ตอนที่ 398 ต้นตออาการป่วยของแม่ฟู่เฉียง

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 398 ต้นตออาการป่วยของแม่ฟู่เฉียง

หลังออกมาจากโรงงานไป๋เหอโถวซื่อแล้ว หลินม่ายก็รีบตรงกลับบ้านเพื่อทำอาหารมื้อกลางวัน

เธอปล่อยให้คุณย่าฟางเข้าครัวทำอาหารทุกวันไม่ได้

เธอรับสองสามีภรรยาชราเข้ามาอยู่ในเมืองเพื่อพักผ่อน ไม่ใช่ให้มาเป็นพี่เลี้ยงเด็ก

แต่ก่อนกลับเข้าบ้าน เธอแวะไปที่ห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิง เพื่อดูสถานการณ์ของร้านเสื้อผ้า Unique สักหน่อย

ราวแขวนเสื้อทุกชั้นอัดแน่นไปด้วยเสื้อผ้าคอลเลคชันใหม่ที่เธอออกแบบเอง

สาว ๆ หลายคนต่างหยิบกระโปรงเอี๊ยมผ้ายีนแบบต่าง ๆ มาทาบกับลำตัว

พ่อแม่ของพวกเธอที่พาลูกสาวมาแวะซื้อไม่สามารถต้านคำรบเร้าได้ทุกรายไป นอกเสียจากคนที่คิดว่าชุดพวกนี้ราคาแพงเกินไปจนตัดใจซื้อไม่ลง

ถ้าเอาผ้ายีนมาตัดเย็บเป็นกางเกง ผู้ปกครองหลายท่านคงลังเลใจที่จะซื้อให้ลูกสาว เพราะพวกเขาอาจรู้สึกว่ากางเกงยีนดูเทอะทะเกินไปเมื่อนำมาสวมใส่จริง

แต่กระโปรงเอี๊ยมยีนกลับต่างออกไป เพราะสไตล์ของมันมีความอ่อนหวานมากกว่า และดูน่ารักสมวัย

แน่นอนว่าหญิงสาววัยทำงานหลายคนก็สนใจซื้อกระโปรงเอี๊ยมยีนแบบต่าง ๆ เช่นเดียวกัน

กระโปรงเอี๊ยมยีนที่หลินม่ายเป็นคนออกแบบ ไม่เพียงเหมาะกับเด็กสาววัยเรียนเท่านั้น แต่ยังมีความทันสมัย สดใส และมีชีวิตชีวามากสำหรับหญิงสาว เท่ากับว่าเธอสามารถเจาะตลาดได้หลายกลุ่ม

เธอกลับมาถึงบ้านก่อนเที่ยงตรง คุณย่าฟางทำกับข้าวมื้อกลางวันเกือบเสร็จแล้ว

พอหลินม่ายเห็นคุณย่าฟางที่ร้อนจนเหงื่อไหลเข้าครัวทำอาหารด้วยตัวเองอีกครั้ง เธอก็รู้สึกผิดมาก

เธอรีบถลกแขนเสื้อขึ้น กระเถิบเข้าไปรับช่วงต่อจากคุณย่าฟาง พร้อมกับขอโทษอีกฝ่าย “ฉันรับคุณปู่กับคุณย่ามาดูแล กลับกลายเป็นว่าคุณต้องมาทำงานหนักเสียอย่างนั้น”

คุณย่าฟางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อ จากนั้นก็ยิ้มอย่างไม่ถือสาพลางตอบกลับ “งานหนักอะไรกัน? แค่ทำกับข้าวถือเป็นงานหนักแล้วหรือ? ถ้าอย่างนั้นฉันกับคุณปู่คงต้องออกไปซื้อข้าวจากด้านนอกทุกวันสินะ?”

หลินม่ายหัวเราะแหะ ๆ สองครั้ง แล้วเริ่มลงมือทำอาหาร

เธอวางแผนว่าจะรับสมัครพี่เลี้ยงเด็กควบแม่บ้านพาร์ทไทม์ให้กับคุณปู่ฟางและภรรยาโดยเร็ว

เมื่อทำกับข้าวเสร็จ ฟู่เฉียงก็กลับมาพร้อมกับแม่เสียสติของเขาพอดี

คุณย่าฟางถามด้วยความเป็นห่วง “ทำไมวันนี้ถึงได้กลับมาช้านักล่ะ?”

ฟู่เฉียงฝืนยิ้ม “ผมเสียเวลาไปกับการรอผลตรวจของแม่ เลยกลับมาช้าครับ”

หลินม่ายที่อยู่ในครัวงงงวย

วันนี้หมอแค่นัดส่งมอบผลตรวจไม่ใช่เหรอ ไม่ได้นัดตรวจเสียหน่อย ที่ต้องใช้เวลานานในการเข้าคิว จนกว่าคนที่มาก่อนจะได้รับการตรวจเสร็จสิ้น

การรับเอกสารผลตรวจไม่ได้มีขั้นตอนยุ่งยากแบบนั้น ถึงแม้จะมีคิวก่อนหน้า แต่ก็ใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้เวลานานเป็นครึ่งวันแบบนี้

เธอเรียกฟู่เฉียงเข้ามาในครัว ลดเสียงลงแล้วถามว่า “เรื่องเป็นมายังไงกันแน่? บอกความจริงให้ฉันฟังซิ”

ดวงตาฟู่เฉียงเปลี่ยนเป็นแดงก่ำอย่างไม่อาจหักห้าม เขาสะอึกสะอื้นเสียงแผ่ว ก่อนจะตอบว่า “ผลตรวจของพ่อกับแม่ออกครบหมดแล้วครับ มันแย่มากเลย…”

“แย่ยังไง?”

“แม่ผมมีเนื้องอกในสมอง ไม่รู้ว่าเป็นเนื้อร้ายหรือเปล่า แต่มันก็กดทับเส้นประสาทในสมองของแม่อยู่ คุณหมอที่ห้องแล็บบอกว่าก้อนเนื้อมีขนาดใหญ่มาก เสี่ยงแตกได้ทุกเมื่อ แม่ผมอาจกลายเป็นอัมพาต… หรือไม่ก็ตาย…”

หลินม่ายเงียบไปครู่หนึ่ง ถามต่อ “แล้วพ่อเธอล่ะ?”

“คุณหมอบอกว่า จากการตรวจร่างกายเบื้องต้น ปรากฏว่าพ่อผมติดเชื้อไวรัสชนิดหายาก พวกเขาต้องทำการเพาะเลี้ยงไวรัสเพื่อยืนยันว่าเป็นไวรัสอะไรแน่ ก่อนจะดำเนินการรักษาขั้นต่อไป”

หลินม่ายปลอบโยนเขา “เห็นไหมว่าอาการป่วยของพ่อเธอได้รับการวินิจฉัยแล้ว ตราบใดที่พ่อเธอกินยาต้านอย่างสม่ำเสมอ เขาจะต้องหายดีในเร็ววันอย่างแน่นอน ส่วนแม่ของเธอ ขอแค่เนื้องอกไม่ใช่ก้อนเนื้อร้าย ก็สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด ดังนั้นไม่มีอะไรที่ต้องกังวลเลย”

ฟู่เฉียงถามทั้ง ๆ ที่ดวงตาเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา “แล้วถ้าเป็นก้อนเนื้อร้ายล่ะครับ?”

“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเข้ารับการรักษาอย่างจริงจัง เราต้องไม่แพ้ให้กับเนื้อร้ายนั้น จริงไหม?”

ฟู่เฉียงพยักหน้ารับหนักแน่น

หลินม่ายชำเลืองมองเขา “พาแม่ไปล้างหน้าล้างมือเถอะ จะได้มากินข้าวด้วยกัน”

เธอยกจานอาหารออกไปวางบนโต๊ะด้านนอก

คุณปู่ฟางและภรรยาเห็นแบบนั้นก็ลุกมาช่วยเสิร์ฟอีกแรงหนึ่ง

ในไม่ช้าอาหารทั้งหมดก็วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ แต่ฟางจั๋วหรานก็ยังไม่มา

หลินม่ายไม่กระวนกระวายมากนัก

ฟางจั๋วหรานมักถูกเรียกไปรับเคสผ่าตัดด่วนหลายครั้งในระหว่างเวลาทำงาน ซึ่งการที่เขามาช้าก็อาจจะเป็นเพราะเหตุผลนั้น

เธอหันไปพูดกับฟู่เฉียง “เธอรีบกินก่อนเถอะ กินเสร็จแล้วจะได้ออกไปส่งข้าวกลางวันให้พ่อ ไว้ตอนบ่ายฉันจะพาแม่เธอไปหารองศาสตราจารย์ไต้พร้อมกับเอกสารผลตรวจ”

ฟู่เฉียงยิ้มและพูดว่า “ไม่เป็นไรครับ รอคุณอาฟางกลับมาแล้วค่อยกินข้าวพร้อมกันก็ได้”

โชคดีที่ฟางจั๋วหรานกลับมาช้ากว่าปกติไปแค่สิบห้านาทีเท่านั้น

หลังจากเปิดประตูเข้ามา เขาก็เขย่ากุญแจรถในมือด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วพูดกับหลินม่าย “ม่ายจื่อ ผมซื้อจักรยานแม่บ้านมาให้คุณด้วยล่ะ”

หลินม่ายตกตะลึงไปชั่วขณะ “ฉันนึกว่าคุณทำงานเกินเวลาเพราะติดผ่าตัดซะอีก แต่ฉันไม่ได้ขอให้คุณซื้อจักรยานทั้งคันให้ซะหน่อยนี่คะ ฉันไปซื้อเองก็ได้ ขอแค่คูปองอุตสาหกรรมจากคุณก็พอแล้ว”

คุณย่าฟางรีบคัดค้าน “จั๋วหรานกำลังจะเป็นคู่หมั้นของเธอในอีกไม่ช้านี้ เขาควรซื้อของทุกอย่างที่เธออยากได้มาให้นั่นแหละถูกแล้ว เธอมีหน้าที่แค่รับไว้ อย่าทำให้เขาเสียน้ำใจเลย”

หลินม่ายจึงต้องยอมรับสภาพ

โต้วโต้วตบมือน้อย ๆ เสียงดัง เรียกร้องจะลงไปชั้นล่างเพราะอยากเห็นจักรยานที่ว่า แต่หลินม่ายกลัวว่าอาหารบนโต๊ะจะเย็นชืด อีกทั้งอยากให้ฟู่เฉียงรีบกินอาหารกลางวัน จะได้ออกไปส่งข้าวให้พ่อโดยเร็ว จึงปฏิเสธไป

โต้วโต้วทำหน้ามุ่ยเมื่อถูกขัดใจ

ระหว่างมื้ออาหาร คุณย่าฟางบอกหลินม่ายว่าตอนเช้าวังเสี่ยวลี่โทรมาที่บ้าน แจ้งว่าหล่อนรับสมัครพ่อครัวที่ชำนาญการทำหอยโข่งผัดเซียงล่ามาเรียบร้อยแล้ว และฝากส่งต่อข้อความให้หลินม่าย

คุณย่าฟางยิ้มเก้อเขินเล็กน้อย “ฉันแก่แล้ว ความจำไม่ค่อยจะดี ดูซิเกือบลืมบอกเธอไปซะสนิท”

หลินม่ายเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันพรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์ ถึงคราวที่คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางต้องย้ายเข้าไปอยู่ที่คฤหาสน์ของฟางจั๋วหราน

เธอจึงบอกพวกเขาว่าช่วงเช้าตัวเองต้องไปธุระกับเถาจืออวิ๋น อาจว่างมาช่วยสองสามีภรรยาชราขนของย้ายบ้านในช่วงบ่าย

ความจริงแล้วเถาจืออวิ๋นไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือจากเธอ

แต่เธออยากพาเถาจืออวิ๋นไปดูเหตุการณ์ที่หม่าเทาและชู้รักของเขาถูกขับไล่ออกจากบ้านให้เห็นกับตา เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้สบายใจ

ฟางจั๋วหรานคีบผักโขมวางลงในชามของเธอ “คุณไปทำธุระของคุณเถอะ ผมกับจั๋วเยวี่ยจะเข้ามาช่วยขนของเอง พรุ่งนี้ผมกับน้องมีวันหยุดตรงกันพอดี”

คุณย่าฟางครุ่นคิดก่อนจะเสนอบางอย่างกับหลินม่าย “ฉันเห็นว่าในแต่ละวันเธองานยุ่งมาก ในเมื่อฉันกับคุณปู่จะย้ายเข้าไปอยู่ที่คฤหาสน์ของจั๋วหรานแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็พาโต้วโต้วกับอาหวงไปอยู่ด้วยกันเสียเลยเป็นไง เธอจะได้มีสมาธิกับการเรียนและการทำงานมากขึ้น”

หลินม่ายส่ายหน้าและปฏิเสธ “การดูแลเด็กเล็กเป็นงานหนักค่ะ ฉันควรดูแลหล่อนด้วยตัวเองดีกว่า”

คุณย่าฟางไม่เห็นด้วย “เลี้ยงลูกของคนอื่นอาจจะเหนื่อย แต่การเลี้ยงโต้วโต้วไม่ใช่เรื่องที่หนักหนาอะไรเลย โต้วโต้วนิสัยดีมาก แถมยังมีอาหวงคอยวิ่งเล่นเป็นเพื่อนเธออีกตัว พวกเราแค่เฝ้ามองเธอจากข้างสนาม จะเอาอะไรมาเหนื่อยกัน? นอกจากนี้ มีโต้วโต้วอยู่ด้วยทั้งคน ฉันกับคุณปู่ก็จะไม่รู้สึกเงียบเหงาเกินไปด้วย”

คุณปู่ฟางช่วยคุณย่าฟางโน้มน้าวอีกแรง

ท้ายที่สุดหลินม่ายก็ยอมตกลง ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะจ้างแม่บ้านมาคอยดูแลคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่เหนื่อยเกินไป

หลังกินข้าวเสร็จ ฟู่เฉียงก็ทิ้งแม่เสียสติของเขาให้อยู่ที่บ้าน แล้วออกไปส่งอาหารกลางวันให้พ่อตามลำพัง

ทันทีที่โต้วโต้ววางตะเกียบลง เธอก็รีบวิ่งลงไปชั้นล่างเพื่อดูจักรยานที่ฟางจั๋วหรานซื้อให้หลินม่าย

ฟางจั๋วหรานซื้อจักรยานแม่บ้านที่มีแถบโค้ง ซึ่งเป็นจักรยานประเภทที่หาซื้อได้ยากในยุคนี้

ถึงแม้จะเป็นจักรยานที่มีขนาดเล็กที่สุด แต่ก็มีความสูงพอประมาณ ทั้งยังแข็งแรงทนทานกว่าจักรยานแม่บ้านในสมัยชาติก่อนของหลินม่าย ขณะที่โครงสร้างเล็กกว่าจักรยาน 28 ลงมาหน่อย

เด็กหญิงตัวน้อยรบเร้าจะให้หลินม่ายพาเธอออกไปขี่จักรยานเล่น

ฟางจั๋วหรานอุ้มเด็กหญิงขึ้นไปนั่งอยู่บนเบาะหลังของจักรยาน ก่อนจะขึ้นควบตรงเบาะคนขี่ “ช่วงนี้แม่ของหนูทำงานหนักมาก เดี๋ยวอาจะพาหนูไปเที่ยวเอง”

พูดจบแล้วเขาก็ถีบจักรยานออกไป พาโต้วโต้วแล่นฉิวปะทะลมแรงประมาณครึ่งชั่วโมง ก่อนจะวกกลับมา

หลินม่ายใช้เวลาว่างอ่านหนังสืออยู่ที่บ้านจนเกือบบ่ายสอง จากนั้นก็พาแม่ของฟู่เฉียงไปโรงพยาบาลเพื่อพบรองศาสตราจารย์ไต้

คุณหมอไต้อ่านผลตรวจร่างกายของแม่ฟู่เฉียง หลังจากนั้นคิ้วสองข้างของเขาก็แทบจะย่นมากองรวมกัน

หลินม่ายเหลือบมองไปทางแม่ฟู่เฉียงที่กำลังยิ้มเหมือนคนโง่ที่มีความสุขตลอดเวลา ถามด้วยความกระวนกระวาย “ผลออกมาร้ายแรงมากเลยเหรอคะ?”

คุณหมอไต้ทำหน้าเครียด “หล่อนมีเนื้องอกในสมอง แถมก้อนเนื้อยังมีขนาดใหญ่มาก ภาวะอาการต้องร้ายแรงแน่อยู่แล้ว ผมแค่สงสัย…”

“มีอะไรน่าสงสัยคะหมอ?”

คุณหมอไต้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “ผมสงสัยว่าคนไข้ไม่ได้มีอาการป่วยทางจิต”

หลินม่ายอึ้งงัน “คุณหมอรู้ได้ยังไงคะ?”

คุณหมอไต้ยิ้ม “ต้องมาจากผลการตรวจร่างกายพวกนี้แน่อยู่แล้ว”

เขาชี้ไปที่เอกสารผลตรวจเหล่านั้น แล้วแสดงให้หลินม่ายดู “ดูผลตรวจพวกนี้สิ ข้อมูลจากการทดสอบทุกรายการระบุตรงกันว่าปกติ หมายความว่าหล่อนไม่มีอาการป่วยทางจิตแต่อย่างใด”

หลินม่ายได้แต่กะพริบตาปริบๆ

เธออ่านภาษาอังกฤษทั้งหมดที่อยู่บนผลตรวจออกก็จริง แต่เธอไม่รู้ว่าในทางการแพทย์แล้ว ศัพท์พวกนั้นหมายความว่าอะไรบ้าง

ยิ่งลายมือของหมอที่ตวัดติดกันเป็นเกลียวคลื่น เธออ่านไม่ออกจริง ๆ!

แต่ถ้าคุณหมอไต้บอกว่าผลตรวจออกมาเป็นปกติ งั้นก็คงปกติตามนั้นแหละมั้ง

เธอถามด้วยความสงสัย “แล้วทำไมผู้ป่วยถึงได้แสดงอาการเหมือนเป็นผู้ป่วยทางจิตแบบนี้ล่ะคะ?”

คุณหมอไต้หยิบแผ่นอัลตราซาวน์สมอง B ขึ้นมา ชี้ไปที่เงามืดในรูปแล้วอธิบายว่า

“ผมสันนิษฐานว่าการที่คนไข้มีอาการทางจิต เป็นเพราะมีต้นตอมาจากเนื้องอกก้อนนี้ ถ้าสามารถผ่าตัดเอาเนื้องอกออกได้ ก็มีโอกาสสูงมากที่อาการของหล่อนจะกลับมาเป็นปกติ”

หลินม่ายประหลาดใจมากจนดวงตาเบิกกว้างเกือบเท่าลูกวอลนัท “มีแบบนี้ด้วยหรือคะเนี่ย?”

คุณหมอไต้พยักหน้ายืนยัน “ใช่! ผมเคยเจอเคสนี้มาบ้าง แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นน้อยครั้งในผู้ป่วย เท่าที่จำได้เหมือนจะมีแค่สองเคส”

หลินม่ายถามต่อ “หลังจากคนไข้ทั้งสองเคสของคุณหมอผ่าตัดเอาเนื้องอกออกแล้ว อาการทางจิตก็หายเป็นปลิดทิ้งงั้นเหรอคะ?”

คุณหมอไต้พยักหน้าอีกครั้ง “คนไข้ที่ประสบความสำเร็จในการผ่าตัดหายเป็นปกติ แต่คนไข้อีกรายไม่มีโอกาสได้ลุกขึ้นจากเตียงผ่าตัด”

หลินม่ายครุ่นคิดตาม ก่อนจะถามว่า “คุณหมอหมายความว่าการผ่าตัดเอาเนื้องอกในสมองออก ค่อนข้างเสี่ยงอันตรายใช่ไหมคะ?”

“เพราะมันเป็นเส้นประสาทที่ไวต่อแรงกด จึงทำหัตถการได้ยาก ในระหว่างที่ผ่าตัดหมอต้องคอยระวังไม่ให้สัมผัสโดนเส้นประสาทหรือทำให้เนื้องอกแตกเสียก่อน”

จากนั้นคุณหมอไต้ก็โบกมือ “อย่าเพิ่งคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ก่อนอื่นคุณต้องตรวจสอบให้แน่ชัด ว่าเนื้องอกก้อนนี้ไม่ใช่เนื้อร้ายที่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ถ้าผลตรวจชี้ชัดว่าเป็นมะเร็งก็ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดอีก เปลี่ยนไปรักษาแบบอนุรักษนิยม ให้คนไข้ได้ใช้ชีวิตและกินดื่มตามปกติจนถึงวาระสุดท้าย”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

งานโหดหินแบบนี้ต้องถึงมือพี่หมอแล้วหรือเปล่านะ?

ต้องบอกว่าลายมือหมอเหมือนลายแทงสมบัติจริงๆ ค่ะ นับถือเภสัชกรกับพยาบาลเลยที่อ่านออก

ไหหม่า(海馬)