บทที่ 306 ปีศาจคลั่งหลานชาย (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 306 ปีศาจคลั่งหลานชาย (1)

ไท่จื่อที่อยู่ในห้องหนังสือกำลังเรียนวิชาสุดท้ายของเขาในวันนี้

อันที่จริงเซียวลิ่วหลังสอนได้ดีมาก ความหมายลึกซึ้งแต่ใช้ภาษาที่เรียบง่าย อ้างอิงตำรามากมายหลากหลาย ไม่น่าเบื่อเลยสักนิด เมื่อเทียบกับการสอนของบัณฑิตหานแล้ว นี่สดใสและเข้าใจง่ายยิ่งกว่า

ไม่ได้หมายความว่าความรู้ความสามารถของบัณฑิตหานสู้เซียวลิ่วหลังไม่ได้ เซียวลิ่วหลังมีเด็กน้อยตัวแสบอยู่ที่บ้าน ยามสอนเสิรมให้พวกเขา หากเจอเนื้อหาซับซ้อนเพียงนิดหน่อย เจ้าสามแสบก็จะพากับเหม่อลอย

ส่วนไท่จื่อเองก็เหม่อลอยอยู่บ่อยเช่นกัน เพราะยามเห็นใบหน้าเซียวลิ่วหลังก็อดนึกถึงเซียวเหิงที่จากโลกนี้ไปแล้วไม่ได้

“ไท่จื่อ โปรดแปลใจความประโยคเมื่อครู่ด้วย” เซียวลิ่วหลังเอ่ยเรียกสติที่ล่องลอยครั้งที่สิบเจ็ดของไท่จื่อขึ้น

ไท่จื่อชะงักไป “หืม”

เซียวลิ่วหลังเอ่ยทวนอีกหน

ไท่จื่อชะงัก

เมื่อครู่เขาไปคิดถึงเซียวเหิงเข้า ได้ฟังที่เขาพูดที่ไหนกัน

เซียวลิ่วหลังที่ยืนอยู่บนแท่นบรรยาย วางหนังสือลงและเอ่ยขึ้น “ไท่จื่อไม่เข้าใจ เช่นนั้นข้าจะอธิบายอีกรอบ”

ไท่จื่อมึนงงไปหมด ถึงเวลามื้อกลางวันแล้ว แต่เพราะตัวเองเอาแต่ใจลอยจึงทำให้เรียนเนื้อหาไม่จบเสียที หากเป็นขุนนางบุ๋นคนอื่นป่านนี้ปล่อยให้เลิกเรียนไปนานแล้ว พวกเขาไม่กล้าปล่อยให้ไท่จื่อหิวหรอก

แต่เซียวลิ่วหลังดันแข็งทื่อซื่อตรงยิ่งนัก จะต้องสอนให้จบให้ได้

ไท่จื่อจึงฝืนทนฟังจนจบ

เมื่อตั้งใจฟังอย่างถี่ถ้วนแล้วก็ยังคงเก็บเกี่ยวได้มาไม่น้อย อย่างน้อยๆ เขาก็แปลความหมายได้อีกรอบแล้ว

เซียวลิ่วหลังถามจุดสำคัญที่เรียนไปทั้งหมดในวันนี้อีกหน เดิมทีไท่จื่อคิดว่าตัวเองไม่ได้ฟัง ผลสุดท้ายคิดไม่ถึงว่าจะตอบได้หมดเลย เขาเองก็แปลกใจเช่นกัน

นี่เขาฟังเข้าใจตั้งแต่เมื่อใดกันน่ะ

วิชานี้เขาเอาแต่ใจลอยไปหาเซียวเหิงตลอดเลยมิใช่รึ

เซียวลิ่วหลังเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อน “วันนี้พอแค่นี้ ไท่จื่อโปรดจดการบ้านด้วย”

“มีการบ้านด้วยรึ” ไท่จื่อขมวดคิ้วมองเขา บังอาจนัก แก่กล้ามาจากไหนกัน ก็แค่มาสอนชั่วคราวเท่านั้น คิดว่าตัวเองเป็นอาจารย์ของไท่จื่อจริงๆ น่ะรึ

ดีร้ายอย่างไรไท่จื่อก็เป็นโอรสสายตรงของฮ่องเต้ เป็นว่าที่กษัตริย์ในอนาคต เขามีชาติกำเนิดที่น่าภาคภูมิใจ เขาไม่ชอบไอ้เป๋ที่มาจากครอบครัวยากจนอย่างเซียวลิ่วหลัง แน่นอนว่าอาจจะเป็นเพราะอารมณ์ซับซ้อนในจิตใจที่มีต่อเซียวเหิง ทำให้เขาเอาอารมณ์บางส่วนที่มีต่อเซียวเหิงไปโยนใส่เซียวลิ่วหลัง

เขาเอ็นดูเซียวเหิงอย่างนั้นรึ

แน่นอนว่าเอ็นดู

พี่น้องในวังหลวงมีมากมาย แต่ก่อนที่เสี่ยวชีจะเกิด เขาไม่มีพี่น้องที่แท้จริงเลยสักคน

พวกเขาต่างอยากจะได้ตำแหน่งของเขา ต่อหน้าประจบเอาใจเขา ลับหลังกลับอิจฉาและสาปแช่งเขา

น้องชายที่เขาเห็นเป็นน้องเพียงคนเดียวก็คือเซียวเหิง

เซียวเหิงเป็นคนที่เก่งกาจ ตอนเขาห้าขวบกลับเรียนหนังสือได้ดีกว่าเขาแท้ๆ กาพย์กลอนก็ท่องได้เก่งกว่าเขา แม้แต่รูปร่างหน้าตาก็ยังรูปงามกว่าเขาด้วยซ้ำ

เขาคิดว่านี่เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา ภายหน้าก็จะมาเป็นขุนนางของเขา เก่งกาจก็เป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง

เขาไม่เคยอิจฉาอีกฝ่ายเลย จนกระทั่ง…เขาได้เจอเวินหลินหลัง

ตอนนั้นเขาอายุสิบสาม เวินหลินหลังสิบเอ็ด

เขาก็แค่เป็นเด็กหนุ่มที่ยังเด็กอยู่ซึ่งผ่านโลกมาไม่มากคนหนึ่ง ไม่เข้าใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ระหว่างชายหญิง แต่ที่น่าแปลกคือเมื่อเจอเวินหลินหลังแวบแรกเขาก็รู้สึกว่านี่คือไท่จื่อเฟยที่เขาจะสู่ขอในอนาคต

เสด็จแม่มักจะเรียกพวกลูกสาวขุนนางใหญ่เข้าวังมาเป็นเพื่อน คนเหล่านั้นเขาไม่ชอบสักคน

หากจะต้องมีใครสักคนร่วมเดินไปบนเส้นทางสู่การเป็นฮ่องเต้กับเขาแล้วละก็ เขาหวังว่าคนๆ นั้นจะเป็นเวินหลินหลัง

“เจ้าชื่ออะไรรึ”

“ข้า…”

“พี่หลินหลัง!”

เซียวเหิงน้อยวัยแปดปีวิ่งมาด้วยสีหน้าไร้เดียงสา เอียงศีรษะน้อยๆ มองเวินหลินหลังแล้วมองมายังเขา “พี่ไท่จื่อมาแล้วรึ ข้าจะแนะนำให้นะ นี่คือพี่หลินหลัง พี่หลินหลังนี่คือพี่ไท่จื่อ”

“ถวายบังคมไท่จื่อ!”

นางรีบคุกเข่าลงคำนับ

จากนั้นนางก็จูงมือเซียวเหิงเดินจากไป เดินไปพลางยังเช็ดเหงื่อเต็มหน้าผากให้เซียวเหิงด้วย เขาได้ยินนางกระซิบสอนว่า “อาเหิงต่อไปนี้อย่าไปปีนต้นไม้อีกนะ อันตรายนัก”

“แต่ข้าอยากเด็ดผลไม้มาให้เจ้ากินนี่นา เจ้าชอบกินมิใช่หรือ”

“แต่ข้าชอบที่อาเหิงสบายดีมากกว่า ไม่อยากให้อาเหิงบาดเจ็บ”

“อ๋อ”

พอเขากลับวังมาก็มาบอกเสด็จแม่ว่าเขาชอบพี่หลินหลังของอาเหิง แต่เสด็จแม่กลับบอกเขาอย่างจริงจัง “นางเป็นว่าที่คู่หมั้นของอาเหิง นางเคยช่วยชีวิตอาเหิงไว้ ได้หมั้นได้หมายกันไว้ตั้งนานแล้ว เจ้าเป็นพี่ จะแย่งเจ้าสาวของน้องไม่ได้”

“ไท่จื่อ ไท่จื่อ!”

เสียงของเซียวลิ่วหลังขัดความคิดของไท่จื่อขึ้น

ไท่จื่อตกใจจนเหงื่อผุดซึมเต็มหน้า

เขามองเซียวลิ่วหลังอย่างรู้สึกผิด น่ากลัวเกินไปแล้ว คนผู้นี้เหมือนเซียวเหิงยิ่งนัก

เสด็จพ่อคิดอะไรอยู่กันนะ

ให้เขามาสอนตนเช่นนี้ ไม่กลัวว่าตนจะฝันร้ายบ้างหรือไร

ไท่จื่อตั้งสติ ก่อนจะยึดมั่นในกิริยาท่าทางของรัชทายาทและความสุขุมเยือกเย็นอันดีงามต่อ ข่มความใจร้อนและความไม่สบายใจเอาไว้แล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงปกติ “การบ้านเมื่อครู่นี้ข้าจำไม่ได้ รบกวนเซียวซิวจ้วนบอกอีกรอบที”

ไท่จื่ออกมาจากห้องหนังสือด้วยเหงื่อท่วมร่าง

พวกขันทีและนางกำนัลที่ยืนรออยู่หน้าประตูรีบเดินมาหา แล้วส่งผ้ากับพัดให้

โชคดีที่ตอนนี้เป็นช่วงฤดูร้อน เหงื่อออกก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

มีเพียงไท่จื่อที่รู้อยู่แก่ใจว่าที่ตัวเองเหงื่อออกนี้ส่วนมากเป็นเหงื่อเย็นทั้งสิ้น

เซียวลิ่วหลังเดินออกจากห้องหนังสือด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

ไท่จื่อกวาดตามองไม้เท้าของเขาแวบหนึ่ง

เซียวเหิงหลงตัวเองมากและไม่สนใจสายตาของคนอื่น ตอนเด็กๆ ที่ฟันหน้าเขาร่วงไปสองซี่ เขาเอาแต่ปิดปากเงียบไม่พูดกับใครครึ่งปีเต็มๆ

เขาไม่มีทางให้ตัวเองขาเป๋แบบนี้ได้หรอก ต่อให้เป็นเขาก็ยอมนั่งรถเข็นดีกว่ามาเดินกะเผลกๆ ใต้แสงตะวันเช่นนี้

ไม่ใช่เซียวเหิงหรอก

เขาไม่ใช่

ทางด้านซูเฟยที่นั่งเกี้ยวออกจากตำหนักฉางชุน

ฮ่องเต้กำลังตรวจฎีกาอยู่ในห้องหนังสือ จู่ๆ ได้ยินเว่ยกงกงมารายงานว่า “ฝ่าบาท ซูเฟยเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “ตอนนี้น่ะรึ”

ถึงมื้อกลางวันพอดี

ฮ่องเต้มองเซียวฮองเฮาที่รอเขาอยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง ก่อนจะกระแอมเอ่ยกับเว่ยกงกง “ให้ซูเฟยเข้ามา”

“พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงสาวเท้าออกไป

เซียวฮองเฮาไม่เอ่ยอะไรสักคำ เอาแต่นั่งจิบชาบนเก้าอี้ตรงข้ามเงียบๆ

ส่วนฉินฉู่อวี้กำลังเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น

เขากำลังฝึกวิชาคางคก นี่เป็นท่าที่เขาเห็นในหนังสือนิทานในกั๋วจื่อเจียนของพวกเขา ว่ากันว่าวิชาพรรค์นี้ร้ายกาจมาก เรียนสำเร็จแล้วก็จะสามารถต่อสู้กับคนชั่วให้หนีกระเจิงได้

เขากำลังแสดงฝีมือของตัวเองให้เสด็จพ่อดูอยู่ และบอกกับเสด็จพ่อว่าตัวเองก็ปกป้องคนของเขาได้เหมือนกัน

แต่ฮ่องเต้กลับไม่ได้คิดว่าลูกชายกำลังฝึกวรยุทธ์อยู่ เขาคิดแค่ว่าลูกชายอ้วนเกินไปแล้ว ควรลดน้ำหนักแล้ว กลิ้งไปกลิ้งมาก็ถือว่าเป็นการออกกำลังกาย จึงไม่ได้ว่าอะไรเขา

เดิมทีซูเฟยคิดว่าห้องหนังสือมีแค่ฮ่องเต้คนเดียว ไม่คิดว่าพอเข้าไปจะเห็นกันครบทั้งครอบครัวเลย! “ถวายบังคมฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮา” ซูเฟยข่มความกระอักกระอ่วนใจเอาไว้ แล้วคำนับให้ทั้งสองคน

เซียวฮองเฮาแย้มยิ้ม

ฮ่องเต้ตรัสว่า “เสี่ยวชี”

ฉินฉู่อวี้ที่กลิ้งไปได้ครึ่งทางหันหน้ามามองเสด็จพ่อตัวเองแวบหนึ่ง “เสด็จพ่อ” ก่อนจะเห็นซูเฟยที่อยู่ด้านข้าง “เอ๋ กู้เหนียงเหนียง”

เขาลุกขึ้นคำนับให้ซูเฟยอย่างเกรงอกเกรงใจ “เสี่ยวชีคารวะกู้เหนียงเหนียง”

“เด็กดี” ซูเฟยยิ้มเอ่ย

กลิ้งไปกลิ้งมากับพื้นแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกัน ฮองเฮาเรียนธรรมเนียมมารยาทไปไว้ในท้องวัวหมดแล้วหรือไร นึกไม่ถึงว่าจะสั่งสอนลูกชายเช่นนี้

“ซูเฟยมีธุระอะไรรึ” ฮ่องเต้ตรัสถาม

ธุระน่ะมี แต่จะให้นางพูดต่อหน้าฮองเฮากับองค์ชายเจ็ดได้อย่างไร

“ซูกงกง พาเสี่ยวชีออกไปก่อน” เซียวฮองเฮาเอ่ย

นี่นางคิดจะรั้งอยู่ต่อรึ

“องค์ชายเจ็ด บ่าวไปเล่นลูกหินเป็นเพื่อนท่านด้านนอกเองพ่ะย่ะค่ะ” ซูกงกงยิ้มบอก

ฉินฉู่อวี้หมู่นี้ชอบเล่นลูกหินนัก จึงไปกับซูกงกง

“พวกเจ้าก็ออกไปด้วย” ฮ่องเต้ไล่พวกนางกำนัลที่พัดวีให้เขากับเซียนฮองเฮาอยู่ในห้องให้ออกไป

“เพคะ” พวกนางกำนัลทยอยกันออกไป

เว่ยกงกงเฝ้าหน้าประตูไว้

“ว่ามาสิ เรื่องอะไรรึ” ฮ่องเต้ถามกระชับ

ซูเฟยสีหน้าลังเล

เซียวฮองเฮายิ้มเอ่ย “ดูท่าแล้วคงเป็นเรื่องที่ข้าไม่สะดวกฟังด้วย เช่นนั้นข้าจะมาเยี่ยมฝ่าบาทวันหลังก็แล้วกัน”