บทที่ 404 จ้าวชูจำได้

ลมกรรโชกแรงหอบกระดาษแผ่นหนึ่งมาตกอยู่ตรงหน้าขอทาน เขาหยิบมันขึ้นมาจ้องไปที่ข้อความนั้น

“สอบคัดเลือก…”

นี่คือใบประกาศสอบคัดเลือกคนที่เข้าสำนักที่ได้ถูกแจกจ่ายไปทั่วแคว้นต้าโจว เนื้อหาในนั้นคือการเชื้อเชิญเหล่าผู้มีพรสวรรค์มาเข้าร่วมการทดสอบ ผู้ที่ผ่านการทดสอบจะได้เข้าสู่สำนักวรยุทธ์

“สำนักวรยุทธ์..”

ขอทานหลับตาลง ก่อนที่ความทรงจำบางอย่างจะปรากฏขึ้นในความคิดของเขา ในค่ำคืนหนึ่งร่างสองร่างกำลังนั่งอยู่บนหลังคา

“หัวหน้าตู้ ถ้าไม่ได้ทำงานตรงนี้แล้วท่านอยากทำอะไรหรือ?” ชายคนนั้นถาม

เขาสวมหน้ากากเห็นแต่เพียงดวงตาที่สดใสมากเป็นประกาย ซวนอิ่งเป็นสำนักสังหาร คนเหล่านี้มาจากการฝึกฝนที่เข้มงวด ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด ตู้เย่ค่อยๆ ก้าวขึ้นสู่อันดับหนึ่งทำให้เขาเลือกรับงานมากขึ้น ตู้เย่ไม่ชอบการลอบฆ่าเหยื่อที่เป็นคนดี พวกคนเลวคือเหยื่อของเขา แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็เป็นแค่เครื่องมือสังหาร ไม่มีอิสระ

ตู้เย่ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามชายคนนั้นยังคงพูดไปเรื่อยๆ

“หากซวนอิ่งถูกโค่นลง ข้าจะไปเข้าร่วมกองทัพ ข้าอยากฆ่าพวกศัตรูของเราและเป็นแม่ทัพ!” ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งมีท่าทีตื่นเต้น

ตู้เย่ฟังเงียบๆ เขาไม่ได้สนใจจวนหลังใหญ่ ทรัพย์สินเงินทองหรือสตรีงดงาม

“หัวหน้าตู้ ท่านรู้จักสำนักวรยุทธ์หรือไม่?” ชายคนนั้นถามต่อไป ตู้เย่เป็นนักฆ่าดังนั้นเขาจึงรู้ข้อมูลทุกอย่าง

“มันเป็นหนทางลัดที่จะก้าวหน้าในกองทัพ ทันทีที่จบจากที่นั่นท่านจะแตกต่างจากทหารทั่วไปทันที หลังจากที่รบชนะและสร้างความดีความชอบไม่กี่ครั้งก็สามารถก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดได้แล้ว!”

“หัวหน้าตู้ หากข้าเป็นแม่ทัพแล้วเหมยเหนียงจะชอบข้าไหม?”

ตู้เย่รู้ว่าเหมยเหนียงเป็นเจ้าของไป๋ฮวาที่อยู่ริมแม่น้ำฉิงสุ่ย นางมีความสัมพันธ์ที่ดีกับชายคนนี้

“หากนางตกลง ข้าจะแต่งนางเป็นภรรยา” เขาหัวเราะก่อนจะมองมาที่ตู้เย่

“หัวหน้าตู้ ท่านจะไปที่สำนักวรยุทธ์กับข้าหรือไม่?”

ตู้เย่ไม่ตอบ เขามองท่าทีสดใสและมีชีวิตชีวาของอีกฝ่ายอย่างเผลอไผล พวกเขานั้นมีบุคลิคที่ต่างกัน บางคนเฉยเมย บางคนร่าเริง บางคนเงียบขรึม บางคนก็เสเพล แต่แท้จริงแล้วทั้งหมดเป็นเพียงหน้ากากเท่านั้น หลังจากผ่านความทุกข์ต่างๆ มา ทุกคนล้วนมีสิ่งที่เป็นพันธนาการอยู่ในใจ

มีแค่คนตรงหน้าเขาเท่านั้นที่ยังมีชีวิตชีวา เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังในวันข้างหน้า เขาแตกต่างจากคนเหล่านั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ใครๆ ต่างก็ชอบเขา อย่างไรก็ตามการโค่นล้มซวนอิ่งนั้นยากมาก พวกเขาต่างเบื่อหน่ายสุดท้ายก็ตัดสินใจสู้ต่อไปจนตัวตายเท่านั้น มันคือการต่อสู้ที่ดุเดือด คนที่รู้จักและไม่รู้จักต่างพากันล้มหายตายจากทีละคน

เมื่อตอนที่ชีวิตของตู้เย่เหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย ชายคนนั้นเข้ามาขวางสกัดกั้นการโจมตีเอาไว้ให้เขา

“ใช้ชีวิตให้ดีนะ..” คนผู้นั้นพูด ก่อนจะสิ้นลมหายใจไป ตู้เย่รับร่างเขาไว้อย่างมึนงง

เหตุใดต้องช่วยเขา?

ปล่อยเขาตายไปไม่ดีกว่าหรือ?

ตู้เย่ไม่รู้ว่าควรใช้ชีวิตอย่างไรให้ดี ตลอดมาเขาทำเพียงเพื่อความอยู่รอดเท่านั้น ชายหนุ่มมองไปยังกระดาษในมือของเขา จากที่เข่นฆ่าต้องมาช่วยเหลือหรือ?

มันคงจะดีหากมีจวนของตัวเอง มีเงินทองและสาวงาม…ในเมื่อตัวของเขาไม่มีเป้าหมาย เหตุใดเขาจึงไม่สานเป้าหมายของชายคนนั้นต่อ?

ตู้เย่ค่อยๆ ยืนขึ้นอย่างซวนเซ เขาตั้งใจจะเดินไปที่สำนักวรยุทธ์ เขาก้าวเท้าไปสองสามก้าว ชะงักแล้วหันมามองที่ๆเขาเคยพักอาศัย

“ท่านรอข้าที่นี่นะ อย่าไปไหนล่ะ ไม่เช่นนั้นข้าจะหาท่านไม่เจอ”

ทุกครั้งที่นางกลับไปนางจะกำชับเขาเช่นนี้ หากนางกลับมาอีกครั้งแล้วไม่เจอเขา เด็กคนนั้นจะร้องไห้หรือไม่?

ตู้เย่ส่ายศีรษะพลางยิ้มยิ้ม เหตุใดเขาจึงคิดเรื่องแบบนี้? ก็แค่เด็กน้อยผู้หนึ่งที่หาเขาไม่พบ ในไม่ช้าเด็กคนนั้นก็จะลืมเขาไป

ทันทีที่ถึงสำนักการต่อสู้ แถวของผู้สมัครก็แน่น ร่างกายของตู้เย่สกปรกมอมแมม ผมเผ้ากระเซิงยุ่งเหยิง ทำให้ผู้คนที่อยู่รอบๆ ต่างแสดงท่าทีรังเกียจถอยออกห่างจากเขา

“ขอทานหรือ มาสมัครทำไม? ใครๆ ก็สมัครที่นี่ได้ด้วยหรือ?”

ตู้เย่ไม่สนใจ เขาเดินเข้าไปต่อแถว ตอนนี้มีผู้คนมากมาย หลังจากหนึ่งชั่วยามผ่านไป ก็ถึงเวลาที่ตู้เย่ต้องลงทะเบียน

“ชื่อ?”

“ตู้เย่”

“อ่านหนังสือออกไหม?”

“ออก”

“รู้จักกระบวนท่าการต่อสู้ไหม?”

“รู้”

“เจ้าเริ่มเรียนศิลปะการต่อสู้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ตั้งแต่เด็ก”

“แขนขวาเจ้าเป็นอะไร?”

“มันหัก”

ผู้รับผิดชอบลงทะเบียนขมวดคิ้ว เขาคิดว่าชายคนนี้มาเพื่อขออาศัยกินดื่มเท่านั้น

“เจ้าไม่ตรงตามข้อกำหนดในการทดสอบ”

“ข้อกำหนด? ในใบสมัครไม่มีข้อกำหนดเขียนไว้” ตู้เย่กล่าว

“ข้าไม่ใช่คนเขียนข้อกำหนด แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันจะไม่มี เจ้ารู้กลยุทธการทำสงครามหรือไม่? สามารถฆ่าศัตรูได้ไหม? สำนักวรยุทธ์ไม่ใช่สถานที่ๆ เจ้าจะมากินดื่มได้อย่างสบายใจ กลับไปเสีย! อย่ามาทำให้ผู้อื่นเสียเวลา!” ผู้รับผิดชอบไล่เขาทันที ทันใดนั้นเองก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

“ให้เขาสมัคร ในนั้นเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่าขอแค่สมัครใจเท่านั้น!”

เป็นจ้าวชูที่พูดขึ้น เมื่อคนรับผิดชอบเห็นจ้าวชูเขารีบแสดงความเคารพทันที หน้าผากของเขาถึงกลับมีเหงื่อซึม

“พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย”

ตู้เย่เหลือบมองจ้าวชู เขาส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ดูเป็นองค์ชายที่สุภาพและไม่ถือตัวกับขอทาน นี่เป็นสิ่งที่ดึงดูดใจผู้คนได้อย่างง่าย ตู้เย่ก้มหน้าลงจนดูไม่ออกว่าเขามีสีหน้าอย่างไร เขาลงทะเบียนจนเสร็จเรียบร้อยดี จ้าวชูมองตู้เย่จนเขาเดินลับหายไป จึงได้เดินไปหานายทะเบียนผู้นั้น

“ตู้เย่?”

“พ่ะย่ะค่ะ ขอทานคนนั้นชื่อตู้เย่” เขารีบกล่าวอย่างรวดเร็ว

จ้าวชูอ่านชื่อของเขาอย่างครุ่นคิด หวังหมิ่นไฉ่เดินเดินตามเข้ามา ลุงของจ้าวชูเป็นหนึ่งในคนที่รับผิดชอบการคัดเลือกครั้งนี้ด้วย เมื่อพวกเขาเดินไปยังสถานที่ลับตาคน หวังหมิ่นไฉ่ก็รีบถามทันที

“ฝ่าบาท ท่านรู้จักเขาหรือ?”

“ท่านเคยได้ยินชื่อซวนอิ่งหรือไม่?” จ้าวชูถาม

หวังหมิ่นไฉ่เป็นขุนนาง เขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน จึงได้แต่ส่ายหน้า

“ซวนอิ่งเป็นสำนักฆ่าที่มีชื่อเสียงในแถบตะวันออกเฉียงใต้ แต่มันล่มสลายไปแล้ว” จ้าวชูกล่าว เขามีหูตาและสายลับอยู่มากมาย ทำให้จ้าวชูรู้เรื่องนี้ดี

“ล่มสลาย?” หวังหมิ่นไฉ่รู้สึกประหลาดใจ

“ใช่ เป็นการฆ่ากันภายใน ทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บสาหัส”

“ท่านหมายความว่าตู้เย่ผู้นี้…”

“เขาคือนักฆ่าอันดับหนึ่งของซวนอิ่ง ฉายาเสวียนเซิง หรืออีกชื่อคือตู้เย่”

“นี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ…”

“ลองดู หากเป็นเสวี่ยนเซิงตู้เย่จริงๆ เขาเป็นคนที่มีประโยชน์ต่อข้า”

มุมปากของจ้าวชูยกโค้งเป็นรอยยิ้ม