ตอนที่ 399 สอบถามแพทย์เจ้าของไข้

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 399 สอบถามแพทย์เจ้าของไข้

หลินม่ายทำตามคำแนะนำของคุณหมอไต้ พาแม่ของฟู่เฉียงไปที่แผนกวิทยามะเร็ง เพื่อขอให้แพทย์ทำการตรวจสอบอีกครั้ง ให้รู้ว่าเนื้องอกในสมองหล่อนไม่ใช่เนื้อร้ายหรือก้อนเนื้อที่เป็นต้นตอของโรคมะเร็ง

กว่าการตรวจจะเสร็จสิ้น ก็ล่วงเลยบ่ายสามโมงไปแล้ว ผลการทดสอบจะยังไม่ออกมาจนกว่าจะถึงวันมะรืนนี้

หลินม่ายพาแม่ฟู่เฉียงไปที่ตลาดสดฝูตัวตัวเพื่อซื้อผลไม้หลายอย่าง ก่อนจะไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้ออาหารเสริมต่าง ๆ เช่น นมผง และสารสกัดจากนมมอลต์ จากนั้นก็กลับไปที่โรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมพ่อฟู่เฉียง

พ่อฟู่เฉียงเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมาสองวันแล้ว ช่วงนี้เธอยุ่งมาก จึงไม่มีเวลาว่างไปเยี่ยมเขาที่แผนกผู้ป่วยในเลย

ในเมื่อวันนี้มีเวลาว่างแล้ว เธอจึงแวะไปเยี่ยมเขา เพื่อสอบถามแพทย์เจ้าของไข้ถึงอาการป่วยของพ่อฟู่เฉียง

ถึงก่อนหน้านี้ฟู่เฉียงจะรายงานผลตรวจเบื้องต้นของผู้เป็นพ่อให้เธอฟังแล้วก็ตาม แต่หลินม่ายกังวลว่าเขาอาจรับฟังรายละเอียดมาไม่ครบ ดังนั้นจึงต้องสอบถามคุณหมอด้วยตัวเอง

เมื่อหลินม่ายพาแม่ฟู่เฉียงไปที่วอร์ดผู้ป่วยในซึ่งพ่อของฟู่เฉียงอยู่ เห็นว่าเขากำลังนอนหลับ โดยที่มีฟู่เฉียงนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง มองผู้เป็นพ่อด้วยสายตาห่วงหาอาทร

ในวอร์ดเดียวกัน โต๊ะข้างเตียงของผู้ป่วยรายอื่นเต็มไปด้วยอาหารเสริมและผลไม้

มีแค่โต๊ะข้างเตียงของพ่อฟู่เฉียงเท่านั้นที่สะอาด ว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย แสดงให้เห็นถึงฐานะของพวกเขา

หลินม่ายร้องเรียกฟู่เฉียงเสียงเบา

ฟู่เฉียงเรียกสติกลับมาด้วยอาการงุนงง เงยหน้าขึ้นแล้วทักทายกลับ “อาม่ายจื่อ”

เขารีบลุกขึ้นยืน แล้วเชิญให้หลินม่ายนั่งลง

หลินม่ายจัดแจงให้แม่ฟู่เฉียงนั่งลงแทน จากนั้นก็วางผลไม้และอาหารเสริมทั้งหมดในมือลงบนโต๊ะข้างเตียงพ่อฟู่เฉียง

ทันทีที่เห็นแบบนั้น ฟู่เฉียงก็ตั้งท่าจะผลักข้าวของพวกนั้นคืนให้หลินม่ายทันที “อาครับ คุณช่วยเหลือครอบครัวของพวกเรามามากพอแล้ว ผม… รับของพวกนี้จากคุณไม่ได้จริง ๆ!”

หลินม่ายกวาดสายตามองแล้วเห็นว่าผู้ป่วยคนอื่น ๆ ในวอร์ดเดียวกันต่างก็กำลังนอนพักผ่อนอยู่บนเตียง กลัวว่าจะรบกวนพวกเขา จึงลดเสียงลงต่ำ

“ฉันไม่ได้ช่วยเหลือครอบครัวเธอฟรี ๆ ค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดถือเสียว่าฉันจ่ายล่วงหน้า เธอค่อยหามาใช้คืนทีหลัง อาหารเสริมกับผลไม้พวกนี้ก็เหมือนกัน ถ้ายังยืนกรานจะคืนให้ฉันอีก ก็เท่ากับทำให้ฉันเสียน้ำใจ!”

แม่ฟู่เฉียงที่นั่งนิ่ง ๆ อย่างเชื่อฟังอยู่บนเก้าอี้ เห็นว่าลูกชายตัวเองพยายามจะคืนผลไม้และอาหารเสริมพวกนั้นให้หลินม่าย หล่อนก็เริ่มกระสับกระส่ายขึ้นมาทันที

หล่อนลุกขึ้นยืน ใช้มือทั้งสองข้างกดข้าวของพวกนั้นไว้แน่นหนา พูดอย่างไม่เกรงใจ “ของพวกนี้… ของพ่อลูก”

ฟู่เฉียงตกตะลึงไปเล็กน้อย เพราะก่อนหน้านี้แม่เสียสติของเขาแทบจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพ่อของเขาเป็นสามีของตัวเอง

ตอนนี้ดูเหมือนว่าหล่อนจะจดจำอะไรได้ราง ๆ แล้ว เมื่อรู้ว่าผู้ชายที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยคือพ่อของลูก หล่อนจึงพยายามจะเก็บอาหารเสริมและผลไม้ตรงหน้าไว้ให้เขา

เมื่อผู้เป็นแม่ไม่ยอมง่าย ๆ และอาม่ายจื่อปฏิเสธไม่รับข้าวของที่ตัวเองตั้งใจจะมอบให้กลับคืน ฟู่เฉียงจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับไว้

ถึงแม้อีกหน่อยเขาต้องทำงานหาเงินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลคืนให้หลินม่าย แต่หล่อนก็อุตส่าห์จ่ายเงินเพื่อช่วยต่อชีวิตให้พ่อกับแม่ของเขา นี่ถือเป็นบุญคุณอันยิ่งใหญ่!

แม่ฟู่เฉียงเป็นเพียงคนวิกลจริต แน่นอนว่าหล่อนฟังคำพูดของฟู่เฉียงไม่เข้าใจ

ดังนั้นเขาจึงถามหลินม่ายอย่างตรงไปตรงมา “คุณอา ตอนที่คุณพาแม่ผมไปหาคุณหมอ คุณหมอบอกว่ายังไงบ้างครับ?”

หลินม่ายถ่ายทอดคำวินิจฉัยของคุณหมอไต้ให้ฟู่เฉียงรับรู้โดยละเอียด

ฟู่เฉียงประหลาดใจมาก แต่ก็ยังกังวล

ถือเป็นข่าวดีที่แม่ของเขาไม่ได้มีอาการป่วยทางจิต แต่เป็นเพราะเนื้องอกไปกดทับเส้นประสาทในสมองไว้ ทำให้หล่อนแสดงอาการออกมาแบบนั้น

แต่ที่น่ากังวลคือ ถ้าก้อนเนื้อในสมองแม่เกิดเป็นเนื้อร้ายขึ้นมาล่ะ?

หลินม่ายให้กำลังใจเขาในแง่ดี บอกว่าต่อให้เป็นเนื้อร้ายก็ต้องทำการรักษาอย่างถึงที่สุด ตอนนี้ทำได้เพียงภาวนาให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้น

หลังออกมาจากวอร์ด หลินม่ายก็ขอพบแพทย์เจ้าของไข้ของพ่อฟู่เฉียง เพื่อสอบถามเกี่ยวกับอาการในปัจจุบันของเขา

คุณหมอเจ้าของไข้ถาม “คุณเป็นอะไรกับคนไข้?”

เขาจะบอกข้อมูลเกี่ยวกับอาการป่วยให้เฉพาะสมาชิกในครอบครัวของผู้ป่วยเท่านั้น ไม่บอกบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องสุ่มสี่สุ่มห้า

หลินม่ายตอบ “เป็นน้องสาวค่ะ”

คุณหมอเจ้าของไข้ประหลาดใจมากจนลูกตาแทบจะถลนออกมาจากเบ้า

นึกไม่ถึงเลยว่าสองพ่อลูกที่ยากจนและสู้ชีวิตอย่างน่าทรหดคู่นั้น จะมีญาติที่สวยสง่าและดีกับพวกเขาขนาดนี้

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมสองพ่อลูกที่น่าสงสารถึงมีเงินมารักษาตัว ที่แท้ก็มีญาติคอยให้ความช่วยเหลืออยู่นี่เอง

ทุกวันนี้ ญาติผู้ป่วยส่วนใหญ่ต่างก็รังเกียจคนจนและรักคนรวยกันทั้งนั้น!

ทันใดนั้นคุณหมอเจ้าของไข้ก็กระตือรือร้นขึ้นมาทันที

เขาเห็นว่าหลินม่ายดูเป็นคนมีความรู้ ดังนั้นจึงบอกทุกอย่างให้เธอฟังอย่างละเอียด

สิ่งที่คุณหมอบอก ตรงกันกับที่ฟู่เฉียงนำมาเล่าต่อให้หลินม่ายฟัง

ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือ ตราบใดที่แพทย์ตรวจพบว่าเชื้อไวรัสที่ว่าเป็นเชื้อชนิดไหน พ่อฟู่เฉียงก็มีโอกาสสูงที่จะรักษาให้หายขาด เพียงแต่ต้องขอรับการสนับสนุนทางการแพทย์

เรียกอย่างไพเราะว่าขอสนับสนุนทางการแพทย์ พูดตรง ๆ ก็คือต้องใช้เงินรักษาจำนวนมาก

เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา หลินม่ายสามารถจ่ายได้อยู่แล้ว

เธอไม่คำนึงด้วยซ้ำว่าในอนาคตฟู่เฉียงจะมีปัญญาหาเงินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลจำนวนมหาศาลคืนหรือเปล่า

ขอแค่อาการเจ็บป่วยของพ่อแม่เขาหายเป็นปกติ ชีวิตครอบครัวของพวกเขาถึงจะพัฒนาขึ้น

หลังออกจากโรงพยาบาล หลินม่ายก็กลับไปที่บ้าน โทรศัพท์หาจ้าวเลี่ยงซึ่งถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการตลาดสดฝูตัวตัวคนใหม่โดยเฉินเฟิง

เธอขอให้เขาช่วยส่งคนไปที่เมืองซื่อเหม่ยเพื่อรับซื้อผลผลิตทางการเกษตรในวันพรุ่งนี้ ที่สำคัญคือสั่งให้เขากว้านซื้อหอยโข่งจำนวนสามร้อยชั่งมาส่งให้ร้านเซาเข่าเหรินเจียนเยียนหั่วด้วย

หลังจากวางสาย เธอก็กลับมาจดจ่ออยู่กับการทบทวนบทเรียน

ช่วงนี้ ถึงแม้ว่าเธอจะพยายามอ่านทบทวนหลักสูตรทั้งหมดตลอดปีการศึกษาของชั้นมัธยมปีที่สี่ แต่ทางโรงเรียนก็ไม่ได้จัดสอบ ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไร

เธอต้องหาซื้อเอกสารการสอนอีกสองสามชุดที่ต้องใช้เรียนในชั้นปีอื่น ๆ ถึงจะรู้ระดับความสามารถของตัวเอง

ยุคสมัยนี้ ร้านหนังสือซินหัวมีเอกสารชุดข้อสอบเสมือนจริงของชั้นมัธยมปีที่หกขายก็จริง แต่ไม่มีชุดข้อสอบของชั้นมัธยมปีที่สี่กับห้าวางขาย

ถ้าอยากได้เอกสารชุดข้อสอบเสมือนจริงของชั้นมัธยมปีที่สี่และห้า ต้องไปค้นเอาจากโรงงานกำจัดขยะท่าเดียว

เนื่องจากในแต่ละชั้นปี ผู้ปกครองของนักเรียนหลายคนต่างก็เอาสมุดการบ้านและหนังสือเรียนที่ไม่ได้ใช้แล้วของบุตรหลานมาขายทิ้งให้กับโรงงานกำจัดขยะ

หลินม่ายตั้งใจว่าวันพรุ่งนี้ค่อยแวะไปที่โรงงานกำจัดขยะเพื่อค้นหาเอกสารการสอนของชั้นมัธยมปีที่สี่

วันรุ่งขึ้น ถึงจะเป็นวันอาทิตย์ แต่ทุกคนก็ยังสมัครใจที่จะทำงานล่วงเวลา

หลังกินข้าวมื้อเช้าเสร็จ หลินม่ายก็ไปที่โรงงานตัดเสื้อ เรียกประชุมหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการของโรงงานเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับยอดขายเสื้อผ้าแบรนด์ Unique และหมวกจากร้านไป๋เหอโถวซื่อ

เหรินเป่าจูรายงานว่า “เนื่องจากร้าน Unique มีการติดแผ่นป้ายโปสเตอร์สีสันสดใส ลูกค้าที่ขึ้นมาบนชั้นสองของห้างจึงมองเห็นโปสเตอร์ขนาดใหญ่รอบร้าน รวมถึงข้อความโฆษณาบนนั้นอย่างชัดเจน ลูกค้าหลายคนถูกดึงดูดอย่างตรงจุด เสื้อผ้าแบรนด์ Unique เลยขายดีเป็นพิเศษ จากบรรดาเสื้อผ้าทั้งหมด กระโปรงเอี๊ยมยีนเป็นสินค้าที่ขายดีที่สุด รองลงมาคือเสื้อเชิ้ตหลาย ๆ แบบ”

ขณะที่เหรินเป่าจูกำลังพูดอยู่นั้น เธอก็แสดงผลสรุปยอดขายของเมื่อวานให้หลินม่ายดู

หลังจากพวกเขาทำการเปิดสาขาใหม่ในห้างสรรพสินค้าอีกหกแห่ง ควบคู่ไปกับโปรโมชันส่งเสริมการขายในช่วงเปิดเทอม ยอดขายเสื้อผ้าจึงพุ่งกระฉูด สูงที่สุดในประวัติศาสตร์การขายในอดีตถึงสามเท่า

แต่หลินม่ายยังกังวลเล็กน้อยว่ากำลังการผลิตสินค้าอาจไม่สอดคล้องกับยอดขาย จึงหันไปถามเถาจืออวิ๋น “โรงงานตัดเสื้อชุนเหล่ยสามารถผลิตสินค้าให้เราได้จริง ๆ ใช่ไหม?”

“ได้แน่นอน” เถาจืออวิ๋นยืนยัน “โรงงานขนาดใหญ่ที่มีพนักงานสี่ถึงห้าร้อยคน ทำงานสลับกันสองกะ ต้องรองรับภาระการผลิตสินค้าที่มากขึ้นได้อยู่แล้ว”

หลินม่ายได้ยินแล้วก็โล่งใจ

เหรินเป่าจูรายงานต่อ “ตั้งแต่โรงงานไป๋เหอโถวซื่อถูกโฆษณาผ่านรายการข่าวท้องถิ่น ยอดขายของเมื่อวานก็ได้ผลตอบรับที่ดีมาก ถึงอย่างนั้นเมื่อวานหน้าร้านก็เพิ่งจะเปิดตัวเป็นวันแรก จึงยังสรุปไม่ได้ว่าเครื่องประดับศีรษะแบบไหนขายดีที่สุด ฉันกลัวว่าอุปสงค์อาจมากกว่าอุปทาน เลยอนุญาตให้พนักงานเอางานกลับไปทำล่วงเวลาที่บ้านได้ ส่วนค่าแรงล่วงเวลาจะถูกคำนวณจากงานเป็นรายชิ้น”

หลินม่ายพยักหน้า “ดี”

พอนึกขึ้นได้ว่าจวนจะถึงวันที่ 30 สิงหาคมแล้ว ซึ่งถึงเวลาที่โรงเรียนอนุบาลต้องเปิดรับสมัครนักเรียน หลินม่ายจึงพูดกับเหรินเป่าจูว่า “ฝากคุณช่วยประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านแถวนี้หน่อย รวมถึงติดประกาศรับสมัครนักเรียนของโรงเรียนอนุบาลเสี่ยวหงฮวาไว้หน้าประตูโรงงานเราด้วย”

เหรินเป่าจูถาม “กำหนดวันรับสมัครนักเรียนเมื่อไหร่ดีคะ? อัตราค่าเล่าเรียนด้วย?”

ถ้าไม่มีสองข้อมูลสำคัญนี้ หล่อนคงร่างประกาศรับสมัครไม่ได้

หลินม่าย “ประกาศรับสมัครนักเรียนในวันที่ 30 สิงหาคมถึง 2 กันยายน ส่วนเรื่องค่าเล่าเรียน คุณลองประเมินอัตราที่เหมาะสมดูก็แล้วกัน แล้วค่อยมารายงานให้ฉันทราบ อย่าเอาแต่ถามฉันไปซะทุกอย่าง ต่อไปนี้ไม่ว่าใครก็ตาม ให้ทำงานที่ได้รับมอบหมายจนเสร็จด้วยตัวเอง ฉันมีหน้าที่แค่ตรวจสอบในขั้นตอนสุดท้าย เข้าใจไหมคะ?”

ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นตอบพร้อมกัน “เข้าใจแล้วค่ะ”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ขอให้ไม่ใช่เนื้อร้ายเถอะ แค่นี้ครอบครัวนี้ก็น่าสงสารพอแล้ว

ไหหม่า(海馬)