บทที่ 306-2 ปีศาจคลั่งหลานชาย (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 306 ปีศาจคลั่งหลานชาย (2)

“ไม่ใช่เพคะ!” ซูเฟยไหนเลยจะกล้าพูดคุยกับฝ่าบาทลับหลังฮองเฮา หากไม่เปิดเผยก็ไม่เป็นไรหรอก แต่พอโจ่งแจ้งแบบนี้ก็ผิดกฎแล้ว

ซูเฟยยิ้มเอ่ย “ข้าไหนเลยจะมีเรื่องปิดบังฮองเฮาได้ เมื่อครู่ข้าแค่คิดอยู่ว่าจะเริ่มอย่างไรดี พอฮองเฮาถามขึ้นมาข้าก็นึกออกทันทีเลย รู้แล้วว่าควรจะเริ่มจากตรงไหน จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ก็ต้องให้ฮองเฮาเป็นพยานให้ด้วยเช่นกัน”

เซียวฮองเฮายกถ้วยชาขึ้น ใช้ฝาถ้วยเขี่ยใบชาไปมาก่อนจะเอ่ย “อ๋อ เรื่องใดรึที่ต้องให้ข้าเป็นพยานให้ด้วย”เรื่องใช้คุณธรรมทำลายญาติแบบนี้ ต่อหน้าฮ่องเต้คือความจงรักภักดี แต่พอเข้าหูคนนอกได้กลายเป็นการเล่าเรื่องฉาวในบ้านสู่ภายนอกแน่

แน่นอนว่าซูเฟยย่อมไม่อยากให้ฮองเฮาเห็นตัวเองเป็นตัวตลกอยู่แล้ว ทว่าธนูออกจากคันชักแล้วจำต้องยิงเท่านั้น นางจึงต้องเปิดโปงกู้เจียวออกไป “…หม่อมฉันก็เพิ่งจะรู้วันนี้ว่าเด็กสาวคนนั้นรู้จักกันกับไทเฮาด้วย”

ซูเฟยไม่ยืนอยู่ฝั่งใดฝั่งหนึ่งในวังนี้ ไม่ประจบจวงกุ้ยเฟยและไม่เข้าฝ่ายเซียวฮองเฮา แต่มีสิ่งหนึ่งที่นางให้ความสำคัญเสมอ นั่นคือนางจะไม่มีทางเข้าใกล้จวงไทเฮาเด็ดขาด

นางพูดเช่นนี้ก็เพราะต้องการเอาตัวเองออกห่าง

แน่นอนว่านางไม่ลืมเอาจวนติ้งอันโหวออกมาด้วย “ตั้งแต่ที่เด็กคนนั้นมาเมืองหลวง ไม่เพียงแต่ไม่มาถวายพระพรข้าเท่านั้น นางยังไม่กลับไปคารวะปู่กับย่าของนางที่จวนเลยด้วย พวกพี่ชายที่บ้านก็เป็นคนแปลกหน้าสำหรับนาง…”

ดังนั้นที่นางสมคบคิดกับไทเฮาจึงไม่มีทางทำเพื่อช่วยจวนอันติ้งโหวแน่นอน

อันที่จริงเซียวฮองเฮาก็จะมาบอกเรื่องนี้เช่นกัน แต่นางไม่ได้รีบร้อนเหมือนซูเฟย นางอยากจะดูท่าทีของฝ่าบาทที่มีต่อเด็กคนนั้นก่อน เรื่องเปลืองแรงเช่นนี้นางไม่มีทางทำอยู่แล้ว

ซ้ำคนในวังก็ปากมาก นางไม่พูดเรื่องในสวนหลวงออกไป ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องลอยเข้าหูฝ่าบาทอยู่ดี

อย่างมากตนก็ไม่ได้ความดีความชอบในการรายงานเรื่องนี้ก็เท่านั้นแหละ

เซียวฮองเฮาเป็นมารดาแห่งแผ่นดิน นางไม่ต้องการความดีความชอบที่สามารถสั่นคลอนตำแหน่งฮองเฮาหรอก ตรงกันข้ามนางจะทำพลาดไม่ได้ มิฉะนั้นจะทำให้ไท่จื่อลำบาก

เซียวฮองเฮาคิดไม่ถึงว่าคนที่มารายงานฮ่องเต้คนแรกจะเป็นซูเฟย

เด็กคนนั้นเป็นหลานสาวแท้ๆ ของซูเฟยเชียวนะ

ก็จริง

นางไม่สนิทกับซูเฟย นางประดิษฐ์เครื่องสูบลมกับปูนได้รับคำชมจากฝ่าบาท แต่ซูเฟยไม่เพียงแต่จะไม่ได้หน้าเพราะนางแล้ว ยังโดนลงโทษเพราะนางด้วย ซ้ำวันนี้องค์ชายห้าก็ถูกนางผลักตกน้ำอีก

แค้นเก่าแค้นใหม่ผสมรวมกัน ซูเฟยไม่อยากทำลายเด็กคนนั้นสิแปลก

เซียวฮองเฮาดื่มชาเงียบๆ ไม่วิพากษ์วิจารณ์อะไรเลยสักคำ

สีหน้าฮ่องเต้เคร่งขรึมขึ้น เขามองไปยังเซียวฮองเฮา “ฮองเฮาก็เห็นหรือ”

เซียวฮองเฮาวางถ้วยชาลง ก่อนถอนหายใจเอ่ย “หม่อมฉันเห็นนางตามไทเฮาไปตำหนักเหรินโซ่วจริงๆ เพคะ ได้ยินว่าไทเฮาไม่สบาย จึงเชิญหมอชาวบ้านมาคนหนึ่ง”

คำว่าเชิญหมอชาวบ้านเอ่ยออกไป สีหน้าฮ่องเต้จึงคลายลง

เขารู้ดีถึงฝีมือการแพทย์ของหมอเทวดาน้อย ชื่อเสียงของเมี่ยวโส่วถังก็ค่อยๆ เลื่องลือขึ้นในเมืองหลวงแล้วด้วย ไทเฮาจะเชิญเข้าวังก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

ซูเฟยรีบเอ่ย “แต่หมอชาวบ้านที่ไหนจะนั่งบนเกี้ยวไทเฮาเพคะ องค์หญิงเคยนั่งแค่ไม่กี่หนเอง”

เซียวฮองเฮาแย้มยิ้ม ไม่เอ่ยคำใดอีก

ฮ่องเต้รู้จักนิสัยของจวงไทเฮาดี นางไม่มีทางให้หมอที่เคยพบแค่หนสองหนมานั่งเกี้ยวหงส์ของตัวเองอยู่แล้ว ซูเฟยพูดถูก องค์หญิงยังเคยนั่งแค่ไม่กี่ครั้งเอง

นั่นต้องเป็นเพราะหญิงแก่ชั่วร้ายนั่นแน่ๆ!

นางคิดจะดึงหมอเทวดาน้อยมาเป็นพวกอย่างนั้นรึ

ฮ่องเต้เอ่ยเสียงขรึม “พวกเจ้ากลับตำหนักไปก่อน เรายังมีเรื่องต้องจัดการ…”

ซูเฟยรู้ดีว่าฮ่องเต้จะไปตรวจสอบความจริงเรื่องนี้ นางไม่กลัวหรอกที่ฮ่องเต้จะไปตรวจสอบ กลัวก็แต่จะไม่ไป

ใครต่อใครก็ต่างเห็นกันว่าเด็กคนนั้นสนิทสนมกับจวงไทเฮายิ่งนัก แค่มองดูก็รู้แล้วว่ามีลับลมคมใน!

ตกค่ำฮ่องเต้เรียกเหอกงกงออกมาจากสำนักพระราชวัง สั่งให้เขาพาคนไปตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างกู้เจียวกับจวงไทเฮา

ความสัมพันธ์ของกู้เจียวกับจวงไทเฮาไม่ได้ตรวจสอบยาก เมื่อก่อนไม่มีใครสังเกตเพราะไม่มีใครสงสัยทั้งคู่ เหอกงกงหาบของแต่งตัวเป็นพ่อค้าไปที่ตรอกปี้สุ่ย เรื่องราวทุกอย่างก็กระจ่างขึ้นทันที

ห้องหนังสือมีแสงไฟริบหรี่ ใบหน้าของฮ่องเต้ถูกสาดส่องเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง เขากำหมัดพลางอย่างอดทน “เจ้าว่าอย่างไรนะ นางเคยช่วยไทเฮาไว้รึ”

“ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ ไทเฮาคือหญิงชราในบ้านนางกับเซียวซิวจ้วน เซียวซิวจ้วนเข้าเมืองหลวงมาสอบ พวกเขาก็ย้ายตามกันมาจากชนบทหมดเลย แต่ว่า…” เหอกงกงหยุดเว้น ไม่รู้ว่าควรบอกดีหรือไม่ว่าตอนอยู่ที่ตรอกปี้สุ่ยจวงไทเฮามีท่าทีไม่เหมือนตอนอยู่ในวังหลวง

ไม่ใช่ว่าไม่แน่ใจลักษณะเฉพาะที่ปรากฏกับภาพตรงหน้า เขาแทบจะคิดว่าท่านย่าของเจียวเจียวจากปากเพื่อนบ้านเป็นหญิงชราชาวชนบทธรรมดาจริงๆ

เรื่องที่ชอบเอาชนะการพนันนั้นจุดนี้กลับสอดคล้องกัน อย่างไรเสียจวงไทเฮาก็เป็นคนที่ไม่เคยยอมเสียเปรียบมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว

เหอกงกงเอ่ยต่อ “บ่าวยังสืบได้อีกว่าช่วงเวลาที่ไทเฮาไปอยู่ที่บ้านพวกเขาเป็นช่วงเวลาไล่เลี่ยกันกับที่ไทเฮาหายตัวไปจากเขาหม่าเฟิงได้ไม่นาน คนของพวกเราขาดร่องรอยไทเฮาที่หมู่บ้านชิงเฉวียน แถมพวกเขาก็ยังเป็นคนในหมู่บ้านชิงเฉวียนอีก”

ฮ่องเต้พลันนั่งลงบนเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง สีหน้าเหลือเชื่อและเจ็บปวดไปหมด “ดังนั้นแล้ว…ก่อนที่จะมาเจอเรา นางได้พบกับไทเฮาแล้ว…”

เหอกงกงถอนใจเอ่ย “เกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น”

ฮ่องเต้ตรัส “แล้วโรคเรื้อนของไทเฮานางก็เป็นคนรักษาให้รึ”

เหอกงกงเอ่ย “บ่าวไม่ทราบ”

แต่เกรงว่าจะใช่

ฮ่องเต้หัวเราะเยาะตัวเอง แววตาเต็มไปด้วยความทุกข์ตรม “ขนาดกามโรคนางยังรักษาหายได้ โรคเรื้อนจะรักษาไม่ได้หรือไร เราน่าจะคิดได้ตั้งนานแล้ว แผ่นดินนี้นอกจากนาง…ใครจะรักษาโรคเรื้อนให้ไทเฮาได้อีก! เราแค่ไม่อยากเดาว่าเป็นนางเท่านั้น!”

“ฝ่าบาท…” เว่ยกงกงที่อยู่ด้านข้างมองสีหน้าฮ่องเต้ที่แทบจะเสียสติ พลางเป็นห่วงอยู่ในใจ

ดวงตาฮ่องเต้แดงก่ำทั้งสองข้าง

เขามีความรู้สึกพิเศษต่อกู้เจียวเป็นอย่างมาก

ไม่ใช่ความรักฉันชู้สาว แต่ก็ไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างหมอกับคนไข้ธรรมดาๆ เช่นกัน

เด็กสาวนางนี้แบกความหวังของเขาไว้มากมายยิ่งนัก เขาซาบซึ้งต่อนาง ชื่นชมนาง ให้ความสำคัญกับนาง ถึงขั้นรักและทะนุถนอมนางด้วยซ้ำ เห็นนางแล้วเกิดความสุขขึ้นในใจ

แต่เหตุใดเขาจึงไม่คิดเสียบ้างเล่า…นึกไม่ถึงว่านางจะเป็นคนของไทเฮา!

จุดยืนและวิสัยทัศน์แตกต่างกัน อคติต่างกัน มุมมองที่มีต่อเรื่องราวจึงแตกต่างกัน

เฉกเช่นเดียวกันกับเรื่องที่กู้เจียวช่วยชีวิตจวงไทเฮาและให้นางอาศัยอยู่ด้วยกันที่บ้านด้วย ในสายตาราชครูจวงมองว่าเซียวลิ่วหลังอยู่ฝ่ายฮ่องเต้ รู้ว่าฝั่งตรงข้ามคือไทเฮา ที่ให้อยู่อาศัยด้วยก็เพราะแค่จะกักบริเวณไทเฮาเท่านั้น

แต่พออยู่ในสายตาฮ่องเต้แล้วกลายเป็นว่าจวงไทเฮาจงใจปิดบังตัวตนของตัวเอง ใช้ภาพลักษณ์ไร้เดียงสาของหญิงชรามาหลอกล่อให้กู้เจียวกับเซียวลิ่วหลังเห็นอกเห็นใจและเชื่อใจ ก่อนจะใช้โอกาสที่เซียวลิ่วหลังเข้าเมืองหลวงมาสอบกลับคืนสู่เมืองหลวงอีกครา

“นางต่ำช้าจนถึงขั้นใช้ผู้สอบขุนนางคนหนึ่งได้! และไร้ยางอายถึงขั้นคิดบัญชีกับผู้มีพระคุณช่วยชีวิตตัวเองเอาไว้! นางมันเป็นแม่มดร้ายที่ใช้สารพัดวิธีโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น!”

เรื่องอื่นฮ่องเต้ยังพอทนได้ แต่เรื่องนี้เขาทนไม่ไหวจริงๆ!

ฮ่องเต้ดวงตาแดงฉาน “เพราะเหตุใด เพราะเหตุใดคนข้างกายของเราจึงต้องหักหลังเราคนแล้วคนเล่าด้วย! หมอเทวดาน้อยก็คนหนึ่ง หนิงอันก็อีกคน! เราไม่ดีตรงไหนจึงได้พ่ายแพ้ให้นาง!”

เว่ยกงกงกับเหอกงกงต่างไม่ส่งเสียงใด

ทั้งสองเข้าใจดีว่าฮ่องเต้นึกถึงองค์หญิงหนิงอันขึ้นมาอีกแล้ว

องค์หญิงหนิงอันเป็นธิดาของจิ้งไท่เฟย ฮ่องเต้ถูกเลี้ยงโดยจิ้งไท่เฟยมาตั้งแต่เล็กๆ จึงมีความผูกพันอันลึกซึ้งต่อองค์หญิงหนิงอัน

ทั้งคู่เป็นเพื่อนเล่นกันโดยไม่ได้คิดอะไรมาก ตอนนั้นไทเฮามีความสัมพันธ์อันดีกับพวกลูกๆ ของจิ้งไท่เฟย มิฉะนั้นคงไม่สนับสนุนลูกเลี้ยงของไท่เฟยให้ขึ้นครองราชย์หรอก

ทว่าฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ได้ไม่นานก็ไม่พอใจที่จวงไทเฮาเป็นอุปราช จึงยิ่งห่างเหินกับจวงไทเฮามากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายถึงขั้นแตกหักกัน

ระหว่างฮ่องเต้กับจวงไทเฮา องค์หญิงหนิงอันเลือกข้างจวงไทเฮา แต่ไม่ใช่ว่านางทำร้ายฮ่องเต้เพื่อจวงไทเฮาอะไรเทือกนั้น แต่การปกป้องจวงไทเฮาของนางที่เห็นถึงความรู้สึกได้จากคำพูดต่างหากที่ทำให้ฮ่องเต้ผิดหวัง

สุดท้ายองค์หญิงหนิงอันถึงขั้นออกเรือนแต่งงานไปยังหันเป่ยเพื่อคนรักของตัวเอง ทำเอาจวงไทเฮาล้มป่วยหนักจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด นึกไม่ถึงว่าในพระทัยฮ่องเต้จะเกิดความปรีดาอันบิดเบี้ยวขึ้นมา

ตอนนั้นเจ้าแย่งตัวหนิงอันไปจากมือข้าอย่างไร ยามนี้ก็ถูกคนอื่นแย่งตัวไปอย่างนั้น

ความเจ็บปวดของเราในตอนนั้น เจ้าก็ได้ลิ้มรสมันแล้วนี่

ฮ่องเต้หงุดหงิดพระทัย จะอยู่ในตำหนักก็มีแต่จะหายใจกันไม่ออก

เขาจึงตัดสินใจออกไปเดินเล่นข้างนอก

เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าตัวใหม่ พาเว่ยกงกงไปจวนเซวียนผิงโหว เขาอยากไปดื่มสุรากับเซวียนผิงโหวสักหน่อย ไหนเลยจะรู้ว่าเซวียนผิงโหวกลับไปเรือนหร่วนอวี้เสียได้

ฮ่องเต้แอบไปหาท่านเหล่าโหวต่อ แต่ผลปรากฏว่าท่านเหล่าโหวก็ไม่อยู่ที่จวน!

ฮ่องเต้จึงเคว้งนัก วันนี้คนพวกนี้มันนัดกันกวนประสาทพระองค์หรือไร!

ฮ่องเต้เข้าใจท่านเหล่าโหวผิดไปเสียแล้ว วันนี้ท่านเหล่าโหวไม่รู้ด้วยซ้ำวว่าฮ่องเต้ออกจากวัง เขาจึงไปโรงประลอง