บทที่ 360 ความเมตตาของเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 360 ความเมตตาของเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน

บทที่ 360 ความเมตตาของเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน

“เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน?”

ใบหน้าของหลินเซิงฉายความไม่เข้าใจในคราวแรก แต่ท้ายที่สุดเขากลับรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมา

“เจ้ามาจากสำนักใด?!”

ในยุคสมัยที่ปั่นป่วน เคยมีสำนักหนึ่งนามว่าปรารถนาโลหิต กฎของสำนักแห่งนี้เคร่งครัด ผู้ศรัทธาล้วนแต่ต้องนองเลือด น่าหวาดกลัว ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับการดำรงอยู่อย่างลึกลับบางอย่าง มีข่าวลือว่าการนองเลือดในพระราชวังก่อนหน้านั้นเกิดจากสำนักนี้

ในยุคที่โกลาหลนั้น สำนักนี้พัฒนาอย่างรวดเร็วและถือได้ว่าเป็นสิ่งที่มีอำนาจเหนือกว่ามนุษย์ มันนำภัยพิบัติมากมายเข้ามา ต่อมากองทัพนำโดยจักรพรรดิผู้ก่อตั้งราชวงศ์ได้เข้ามาทำลายล้างจนหมดสิ้น แต่ศิษย์บางคนในสำนักปรารถนาโลหิตยังมีชีวิตรอดกลับมาได้ และพวกเขากระจายตัวออกไปทั่วอาณาจักรต้าเซีย จนถึงทุกวันนี้ยังสร้างความอันตรายไม่จบสิ้น

ราชสำนักมุ่งมั่นที่จะสังหารผู้ที่นับถือสำนักนี้ให้สิ้นซาก และผู้ที่อ้างถึงความชอบธรรมในเจียงหู่ก็ต่อต้านสำนักเหล่านี้เช่นกัน ส่วนใหญ่ต้องจัดการให้ราบหากพบเจอพวกเขา

หลังจากได้ยินคำพูดของชายชุดคลุมสีขาว กระบี่ของหลินเซิงก็ถูกชักออกครึ่งหนึ่ง แสงเย็นเฉียบคมปลาบส่องประกายสะท้อนในแววตาชายชุดคลุมสีขาว

“ดะ… เดี๋ยว! ข้าไม่ใช่พวกคลั่งลัทธิบ้าบอ สหายเจ้าเข้าใจผิดแล้ว”

ร่างในชุดคลุมสีขาวยกมือขึ้นพร้อมกล่าวต่อ

“ข้าเพียงต้องการแบ่งปันความเชื่อของข้ากับเจ้า ข้าไม่ต้องการให้เจ้าเข้าร่วมสำนักใด และไม่ต้องการจำกัดเสรีภาพของเจ้าแม้แต่น้อย”

หลินเซิงยังคงตื่นตัว เขาก้าวถอยหลังแล้วเอ่ยปาก

“อยู่ให้ห่างจากข้า ถอยออกไปห้าก้าว”

ทักษะกระบี่ของเขารวดเร็วยิ่ง แม้ชายในชุดคลุมสีขาวต้องการลอบโจมตีด้วยอาวุธที่ซ่อนอยู่ แต่เขามั่นใจว่าจะสามารถสกัดกั้นด้วยกระบี่แม้จะอยู่ห่างออกไปห้าก้าว

ชายในเสื้อคลุมสีขาวปฏิบัติตามคำขอของเขาคือการถอยห่างออกไปห้าก้าว เมื่อเห็นเช่นนี้ท่าทีของหลินเซิงจึงอ่อนลงเล็กน้อย

‘บางทีอาจเป็นแค่คนธรรมดาสามัญที่สร้างเซียนสมมติขึ้นมาเพื่อบูชา’

หลินเซิงลอบคิดกับตนเอง

ในยุควุ่นวายยังมีคนอีกมากที่พลัดถิ่นและสูญเสียสหาย ทั้งหมดที่กล่าวขึ้นมานี้เพื่อความสบายใจ อย่างไรเสียราชสำนักก็ไม่ได้ห้ามจุดเครื่องหอมเพื่อบูชาตนเอง

“เอาล่ะ เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานของเจ้าคือสิ่งใด?”

หลังจากระมัดระวังอยู่ครู่หนึ่ง หลินเซิงยังคงถือกระบี่ไว้พร้อมกล่าวถาม

“เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน ชื่อเต็มคือ ‘พรแห่งสวรรค์’ สถาปนาเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานก็เป็นสิ่งที่จะเข้ามาช่วยเหลือเด็กที่หลงทางเช่นเจ้าเป็นการพิเศษ”

ชายในชุดคลุมสีขาวชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกล่าวเคร่งขรึม

“ก่อนที่โลกนี้จะถูกสร้างขึ้น เขาเกิดมาในยุคความโกลาหล และเห็นว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดทุกข์ระทมกับการสูญเสีย ดังนั้นจึงปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกนี้สร้างรากฐานได้ และทุกคนสามารถก้าวขึ้นเป็นมังกร… หลังจากที่เจ้ากลับไป สหายเอ๋ย ตราบใดที่ตั้งกระถางธูปและบูชาในทุกวัน สถานะตีบตันที่เจ้าเผชิญอยู่ย่อมถูกแก้ไข…”

“เจ้าคิดเรื่องไร้สาระนี้โดยอ้างอิงตำนานหรือไร?”

หลินเซิงหัวเราะพร้อมกล่าวว่า

“ตราบใดที่ข้าสวดภาวนาอ้อนวอนต่อสวรรค์และบูชาอย่างตั้งใจก็จะสามารถทำลายโซ่ตรวนได้ ของเช่นนี้มีที่ไหนกัน? อีกอย่างรากฐานที่ว่ามันคืออะไรกันแน่?”

“สร้างรากฐาน!”

ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อได้ยินพูดของหลินเซิงเช่นนี้ ชายในชุดคลุมสีขาวถึงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เขาอดไม่ได้ที่จะก้าวออกไปด้านหน้า แต่เมื่อเห็นกระบี่ในมือของหลินเซิงแล้วจึงล่าถอยกลับ จากนั้นจึงกล่าวกับหลินเซิงอย่างกระตือรือร้น

“นั่นคือประตูสวรรค์สำหรับมนุษย์ที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดของชีวิต เชื้อชาติเผ่าพันธุ์ของตนเอง ตราบใดที่สามารถก้าวข้ามประตูนั้นได้ มนุษย์จะกลายเป็นเซียน เข้าใจถึงวิถีของสวรรค์และโลก เมื่อวันเวลาผันผ่านไป แม้เจ้าอยากจะย้ายภูเขาหรือทวงทะเลกลับคืน มันก็เป็นไปไม่ได้เมื่อเข้าสู่ขั้นเซียน”

“นี่ไม่เกี่ยวกับขอบเขตความเป็นมนุษย์ใช่หรือไม่?”

หลินเซิงบ่นอุบ

“ขอบเขตความเป็นมนุษย์อะไร”

ชายในชุดคลุมสีขาวกล่าวคำอย่างเย้ยหยัน

“ก็เพียงตุ๊กตาตัวน้อยที่ใช้พลังจากความขุ่นเคือง”

“ฮ่าฮ่า”

หลินเซิงไม่ต้องการพิสูจน์สิ่งที่เขากล่าว

ก็แค่ไอ้สารเลวที่ติดอยู่ในโลกแห่งจินตนาการของตนเอง

เขาส่ายศีรษะ เก็บกระบี่ และกลืนกินโอสถในมือ จากนั้นหันหลังเพื่อเดินกลับสำนัก

“ประเดี๋ยวก่อน สหาย อย่าเพิ่งไป”

เมื่อเห็นหลินเซิงหันกลับมา ชายในชุดคลุมสีขาวเริ่มมีท่าทีกังวล เขารีบก้าวไปสามก้าวก่อนจะหยุดยืนตรงหน้าหลินเซิงที่อยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตนักสู้ เขายืนขวางหลินเซิงเอาไว้

“มันก็ไม่ได้เสียเงิน เหตุใดถึงไม่คิดลองดู?”

“ข้ายุ่งเกินกว่าจะทำเรื่องไร้สาระ”

หลินเซิงถอนหายใจ

“สหาย ข้าต้องแบกรับเกียรติยศของสำนักและไม่มีเวลามากนัก เพราะต้องฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ในทุกวัน เจ้ามีศิลปะการต่อสู้แบบใด? ‘เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน’ คืออะไร? มันก็แค่สิ่งที่เจ้าเขียนขึ้นมาเอง”

เขาเดินผ่านชายชุดคลุมสีขาวและเดินต่อไป แต่ด้วยแสงวาบที่ปรากฏขึ้น ชายชุดคลุมสีขาวจึงมาหยุดยืนตรงหน้าเขาอีกครั้ง

บุรุษผู้นี้… แข็งแกร่งยิ่ง!

หลินเซิงรู้สึกประหลาดใจ

“ไม่สำคัญหรอกว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ แล้วในสำนักของเจ้ามีสตรีหน้าอกเล็กแบนหรือไม่? เจ้ามีความสนใจที่อยากจะไล่ตามคนเหล่านั้นบ้างหรือไม่?”

ชายชุดคลุมสีขาวยังคงยั่วยุไม่หยุด

“ข้ามีพระโพธิสัตว์ที่ขยายทรวงอกทรงเมตตา แล้วยังมีจิ่วเทียน หยิงหยวน… เทพีแห่งสวรรค์ เจ้าอยากลองดูหรือไม่?”

“ไม่ ข้าไม่เชื่อ ขอบคุณแล้ว ลาก่อน”

หลินเซิงตอบอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เดินผ่านเขาเพื่อเดินทางต่อไป

“โอ้ สหายข้า”

ชายชุดคลุมสีขาวเอื้อมมือไปคว้าแขนเขาเอาไว้

หลินเซิงดิ้นรนขัดขืนสักครู่ เขารู้สึกว่าแขนถูกหนีบด้วยเหล็กกล้าจนไม่สามารถดิ้นรนออกจากมันได้

“ไปกันเถิด!”

หลินเซิงยังคงดิ้นรนต่อไป มืออีกข้างแตะหลังตัวเองและกำลังคิดจะชักกระบี่ออก เมื่อเห็นสิ่งนี้ ชายในชุดคลุมสีขาวจึงปล่อยแขนของเขา

“สหาย หรือเจ้าอยากจะมีบุตร? หรืออยากจะช่วยเหลือการเงินของสำนัก? ต้องการโชคลาภจากสวรรค์หรือไม่?”

ชายในชุดคลุมสีขาวกล่าวอย่างรวดเร็ว

“ข้ามีจักรพรรดินีที่สามารถประทานบุตรและเทพีแห่งความมั่งคั่งให้เจ้าเลือกด้วย…”

“ไปให้พ้น!”

หลินเซิงไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป เขาขมวดคิ้วและผลักชายในชุดคลุมสีขาวอย่างแรง ทว่าร่างกายของชายผู้นั้นไม่ขยับแม้แต่น้อย แต่กลับกลายเป็นเขาที่โซเซไปด้านหลังเสียแทน

แต่หลังจากมีระยะห่าง หลินเซิงจึงไม่กล้าที่จะเข้าไปพัวพันต่อ เพราะตอนนี้เขายังได้รับบาดเจ็บอยู่

“ประสาท!”

เขาสบถเสียงต่ำแล้ววิ่งออกไปโดยไม่หันกลับมามอง ราวกับว่ากำลังถูกอสูรร้ายไล่ตามอย่างไรอย่างนั้น!

ชายในชุดคลุมสีขาวไม่คิดไล่ตาม เขามองดูแผ่นหลังของชายคนนั้นหายลับไปที่ปลายถนน ก่อนจะก้มศีรษะแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน

เขาเดินไปอย่างหดหู่ที่ตรอกด้านซ้าย ก่อนจะถอดหมวกคลุมศีรษะเผยให้เห็นเส้นผมสีขาวและใบหน้าหล่อเหลา

ในตรอกนั้นมีสตรีงดงามอีกสองคนรออยู่ คนหนึ่งสวมชุดกระโปรงสั้นสีแดงเพลิง เรียวขายาวขาวดุจหิมะ ถุงเท้าสีขาวสูงถึงเข่า ส่วนอีกคนสวมชุดสีเหลืองทอง เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามา หญิงสาวในชุดสีเหลืองจึงเผยรอยยิ้มกว้าง

“ดูซิ ศิษย์หญิงพี่หลี ข้าบอกแล้วว่าเขาจะล้มเหลว”

ชายผมขาวจ้องหญิงสาวพร้อมตำหนิ

“เจ้ามันเป็นศิษย์ไม่เชื่อฟัง ในฐานะอาจารย์ ข้าอยู่ที่นี่เพื่อช่วยให้เจ้าทราบอันตรายของอาจารย์อสูร แต่เจ้ายังมีหน้ากล่าวกับข้าเช่นนี้”

สตรีในชุดสีเหลืองแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เขาและซ่อนตัวอยู่ด้านหลังสตรีอีกคน

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ชายผมขาวอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา แล้วกล่าวพึมพำ

“สอนยาก สอนเย็นเสียจริง…”