ตอนที่ 397 เพิ่มเบี้ยเลี้ยง

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 397 เพิ่มเบี้ยเลี้ยง

หลินม่ายรีบไปที่โรงงานตัดเสื้อ

คุณลุงยามเฝ้าประตูยิ้มกว้างทันทีเมื่อเห็นหลินม่าย “คุณหลิน เมื่อคืนผมเห็นคุณออกทีวีด้วย คุณพูดได้ดีมากเลยครับ!”

หลินม่ายพูดกับเขาอีกสองสามคำ จากนั้นก็ตรงไปที่ห้องทำงานของเถาจืออวิ๋น

ในห้องทำงานของหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการทั้งสาม มีเถาจืออวิ๋นอยู่แค่คนเดียว

หลินม่ายถาม “หัวหน้าเหรินกับหัวหน้าโฮ่วล่ะ?”

“หัวหน้าเหรินออกไปสำรวจตลาด ตอนนี้หัวหน้าโฮ่วต้องดูแลโรงงานสองที่ที่มีพนักงานรวมกันมากกว่าร้อยชีวิต เขาเลยต้องเดินทางไป ๆ มา ๆ เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ ป้องกันไม่ให้คนงานบางคนเผลอละเลยเรื่องคุณภาพ”

ว่าแล้วก็หยิบโปสเตอร์ปึกหนึ่งออกมาแล้วส่งให้หลินม่าย

“บ่ายเมื่อวาน กว่าฉันจะขอร้องให้เธอยอมถ่ายโปสเตอร์จนได้ เธอเอาแต่อิดออดท่าเดียว ดูให้เห็นกับตาตัวเองเถอะว่าโปสเตอร์ที่มีเธอเป็นนางแบบมันสวยแค่ไหน!”

หลินม่ายหยิบโปสเตอร์ขึ้นมาพลิกดูทีละแผ่น

ในโปสเตอร์ ไม่ว่าเธอจะมัดผมหางม้าหรือถักเปีย พร้อมกับสวมใส่เสื้อผ้าที่เธอเป็นคน ‘ออกแบบ’ และรับช่วงดัดแปลงต่อโดยเถาจืออวิ๋น ทุกรูปต่างออกมาสดใสสมวัย สวยงาม และน่ารักมาก

อีกทั้งหมวกจากร้านไป๋เหอโถวซื่อที่เธอใส่อยู่ก็กลมกล่อมเข้ากันไปหมด

เถาจืออวิ๋นเดินมายืนอยู่ข้างหลัง ชื่นชมโปสเตอร์พวกนั้นไปพร้อม ๆ กับเจ้าตัว “สวยใช่ไหมล่ะ? ช่างภาพก็เก่งมาก ออกแบบท่าโพสต์ของเธอได้เด่นสะดุดตา เธอนี่ช่างสมบูรณ์แบบจริง ๆ เลย!”

หลินม่าย “ถ้าฉันบอกว่าฉันเป็นคนออกแบบท่าโพสต์เอง พี่จะเชื่อหรือเปล่า?”

เถาจืออวิ๋นตบหลังเธอเบา ๆ “ทำไมจะไม่เชื่อล่ะ ทุกอย่างที่เธอออกแบบมีรสนิยมเสมอ”

หลินม่ายหัวเราะร่า จากนั้นก็วางโปสเตอร์ลง “โรงงานเก่าของพี่ที่ชื่อ… โรงงานอะไรนะ?”

เถาจืออวิ๋นตอบย้ำ “โรงงานตัดเสื้อชุนเหล่ย”

“ใช่ๆๆ พี่ได้ติดต่อทางโรงงานตัดเสื้อชุนเหล่ยแล้วหรือยัง เขามีท่าทีตอบรับยังไงบ้าง? เขาตกลงผลิตสินค้าให้เราไหม?”

เถาจืออวิ๋นพยักหน้า “เมื่อวานเย็นฉันแวะไปหาผู้จัดการโรงงานมาแล้ว เพื่อเจรจากับเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาดูดีใจมากเลยนะ แถมยังเล่าให้ฟังด้วยว่าช่วงนี้เสื้อผ้าที่ผลิตจากโรงงานตัดเสื้อของรัฐแล้วส่งไปขายตามห้างสรรพสินค้า ยอดขายในแต่ละเดือนตกต่ำมาก พอของค้างสต็อกเยอะเกินไป การผลิตก็ชะลอตัวจนเกือบต้องปิดโรงงาน การที่เราจ้างพวกเขาให้ช่วยผลิตสินค้า ถือเป็นการต่อชีวิตในเวลาที่เหมาะเจาะ ไม่อย่างนั้นทางโรงงานคงไม่มีเงินมาจ่ายค่าแรงของเดือนถัดไป ผู้จัดการนัดหมายให้คนงานเริ่มทำงานล่วงเวลาตั้งแต่เมื่อคืน และจะส่งเสื้อผ้าล็อตแรกให้เราในเช้าตรู่ของอีกวัน”

“แล้วเรื่องของคุณภาพล่ะ”

หลินม่ายกังวลเรื่องนี้มากที่สุด

ปกติแล้วคุณภาพของเสื้อผ้าที่ผลิตจากโรงงานรัฐโดยทั่วไปไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถ้าเป็นงานเร่ง เกรงว่าจะยิ่งควบคุมคุณภาพได้ยากกว่าเดิม

ในเมื่อเธอต้องการขยายฐานการผลิตเสื้อผ้าแบรนด์ Unique ให้ใหญ่ขึ้น ย่อมต้องใส่ใจเรื่องคุณภาพเป็นหลัก

เถาจืออวิ๋นพยักหน้า “ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลย ฉันเป็นคนกำชับด้วยตัวเอง คุณภาพมาเป็นอันดับหนึ่ง ฝีเข็มต้องเท่ากัน ด้ายที่ใช้ต้องไม่ขาดง่าย กระดุมต้องแน่น”

หลินม่ายเพิ่งสังเกตว่าดวงตาของอีกฝ่ายแดงก่ำ ถามว่า “เมื่อคืนพี่ได้นอนบ้างไหม?”

เถาจืออวิ๋นลูบหน้าตัวเอง “นอนสิ แต่แค่นอนดึกไปหน่อย ฉันต้องอยู่คุมงาน ตราบใดที่คนงานของเรายังทำงานล่วงเวลาไม่เสร็จ ฉันก็ไม่ได้หนีกลับบ้านไปนอนหรอก”

หลินม่ายขมวดคิ้ว “ตอนที่พี่เซ็นสัญญา OEM กับโรงงานตัดเสื้อชุนเหล่ย พี่ได้ระบุในสัญญาหรือเปล่า ว่าถ้าคุณภาพของสินค้าออกมาไม่ได้มาตรฐานตามที่เราวางไว้ เราจะไม่ยอมรับสินค้าล็อตนั้น และทางโรงงานต้องจ่ายค่าชดเชยที่ผิดสัญญา?”

“ระบุแล้ว แต่จุดประสงค์ของเราไม่ใช่การรับเงินค่าชดเชยจากพวกเขา เราต้องการให้พวกเขาทำงานให้เราต่างหาก เพราะแบบนี้ฉันถึงต้องคุมคนงานด้วยตัวเอง เพื่อที่พวกเขาจะได้ผลิตเสื้อผ้าในปริมาณมากออกมาแบบมีคุณภาพ”

“ช่วงนี้พี่วางแผนว่าจะอดหลับอดนอนทุกคืนเลยหรือไง?”

เถาจืออวิ๋นโบกมือ “ไม่ขนาดนั้นหรอก เมื่อคืนที่ผ่านมา ฉันควบคุมคุณภาพสินค้าเข้มงวดมาก ระหว่างที่ตรวจสอบเป็นรายชิ้น ฉันถึงขั้นโยนเสื้อผ้าหลายสิบชุดที่ไม่ได้มาตรฐานของเราทิ้งเลยนะ จากนั้นก็ขู่พวกเขาด้วยว่า ถ้ายังมีเสื้อผ้าไม่ได้คุณภาพแบบนี้หลุดมาถึงมือฉันอีก ฉันจะย้ายไปจ้างโรงงานตัดเสื้อที่อื่นแทน ปล่อยให้พวกเขาดิ้นรนเลี้ยงปากท้องกันเอง ไม่ว่าผู้จัดการหรือพนักงาน ทุกคนต่างก็รู้จักฉันดี ไม่มีใครกล้าทำงานชุ่ยแน่”

หลินม่ายได้ยินแล้วก็โล่งใจ

ถึงอย่างนั้นก็ยังมีข้อสงสัยบางอย่าง “ทำไมเสื้อผ้าที่ผลิตจากโรงงานชุนเหล่ยถึงส่งไปขายที่ห้างสรรพสินค้าของรัฐไม่ได้แล้วล่ะ?”

เถาจืออวิ๋นแค่นเสียงเยาะเย้ย “เธอคิดว่าการส่งเสื้อผ้าไปขายในห้างเป็นเรื่องง่ายนักเหรอ? เมื่อก่อนอาจใช่ แต่ตอนนี้ไม่ ผลพวงจากการปฏิรูปเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทำให้พ่อค้าเร่หลายเจ้าต่างพากันออกมาตั้งแผงขายเสื้อผ้า ผู้ประกอบการรายย่อยก็เลือกไปจับธุรกิจเสื้อผ้าเหมือนกัน สไตล์เสื้อผ้าที่พวกเขารับซื้อมาจากกวางตุ้งทันสมัยกว่าเสื้อผ้าที่ผลิตจากโรงงานรัฐซะอีก คนหนุ่มสาวเดี๋ยวนี้ก็ไม่เข้าห้างไปซื้อเสื้อผ้ากันแล้ว แต่ไปเดินหาซื้อตามแผงลอยริมถนนแทน เสื้อผ้านำเข้าพวกนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อเสื้อผ้าภายในประเทศ เป็นธรรมดาที่โรงงานตัดเสื้อของรัฐต้องหาทางดิ้นรนเพื่อที่โรงงานจะยังอยู่รอด”

หัวใจหลินม่ายกระตุกเมื่อได้ยินแบบนั้น

บางทีเธออาจจะเปิดร้านเสื้อผ้า Unique เพื่อเจาะตลาดลูกค้าวัยรุ่นที่ชอบซื้อเสื้อผ้าจากนอกห้างก็ได้

แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา รอจนกว่าโรงงานตัดเสื้อของเธอจะขยายฐานการผลิตได้อย่างมั่นคงเสียก่อน

ทันใดนั้น เถาจืออวิ๋นก็หันมาขยิบตาให้เธออย่างร้ายกาจ “ฉันฉวยโอกาสตอนกลับไปที่โรงงานเก่าเพื่อเจรจาการผลิตต่อรองอะไรบางอย่าง ขอให้เขาช่วยส่งยามของโรงงานไปไล่ที่ ในวันที่ไอ้สารเลวหม่าเทากับรักแรกของเขาแต่งงานกันในบ้านของฉัน!”

หลินม่ายยกนิ้วโป้ง “ทำดีมาก!”

ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่นั้น เหรินเป่าจูก็กลับเข้ามาพอดี

ทันทีที่เปิดประตูเข้ามา หล่อนก็ตะโกนลั่น “ให้ตายเถอะ เดินสายห้างสรรพสินค้าหกที่ในคราวเดียว เหมือนโดนสูบเรี่ยวแรงไปหมดเลย!”

หลังจากนั้นก็เดินเข้ามารินน้ำต้มสุกให้ตัวเองแก้วหนึ่งแล้วกระดกดื่ม

หลินม่ายเห็นแบบนั้น ก็เดินออกไปที่ห้องบัญชี

เธอบอกให้ทังชุ่นอิงจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงเครื่องดื่มให้เหรินเป่าจูและพนักงานส่งเสริมการขายทุกคนคนละสามหยวนต่อเดือน ตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป

เหรินเป่าจูและพนักงานส่งเสริมการขายต้องออกไปข้างนอกทุกวัน หลีกไม่พ้นความกระหายน้ำ

การจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงเครื่องดื่มให้พวกเขาสามหยวน ก็เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องควักเงินส่วนตัวสำหรับซื้อชาหรือน้ำอัดลมดื่มในระหว่างนั้น

ถึงแม้จะเป็นเงินแค่เล็กน้อย แต่มันก็ช่วยให้พวกเขารับรู้ถึงความเอาใจใส่จากนายจ้าง

ทังชุ่นอิงถามด้วยความลังเล “ทำไมคุณถึงไม่ให้พวกเขาซื้อเครื่องดื่มจากข้างนอกแล้วนำบิลมาเบิกเอาล่ะคะ? พวกเขาไม่ได้ออกไปข้างนอกทุกวันเสียหน่อย จ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงเครื่องดื่มให้คนละสามหยวนต่อเดือน… ฉันมองว่ามันสิ้นเปลืองไปหน่อย แถมยังไม่สอดคล้องกับนโยบายประหยัดของเราเลยนะคะ…”

หลินม่ายอธิบายอย่างจริงจัง “ถึงฉันจะเน้นย้ำเรื่องนโยบายการประหยัดก็จริง แต่การประหยัดไม่ได้หมายถึงการตระหนี่ ทุกตำแหน่งในโรงงานของเรา พนักงานส่งเสริมการขายถือเป็นคนที่ทำงานหนักที่สุดแล้ว ถ้าไม่มีพวกเขาออกไปเดินสายเปิดตลาด เราทุกคนคงต้องหาทางดิ้นรนกันเอง แถมพวกเขายังต้องทำงานท่ามกลางสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจ ไม่ว่าจะหนาวเสียดกระดูกหรือร้อนตับแตกก็ไม่มีข้อยกเว้น เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ยอมจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงเครื่องดื่มแค่เดือนละสามหยวนจะเป็นไรไป? ถ้าคุณอยากให้พวกเขาซื้อเครื่องดื่มจากข้างนอกแล้วเอาบิลมาเบิกทีหลังจริง ๆ แล้วคุณคิดว่าร้านขายของชำเล็ก ๆ จะยินดีเขียนบิลค่าเครื่องดื่มให้พวกเขาหรือเปล่า?”

ทังชุ่นอิงรีบจัดการตามคำสั่ง

เมื่อหลินม่ายเดินกลับเข้ามาในห้องทำงานอีกครั้ง เห็นว่าเหรินเป่าจูกำลังจัดการกับงานตรงหน้าอย่างขันแข็ง

พนักงานส่งเสริมการขายคนหนึ่งตัดพ้อด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “รองผู้จัดการคะ คุณไม่จ้างพนักงานส่งเสริมการขายโดยตรง แต่กลับมอบหมายให้เราผลัดกันทำหน้าที่แทน แล้วเรายังต้องจัดเรียงสินค้าทุกวันอีก เป็นงานที่หนักมากเลยนะคะ”

เหรินเป่าจูพยายามเกลี้ยกล่อมพวกเขาด้วยความอดทน “พอดีแผนการเปิดตลาดใหม่มันค่อนข้างฉุกละหุกไปหน่อย การจัดการก็ต้องรีบทำอย่างเร่งด่วน เลยยังไม่มีเวลาประกาศรับสมัครพนักงานขาย พวกคุณอยู่ช่วยสักสองวันเถอะนะ แค่สองวันก็พอ แล้วฉันจะรีบประกาศรับสมัครพนักงานขายให้มาทำงานแทน ต้องขอโทษจริง ๆ และขอบคุณที่ทำงานอย่างหนัก!”

หลินม่ายได้ยินแบบนั้นก็เดินตรงเข้าไป ส่งยิ้มให้เหรินเป่าจูและคนอื่น ๆ “ฉันมีอะไรอยากเสนอ”

เหรินเป่าจูและพนักงานส่งเสริมการขายต่างยิ้มตอบ “ผู้จัดการหลินช่วยแนะนำด้วยค่ะ”

“พวกคุณลองไปขอความช่วยเหลือจากผู้จัดการฝ่ายขายของทางห้างสรรพสินค้าดู ให้เขาช่วยจัดหาพนักงานขายให้เราสักสองสามคน เราก็แค่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับทางห้างนิดหน่อย”

เหรินเป่าจูเกิดความลังเล “แต่พนักงานขายของห้างต่างก็มีภาระงานเป็นของตัวเองอยู่แล้ว จะเจียดเวลามาช่วยงานเราได้ยังไงคะ”

“จัดระบบการทำงานของพนักงานขายเป็นกะสิ แล้วให้พนักงานของเรามีเวลาพักเหนื่อยสักสองสามวัน ถ้าเราจ่ายค่าแรงให้เป็นสองเท่า ต้องมีพนักงานขายที่เต็มใจทำแน่”

ดวงตาเหรินเป่าจูเป็นประกาย “เป็นความคิดที่ดี!”

จากนั้นหล่อนก็หันไปพูดกับพนักงานส่งเสริมการขายข้าง ๆ ว่า “พวกคุณได้ยินที่ผู้จัดการหลินพูดแล้ว จากคำแนะนำของหล่อน เราคงต้องแก้ปัญหาขาดแคลนพนักงานขายแบบนี้ไปก่อน ไม่เกินห้าวัน ฉันจะเปิดรับสมัครพนักงานขายทันที”

หลินม่ายแนะนำ “ถ้าผู้สมัครผ่านการคัดเลือกแล้ว อย่าลืมฝึกอบรมเรื่องการทำงานให้กับพวกเขาก่อนเริ่มงานจริงด้วยล่ะ”

เหรินเป่าจูพยักหน้า

หลินม่ายแวะไปดูโรงเรียนอนุบาล พอเห็นว่าป้ายที่นายช่างจางส่งคนมาติดตั้งเรียบร้อยดี ก็พึงพอใจมาก

จากนั้นก็แวะเข้าไปในโรงงานไป๋เหอโถวซื่อที่อยู่ข้าง ๆ กัน

ยังไม่ทันเดินไปถึงหน้าร้าน ก็เห็นว่ามีลูกค้าเดินเข้าออกจากร้านไป๋เหอโถวซื่อเพื่ออุดหนุนสินค้าเป็นจำนวนมาก

เห็นแบบนี้แล้วเธอก็อดชื่นใจไม่ได้ อย่างน้อยการออกทีวีเมื่อวานก็ไม่ได้เปล่าประโยชน์ แถมยังได้ผลตอบรับดีกว่าการจ้างถ่ายทำโฆษณาซะอีก!

เธอเร่งฝีเท้าไปถึงจุดหมายด้วยความตื่นเต้น เห็นว่าในร้านก็มีลูกค้าแน่นขนัด

หลายคนเป็นผู้ค้ารายย่อยที่ต้องการรับซื้อสินค้าไปขาย แต่ก็มีลูกค้าจำนวนมากที่ต้องการซื้อเครื่องประดับศีรษะไปสวมใส่เอง

น่าเสียดายที่ร้านไป๋เหอโถวซื่อเป็นร้านค้าที่ทำธุรกิจแบบค้าส่งเท่านั้น

พอมีลูกค้าจำนวนมากต้องการซื้อปลีก พนักงานขายจึงไม่รู้ว่าควรตัดสินใจอย่างไรดี

ที่ไม่ยอมขาย ก็เพราะกลัวว่าจะขาดทุน

ถึงแม้ว่ากำไรที่ได้จากการขายปลีกจะน้อยกว่าการขายส่ง แต่ก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

เพียงแต่การขายสินค้าให้ลูกค้าเป็นรายคนใช้เวลานานเกินไป จนไม่สามารถปลีกตัวมาดูแลผู้ค้ารายย่อย

หลินม่ายยิ้มแย้มแจ่มใส หันไปพูดกับลูกค้าที่อยากซื้อเครื่องประดับศีรษะไปสวมใส่เองว่า “ต้องขออภัยด้วยจริง ๆ ค่ะ ร้านของเราทำธุรกิจแบบขายส่งเท่านั้น ไม่ได้ขายปลีก”

ลูกค้าหลายคนจำหลินม่ายได้ ทุกคนต่างก็ทักทายด้วยความตื่นเต้น “คุณคือผู้จัดการหลินนั่นเอง! เราเห็นคุณให้สัมภาษณ์ในรายการข่าวเมื่อวานตอนเย็น!”

ถึงอย่างนั้นก็มีเสียงแสดงความไม่เห็นด้วยแทรกมา “เมื่อวานพวกเราเห็นคุณนำเสนอในทีวีแบบนั้น พวกเราก็เลยมาอุดหนุนสินค้าของคุณถึงที่ร้าน เพื่อให้สนับสนุนรายได้ให้ผู้พิการ ถ้าคุณไม่ยอมขายปลีกให้พวกเราแบบนี้ แล้วเราจะสนับสนุนคุณได้ยังไงกันล่ะ?”

หลินม่ายยังคงแสดงรอยยิ้มบนใบหน้า “ขอบคุณทุกคนที่สนใจให้การสนับสนุนพวกเรานะคะ แต่ถ้าเราทำธุรกิจแบบค้าปลีก คงสร้างผลกระทบต่อธุรกิจของผู้ค้ารายย่อยเหล่านี้ ดังนั้นต่อให้พวกคุณจะซื้อสินค้าจากผู้ค้ารายย่อยด้านนอก ก็เท่ากับสนับสนุนพวกเราเช่นเดียวกัน หวังว่าทุกคนจะเข้าใจค่ะ”

หลังจากได้ยินคำพูดของหลินม่าย พ่อค้าแม่ค้ารายย่อยที่แวะเวียนมารับซื้อสินค้าก็รู้สึกสบายใจมาก

ใจจริงพวกเขาก็ไม่อยากให้ไป๋เหอโถวซื่อขายปลีกหรอก

ตามที่หลินม่ายบอก ถ้าไป๋เหอโถวซื่อทำธุรกิจแบบขายปลีกจริง ผู้คนจำนวนมากก็จะแห่แหนมาซื้อสินค้าของเธอถึงหน้าร้าน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของพวกเขา

ถึงผลกระทบที่ว่าจะไม่ได้มากมายอะไร แต่ก็ทำให้พวกเขาหายใจไม่ทั่วท้องอยู่บ้าง

ลูกค้าหลายคนต่างเข้าใจในสิ่งที่หลินม่ายพูด เสียงเซ็งแซ่แสดงความไม่เห็นด้วยจึงเงียบหายไปทันที

หลังจากเคลียร์ลูกค้าที่ต้องการซื้อปลีกออกไปได้ทั้งหมดแล้ว หลินม่ายก็หันกลับมาสอนพนักงานขายหน้าร้านทั้งสอง

กำชับให้พวกหล่อนขายของแบบมองภาพรวมไว้ก่อน ไม่ใช่เห็นงาก็จะหยิบ เห็นเมล็ดแตงโมก็จะหยิบด้วยเหมือนกัน ควรรู้จักเลือกทางที่ร้านจะได้เปรียบมากกว่า

พนักงานขายสองคนพยักหน้ารับซ้ำ ๆ

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

งานส่งเสริมการขายนี่งานหนักใช่ย่อยเลยนะ เพิ่มเบี้ยเลี้ยงให้ถือว่าดีแล้ว

ไหหม่า(海馬)