้เช่นไรว่า หัวหน้าตระกูลมั่วที่สิ้นหวังจะพยักหน้าโดยไม่ต้องคิด ขณะที่ถอนหายใจก็เอ่ยว่า “ได้”

“ท่านดีต่อข้า ข้าจะดีกลับยิ่งกว่า!” มั่วเชียนเสวี่ยเงยหน้า หันกลับไป “มั่วจื่อฮว่ากับมั่วจื่อเยี่ยอยากจะช่วยดับเพลิงไหม้ ถึงได้ถูกไฟคลอกตายในเรือนเสวี่ยหว่าน” วาจานี้ไม่มีที่มาที่ไป แต่กลับแสดงให้เห็นท่าทีตกลงที่จะปกป้องตระกูลมั่วของมั่วเชียนเสวี่ย

ขอเพียงแค่นางไม่เอ่ยออกมา

ขอเพียงแค่นางไม่ให้ข้ารับใช้ทุกคนเอ่ยออกมา

ขอเพียงแค่นางให้หนิงเซ่าชิงลบเบาะแสร่องรอยที่พวกเขาเหลือทิ้งไว้พวกนั้น

ขอเพียงแค่หัวหน้าตระกูลมั่วที่เข้าวังไปรับราชโองการลับตาย…

ก็ไม่มีใครสามารถป้ายความผิดให้กับตระกูลมั่วได้ และไม่มีใครล้มตระกูลมั่วได้เช่นกัน

นัยน์ตาสิ้นหวังของหัวหน้าตระกูลมั่วมีประกายวาบเล็กน้อย “ผู้แซ่มั่วขอบคุณคุณหนูใหญ่แห่งจวนกั๋วกง!”

เขาไม่เรียกแทนตนเองว่าลุงอีกแล้ว เขาใช้คำเรียกชื่อที่ให้เกียรติกับมั่วเชียนเสวี่ย

นี่เป็นการประนีประนอมที่ไม่สามารถใช้วาจามาบรรยายได้

เห็นคนที่เมื่อครู่มีชีวิตชีวา กระฉับกระเฉง แต่ในตอนนี้มีความสิ้นหวังอยู่เต็มใบหน้า มั่วเชียนเสวี่ยพลันใจอ่อน นางไม่ใช่คนไม่มีหัวใจ ความจริงแล้วเรื่องนั้นยังไม่ถึงทางตัน ก็อยากจะเอ่ยออกมาแล้ว

ทว่า นางกลับบอกตนเองว่าจะใจอ่อนไม่ได้เด็ดขาด

มือซ้ายบีบมือขวาแล้วหยิกอย่างแรง บางครั้งทำตัวใจร้าย ก็ต้องการความกล้าหาญมากกว่า การเผชิญหน้ากับอันตราย ก้าวเท้าเดินข้ามประตูไปแล้วก็หยุด “ท่านจัดการให้เรียบร้อยแล้วกัน”

เอ่ยจบก็ยื่นมือไปดึงประตู โดยไม่หันกลับมาอีก

ด้านหลัง มีเสียงเด็ดเดี่ยวของหัวหน้าตระกูลมั่วดังลอยมา

“ผู้แซ่มั่วจะจัดการทุกเรื่องที่ต้องกระทำให้เรียบร้อย คุณหนูใหญ่โปรดวางใจ วันนี้มีเรื่องต้องทำมาก คงไม่ได้ไปส่งคุณหนูใหญ่แล้ว ขอลาที่นี่เลยแล้วกัน”

ตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยเจรจากับหัวหน้าตระกูลมั่ว อวี่เสวียนก็ยืนเฝ้าอยู่นอกประตูตลอด มั่วเหยียนกับมั่วสิงพาองครักษ์กลุ่มหนึ่งไปรออยู่ในที่ไม่ไกลเช่นกัน

ผ่านเรื่องเมื่อวานนี้ไป พวกเขาล้วนหวาดระแวงทุกสิ่ง

มั่วเชียนเสวี่ยเพิ่งจะก้าวเท้าออกจากห้องหนังสือของหัวหน้าตระกูลมั่ว ก็พบกับมั่วจื่อถังที่มาถ่ายทอดวาจา

มั่วจื่อถังเห็นมั่วเชียนเสวี่ยออกมาจากห้องหนังสือก่อนคนเดียว ก็ปรากฏความประหลาดใจขึ้นในแววตา “ในจวนมีรองผู้บัญชาการทหารม้าท่านหนึ่งมาเยือน กล่าวว่าฮ่องเต้ส่งตนเองมา บอกว่าจะคุ้มครองเจ้าไปยังบ้านไร่นอกเมือง”

มั่วเชียนเสวี่ยก้าวไปข้างหน้าสองก้าว อวี่เสวียนเดินตามไป เหล่าองครักษ์ก็ตามไปโดยรักษาระยะห่างอย่างรู้ตัวอยู่ด้านหลัง

“คนเล่า?”

นางรู้ว่าฮ่องเต้จะส่งคนมาแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะรวดเร็วเช่นนี้ มั่วจื่อถังเหลือบมองไปทางห้องหนังสือแวบหนึ่ง และเดินตามฝีเท้าของมั่วเชียนเสวี่ย พลางตอบว่า “ผู้อาวุโสใหญ่กับผู้อาวุโสรองกำลังรับรองอยู่ที่ห้องโถง”

“อืม นำทางด้านหน้า”

น้ำเสียงของมั่วเชียนเสวี่ยคือการออกคำสั่ง มั่วจื่อถังกลับไม่รู้สึกว่าไม่เหมาะสมเลยสักนิด ยังคงถ่อมตนอย่างมีมารยาท

เดินนำทางไป พลางถามว่า “นอกเมืองไม่ค่อยสงบ เชียนเสวี่ยตัดสินใจที่จะไม่อยู่ที่นี่จริงๆ หรือ”

มั่วเชียนเสวี่ยไม่ปฏิเสธ “อยู่ที่นี่ไม่สงบยิ่งกว่า” ใจไม่ค่อยสงบ

ได้ยินเช่นนั้น มั่วจื่อถังก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง และถอนหายใจด้วยความจนปัญญา เขาจะไม่รู้แผนการร้ายของท่านพ่อกับผู้อาวุโสใหญ่ได้อย่างไร

จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เดินไปพลาง ถามไปพลาง “ท่านพ่อข้าเล่า เหตุใดถึงไม่ออกมาพร้อมกับเจ้า”

“บิดาท่านกำลังใคร่ครวญถึงปัญหา”

เผชิญหน้ากับคำถามของมั่วจื่อถัง มั่วเชียนเสวี่ยตอบโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน แต่ในใจกลับรู้สึกละอาย

เขาเคยช่วยชีวิตนาง แต่นางกลับ…

แต่เมื่อลองคิดอีกที การกระทำทุกอย่างของหัวหน้าตระกูลมั่วตายไปสิบครั้งถึงจะนับว่าสาสม ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้เขาเป็นคนทำเรื่องโง่ๆ เอง ทิ้งจุดอ่อนเอาไว้ให้คนอื่น ดังนั้นใจจึงสงบลง

ถ้าไม่ผลัดเปลี่ยนผู้ดูแลตระกูล จะเอาความเงียบสงบมาจากไหน

จวนมั่วไม่ใหญ่ ห้องหนังสือของหัวหน้าตระกูลมั่วย่อมอยู่ห่างจากห้องโถงไม่ไกลเท่าใดนัก

ครู่หนึ่ง มั่วเชียนเสวี่ยก็มาถึงห้องโถงรับแขกภายใต้การนำทางของมั่วจื่อถัง

ในห้องโถง รองผู้บัญชาการเหวยของกองกำลังทหารม้านั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน ผู้อาวุโสใหญ่กับผู้อาวุโสรองกำลังต้อนรับอยู่ ใบหน้าเผยแววประจบประแจงขณะที่เอ่ยวาจา ยิ้มแย้ม

เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยเข้ามา ผู้อาวุโสใหญ่กับผู้อาวุโสรองก็ลุกขึ้นแนะนำทั้งสองคน

มั่วเชียนเสวี่ยกับรองผู้บัญชาการเหวยประสานสายตา และพากันทำความเคารพ

รองผู้บัญชาการเหวยผู้นี้อายุไม่มาก แผ่นหลังเหยียดตรง น้ำเสียงดังกังวาน แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นคนที่ไม่มีแผนการคนหนึ่ง

นางนึกว่าฮ่องเต้จะส่งคนที่มีประสบการณ์มาจับตาดูนาง

ตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยพิจารณามองรองผู้บัญชาการเหวย รองผู้บัญชาการเหวยก็พิจารณานางเช่นกัน

คุณหนูตรงหน้าท่านนี้ สงบนิ่งสง่างาม และไม่ได้มีสามเศียรหกกร ในเวลาหนึ่งเดือนกว่าจะสร้างเรื่องใหญ่ขนาดนี้ในเมืองหลวงได้อย่างไร

แต่พิจารณาก็ส่วนพิจารณา สงสัยก็ส่วนสงสัย ท่าทีของเขายังคงเคารพนบนอบอยู่

ฮ่องเต้ตรัสแล้วว่า คุณหนูใหญ่มั่วผมร่วงเส้นหนึ่งก็เอาชีวิตเขาไปชดใช้

แต่หลังจากเขารับคำสั่งแล้ว ฮ่องเต้ก็สั่งอีกว่า ขอเพียงแค่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมั่วเชียนเสวี่ย ไม่ต้องสนว่าเล็กหรือใหญ่ ล้วนต้องรายงานให้หมดทันที

รองผู้บัญชาการเหวยยังคงมึนงง ไม่เข้าใจว่าสรุปแล้วฮ่องเต้หมายความว่าอะไรกันแน่