ตอนที่ 396 แสดงท่าที

วาจาที่ตรงไปตรงมาไม่ปิดบังอันใดทำให้ซูจ้าวตะลึงงัน แล้วก็ทำให้นางได้เข้าใจ อีกฝ่ายกลัวว่านางจะมีอันตรายถึงได้เสี่ยงมาหานาง หาไม่แล้วเขาจะหนีไปเลยก็ได้

ชั่วขณะนั้น ความรู้สึกของนางเรียกได้ว่าทั้งดีใจและเสียใจ เสียใจที่ชายคนนี้หลอกใช้นาง แต่ก็ดีใจที่ชายคนนี้มีใจห่วงใยนาง

ความจริงใจและซื่อตรงของเขาทำให้นางเปี่ยมด้วยความเศร้าหมอง ถึงอยากเกลียดก็เกลียดไม่ลง เพราะเท่าที่นางได้ใกล้ชิดกับเขา ทำให้นางรู้ว่าชายผู้นี้เป็นคนเช่นนี้จริงๆ

“เพราะเหตุใดต้องไปที่จังหวัดชิงซาน? หนิวโหย่วเต้าจะยอมรับข้าหรือ?” ซูจ้าวพลันถามออกไปเช่นนี้ การที่นางพูดแบบนี้ออกมาได้ แสดงให้เห็นว่านางรู้สึกหวั่นไหวแล้ว

หยวนกังกล่าวว่า “ด้วยสถานการณ์ในขณะนี้ ทันทีที่เจ้าหนีไป ข้าไม่มีความสามารถพอจะปกป้องเจ้าได้ คนที่ข้ารู้จักและสามารถไว้ใจได้ อีกทั้งมีความสามารถที่จะปกป้องเจ้าได้ก็มีเพียงเต้าเหยี่ยเท่านั้น มีแต่ต้องไปหาเต้าเหยี่ยที่จังหวัดชิงซานเท่านั้น เจ้าวางใจเถอะ ไม่ว่าเจ้าจะมีฐานะและความเป็นมาอย่างไร ขอเพียงเจ้าเป็นสตรีของข้า เต้าเหยี่ยจะรับเจ้าไว้แน่นอน ต่อให้มีอันตรายมากแค่ไหนก็จะคิดหาทางปกป้องเจ้าไว้แน่นอน ข้อนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเลย”

เขาพูดไปตามจริง เขาเองก็หมดหนทางแล้วจริงๆ เขาเพิ่งจะแยกทางกับเต้าเหยี่ยได้ไม่นานเท่าไร หากว่าเขาตัวคนเดียวล่ะก็ เขาไม่มีทางนำความเดือดร้อนกลับไปให้เต้าเหยี่ยแน่นอน แต่ที่จำเป็นต้องกลับจังหวัดชิงซานก็เพื่อปกป้องนาง

จิตใจของซูจ้าวซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง จู่ๆ ก็ถามว่า “เจ้าชอบข้าหรือไม่?”

หยวนกังไม่รู้ว่าควรจะตอบนางกลับไปอย่างไรดี หากว่ากันตามความรู้สึก เขาก็ไม่ได้ชอบหรือว่าไม่ได้ไม่ชอบนาง มันเป็นแค่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมาจากความหุนหันพลันแล่นชั่ววูบเท่านั้น แต่เขาก็ต้องรับผิดชอบต่อความผิดพลาดที่ตนได้ก่อไว้

อีกทั้งเขาฟังความหมายที่แฝงอยู่ในวาจาของนางออก นางจะตามเขาไปหรือไม่ คำตอบของนางก็ขึ้นอยู่กับคำตอบของเขาแล้ว

จิตใจของหยวนกังว้าวุ่น แต่สุดท้ายยังคงเอ่ยคำตอบที่ขัดต่อหลักการในใจ “ชอบ!”

ซูจ้าวยิ้มและร้องไห้ไปพร้อมกัน ถลาตัวเข้าสู่อ้อมแขนของเขาทันที โอบกอดเขาไว้แน่น หลั่งน้ำตาด้วยความดีใจอย่างสุดซึ้งพลางเอ่ยว่า “ได้! ไม่ว่าฟ้าจะถล่มดินจะทลาย ไม่ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ข้ายินดีจะแบกรับทุกสิ่งที่จะตามมา ข้าจะไปกับเจ้า!”

หยวนกังตบหลังนางเบาๆ “อย่าชักช้าเลย หากช้าไปกว่านี้จะไม่ทันการแล้ว ไปกันเลยเถอะ!” เขาดันนางออกแล้วจูงมือนางดึงให้ออกเดิน

เพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าวจู่ๆ ซูจ้าวก็ชะงักไป ออกแรงรั้งเขาไว้ ไม่ให้เขาเดินต่อ

หยวนกังเหลียวมองอย่างไม่ค่อยเข้าใจ

ซูจ้าวส่ายหน้า เอ่ยด้วยสีหน้าหมดหนทาง “ไปไม่ได้ หนีไม่ได้แล้ว พวกเราไม่อาจหนีไปได้”

หยวนกังหันกลับไปเอ่ยถาม “เพราะเหตุใด? ยังมีห่วงพะวงใด หรือว่าเรื่องใดที่ละทิ้งไปไม่ได้?”

“ขอโทษด้วย ขอโทษจริงๆ เป็นข้าที่หลอกเจ้า ความจริงแล้วข้ารู้เรื่องที่เจ้าโดนวางยาพิษมาตลอด” ซูจ้าวน้ำตาคลอเบ้า ยกสองมือประคองแก้มเขาแล้วส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “ในเมื่อเจ้ารู้แล้วว่าข้าเป็นคนของหอจันทร์กระจ่าง แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่ายาพิษที่พวกเขาใช้กับเจ้าคือสิ่งใด?”

หยวนกังตอบว่า “ไม่รู้ แต่ว่าไม่สำคัญ”

ซูจ้าวเอ่ยอย่างขมขื่น “โอรสเทพระทม! เจ้าอาจจะยังไม่เข้าใจ ยาพิษชนิดนั้นจะออกฤทธิ์ทุกๆ สามเดือน หากไม่ได้รับยาแก้พิษเจ้าจะทนรับไม่ไหว ยาแก้พิษนี้ถูกเบื้องบนควบคุมเอาไว้อย่างเข้มงวด เวลาที่ข้าต้องใช้มันข้าจะได้รับยามาครั้งละเม็ดเท่านั้น หากขาดยาแก้ไป วันหน้าเจ้าจะทำอย่างไรเล่า? ความรู้สึกตอนพิษกำเริบเป็นอย่างไรเจ้าน่าจะรู้ดี พวกเราไปไม่ได้หรอก”

หยวนกังล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อทันที นำเม็ดยาหุ้มขี้ผึ้งสามเม็ดที่เก็บมาจากร้านเต้าหู้ออกมา บีบเปลือกขี้ผึ้งเม็ดหนึ่งออก เผยให้เห็นยาสีดำเม็ดหนึ่งพลางเอ่ยถามว่า “เจ้าหมายถึงยาแก้พิษอันนี้หรือ?”

ซูจ้าวก้มหน้าดมเล็กน้อย จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น ค่อนข้างแปลกใจ “สามเม็ดหรือ? ยาแก้นี้ถูกควบคุมอย่างเข้มงวด เจ้าไปเอายาแกมาจากไหนมากมายขนาดนี้?”

หยวนกังตอบ “เป็นยาที่พวกเจ้ามอบให้ข้าก่อนหน้านี้”

“…..” ซูจ้าวยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี

หยวนกังอธิบายว่า “พิษนั้นไม่มีผลต่อข้า ไม่อาจควบคุมข้าได้ ข้าไม่จำเป็นต้องใช้ยาแก้เหล่านี้ ก็เลยเก็บเอาไว้”

“จริงหรือ?” ซูจ้าวทั้งตกใจและดีใจเป็นอย่างยิ่ง

หยวนกังตอบว่า “ข้าไม่รนหาที่ตายหรอกน่า อย่าเสียเวลาอีกเลย หากชักช้าต่อไป คิดจะหนีก็คงหนีไม่รอดแล้ว”

ซูจ้าวพยักหน้าหงึกๆ แต่พอเดินไปถึงประตูก็ดึงหยวนกังไว้อีกครั้ง เอ่ยถามว่า “ในเมื่อเจ้าถูกหมายหัวแล้ว เจ้าแน่ใจหรือว่จะยังหลบหนีไปอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ได้”

หยวนกังเงียบไปเล็กน้อย ไม่กล้ามั่นใจเท่าไร “ตามข่าวที่ข้าได้รับมา ตอนนี้น่าจะยังไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น คงรอให้คนของข้ากลับมารวมตัวกันช่วงค่ำถึงจะลงมือกับข้า ถ้าปรับตัวไปตามสถานการณ์ ยังไงก็ต้องมีวิธีที่จะหนีออกไปได้อยู่”

“ได้ เช่นนั้นทำตามวิธีข้า…” ซูจ้าวเอ่ยกำชับอยู่พักหนึ่ง จากนั้นถึงจะเปิดประตูออกไป

พอออกมาจากห้อง นางกวักมือเรียกฉินเหมียนที่เดินวนไปวนมาคอยเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ไกลๆ พอฉินเหมียนเข้ามาหาก็เอ่ยสั่งว่า “จะมีแขกสำคัญมาเยือน เจ้าไปรอต้อนรับที่ประตูหลังด้วยตัวเองหน่อย”

ฉินเหมียนอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัย “นายหญิง แขกสำคัญจากไหนเจ้าคะ?”

ซูจ้าวกล่าวว่า “อย่าถามมาก เดี๋ยวแขกมาถึงเจ้าก็รู้เอง”

“เจ้าค่ะ!” ฉินเหมียนตอบรับแล้วเดินออกออกไปจากที่นี่

พอแน่ใจว่านางไปแล้ว ซูจ้าวก็รีบกลับเข้าไปในห้อง เก็บข้าวของเล็กน้อย จากนั้นก็พาหยวนกังออกจากห้อง มุ่งหน้าไปยังจุดลับตา ดันภูเขาจำลองที่ใช้อำพรางออก จากนั้นก็พาหยวนกังเข้าสู่อุโมงค์น้ำตามกันไปทีละคน หลบหนีผ่านเส้นทางลับของเรือนเมฆาขาว

…..

ฉินเหมียนเดินกลับไปกลับมาอยู่ในศาลาริมน้ำตรงประตูหลัง รออยู่นาน จนกระทั่งพลบค่ำก็ยังไม่เห็นแขกมา

รอจนกระทั่งมีแขกสำคัญมาเยือนจริงๆ ทว่าไม่ได้ผ่านเข้ามาทางประตูหลัง หากแต่ผ่านเส้นทางลับของเรือนเมฆาขาวเข้ามา มีลูกน้องมารายงาน นางถึงได้ทราบว่าแขกคนสำคัญมาแล้ว

ภายในห้องมืด คนสวมผ้าคลุมมีหมวกผู้หนึ่งยืนหันหลังอยู่

ฉินเหมียนที่เข้าไปในห้องมืดรีบทำความเคารพ “อาจารย์ไป๋ ไม่คิดเลยว่าแขกสำคัญที่นายหญิงให้ข้ามารอต้อนรับก็คืออาจารย์ไป๋”

“ไปตามซูจ้าวมา” อาจารย์ไป๋ที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมเอ่ยเนิบๆ

“เจ้าค่ะ!” ฉินเหมียนออกไปตามซูจ้าว

แต่ไปหาที่ไหนก็ไม่พบเงาร่างของซูจ้าวเลย พอสอบถามดูแล้ว ก็ไม่มีใครเห็นซูจ้าวและหยวนกังออกจากเรือนเมฆาขาวไป แต่กลับมีคนเห็นทั้งสองเดินไปทางอุโมงค์ลับ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าผ่านเส้นทางลับออกไปหรือไม่

ฉินเหมียนได้แต่ย้อนกลับมาที่ห้องมืด เอ่ยรายงานไปตามจริง

เสี้ยวหน้าครึ่งล่างที่อยู่ใต้หมวกของอาจารย์ไป๋หดตึงขึ้นมา ถามออกไปว่า “อันไท่ผิงก็มาที่นี่อย่างนั้นหรือ?”

ฉินเหมียนตอบว่า “เจ้าค่ะ”

อาจารย์ไป๋เอ่ยถาม “ทั้งสองใช้เส้นทางลับออกไปหรือ?”

ฉินเหมียนค่อนข้างลังเล “ไม่อาจยืนยันได้เจ้าค่ะ ว่ากันตามหลักแล้ว นายหญิงไม่น่าจะเปิดเผยเรื่องทางลับให้อันไท่ผิงทราบง่ายๆ เจ้าค่ะ”

อาจารย์ไป๋หมุนตัวแล้วเดินเข้ามา “ตามหาต่อไป!”

“เจ้าค่ะ!” ฉินเหมียนรับคำแล้วหันหลังไป

ทว่าความเปลี่ยนแปลงพลันเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ผัวะ! อาจารย์ไป๋ซัดฝ่ามือใส่แผ่นหลังฉินเหมียน ลอบโจมตีจากทางด้านหลัง

ร่างของฉินเหมียนไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ทว่าตรงตำแหน่งหัวใจกลับมีโลหิตสาดกระเซ็นออกมา นางเบิกตากว้าง ค่อยๆ หันหลังกลับมา มองไปที่อาจารย์ไป๋ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ เอ่ยถามออกไป “เพราะเหตุใด?”

อาจารย์ไป๋เอ่ยเสียงเรียบ “อันไท่ผิงคือหยวนกังที่เป็นคนสนิทของหนิวโหย่วเต้า ฐานะของซูจ้าวถูกเปิดเผยแล้ว สายงานที่เจ้ารับผิดชอบดูแลมีความสำคัญยิ่งยวด ไม่อาจปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดได้ จำเป็นต้องจัดการทุกคน เจ้าวางใจเถอะ ทางองค์กรจะช่วยดูแลบุตรชายเจ้าเป็นอย่างดี เจ้าจากไปอย่างสบายใจได้!”

สีหน้าฉินเหมียนเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง ร่างเอนล้มหงายหลังลงบนพื้น ชักกระตุก ปากสำรอกโลหิตออกมา ก่อนจะค่อยๆ แน่นิ่งไป นอนตายตาไม่หลับ…

….

ฟ้ามืดแล้ว

ณ จวนแม่ทัพฮูเหยียน ฉาหู่เร่งเดินเข้ามาในห้องห้องหนึ่ง ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นกำลังยืนอยู่หน้าแผนที่แคว้นจิ้น ในมือถือหมุดธงสองสีไว้ ปักลงไปแล้วยกออกเป็นระยะๆ

ฉาหู่ไม่สนใจแล้วว่าจะเป็นการรบกวนการใช้ความคิดของเขาหรือไม่ รีบรายงานไปอย่างเร่งด่วน “ท่านแม่ทัพ หยวนกังอาจจะหนีไปแล้วขอรับ”

ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นหันกลับมาช้าๆ “จับตามองไว้ตลอดมิใช่หรือ? ก่อนหน้านี้ยังบอกว่าเขาไปเรือนเมฆาขาวอยู่เลยไม่ใช่หรือ?”

ฉาหู่กล่าวว่า “คนที่ไปจับตามองบอกว่าไม่เห็นเขาออกมาจากเรือนเมฆาขาวเลยขอรับ ยังมีอีกเรื่อง คนงานที่ออกไปฝึกซ้อมเหล่านั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา ข้าให้คนติดต่อกับเสมียนของร้านเต้าหู้ดูแล้ว เสมียนเกาบอกว่าคนที่ออกไปตั้งแผงในวันนี้ล้วนเป็นคนงานที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเข้าร่วมฝึกซ้อมขอรับ เรื่องนี้ผิดปกติมาก”

ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นหันหลังเดินไปที่ข้างโต๊ะ โยนหมุดธงสองสีลงบนโต๊ะ เอ่ยถาม “ข่าวรั่วไหลไปจากทางเรา หรือว่ารั่วไหลไปจากทางวังหลวง?”

ฉาหู่กล่าวว่า “ล้วนเป็นไปได้ทั้งสองทางขอรับ แล้วก็อาจเป็นเพราะว่าสังเกตเห็นอะไรบางอย่างเข้า ส่วนคนงานเหล่านั้นก็ออกไปฝึกซ้อมตั้งแต่เช้าตรู่ เวลานั้นพวกเรายังไม่ได้รับข่าวจากทั้งวังหลวงเลยขอรับ”

ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่หลังโต๊ะ “ร้ายกาจไม่เบา ตัวเองรั้งรอไม่ยอมไป เห็นทีคงคิดจะช่วยปกปิดให้คนอื่น ดึงความสนใจเอาไว้ ซื้อเวลาให้คนงานเหล่านั้นได้อพยพถอนกำลังไป วิถีการทำงานของคนผู้นี้เปิดเผยซื่อตรง การฝึกซ้อมอย่างเอิกเกริกที่เราเห็นในเวลาปกติ เป็นการปูทางไว้ให้พวกพ้องสามารถอพยพออกไปอย่างเปิดเผยในภายหลัง ใจกล้าเหลือเกิน แม้แต่ข้าก็ยังถูกหลอกไปด้วย”

ฉาหู่เอ่ยถาม “ต้องการให้ไปตรวจสอบทางเรือนเมฆาขาวหรือไม่ขอรับว่าเขายังอยู่หรือเปล่า”

ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นแค่นหัวเราะหึหึ “คนทั่วหล้าต่างรู้ดีว่าในเมืองหลวงแคว้นฉีมีสถานเริงรมย์แห่งหนึ่งนามว่าเรือนเมฆาขาว ช่างมีชื่อเสียงยอดเยี่ยมจริงๆ เหล่าทหารที่อยู่ในแนวหน้าเสี่ยงตาย แต่ผู้มีอำนาจในเมืองหลวงกลับไปเสพสุขอยู่ในหอนางโลม แล้วจะให้ทหารในแนวหน้ารู้สึกอย่างไร? ไม่มีอันใดต้องตรวจสอบ ข้าเห็นที่นั่นขวางหูขวางตามานานแล้ว ถือโอกาสนำข้อความจากวังหลวงมาเป็นข้ออ้างเคลื่อนกำลังทหารเข้าบุกตรวจค้นเสีย! เขาอาจจะออกจากเมืองหลวงไปแล้ว ถ่ายทอดคำสั่งข้าลง ส่งสายสืบออกค้นหา ขณะเดียวกันก็ติดต่อหน่วยข่าวกรองให้ใช้เครือข่ายออกค้นหาให้ข้าด้วย ถ้าพบตัวคนแล้วให้ติดต่อกองทัพที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงให้ทำการสกัดซะ!”

“ขอรับ!” ฉาหู่รับคำสั่ง ในใจทราบดีว่าหากตระกูลฮูเหยียนไม่ได้แต่งองค์หญิงเข้ามา เกรงว่านายท่านคงไม่กล้าแตะต้องซีย่วนต้าอ๋องส่งเดช เนื่องจากไม่อยากเข้าสู่วังวนชิงอำนาจของราชวงศ์ ครั้งนี้นายท่านคิดจะฉวยโอกาสนี้แสดงท่าที

…..

เมื่อถ่ายทอดคำสั่งลง ภายในเมืองหลวงก็อลหม่านขึ้นมา

ภายในวังหลวง ปู้สวินเดินขึ้นมาที่หอสูง รายงานเฮ่าอวิ๋นถูที่ยืนเท้าราวกั้นอยู่ “ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นเคลื่อนกำลังทหารเข้าปิดล้อมเรือนเมฆาขาวแล้วพ่ะย่ะค่ะ ดูเหมือนจะต้องการจะบุกตรวจค้นเรือนเมฆาขาวพ่ะย่ะค่ะ”

เฮ่าอวิ๋นถูเอ่ยว่า “ใครๆ ก็รู้ว่าที่นั่นคือกิจการของเจ้าห้า วิธีการทำงานของแม่ทัพใหญ่ค่อนข้างหยาบกระด้าง นี่เท่ากับเป็นการหักหน้าเจ้าห้าอย่างโจ่งแจ้ง เจ้าห้าคงโมโหจนกระทืบเท้าเร่าๆ แล้ว”

ปู้สวินสังเกตสีหน้าของเขาอย่างเงียบๆ เรื่องบางเรื่องเขานั้นรู้แจ้งแก่ใจดี ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นหักหน้าซีย่วนต้าอ๋องอย่างเปิดเผยก็เพื่อให้ฝ่าบาทได้เห็น

…..

แล้วก็เป็นอย่างที่เฮ่าอวิ๋นถูพูดไว้ พอได้ข่าวว่ากิจการของตนถูกบุกตรวจค้นกะทันหันอย่างไร้สาเหตุ ซีย่วนต้าอ๋องเฮ่าอวิ๋นเซิ่งก็รีบมายังที่เกิดเหตุทันที

พอมาถึงก็พบว่าเรือนเมฆาขาวของตนถูกกำลังทหารเข้าปิดล้อมแล้ว ถนนในละแวกใกล้เคียงล้วนถูกทหารติดอาวุธครบมือสกัดกั้นปิดทางไว้

เรือนเมฆาขาวตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวาย มีคนถูกคุมตัวออกมาจากด้านในอย่างต่อเนื่อง

บุรุษที่มาใช้บริการ ไม่ว่าจะมียศศักดิ์ร่ำรวยเช่นใดต่างถูกคุมตัวให้คุกเข่าเรียงแถวอยู่ข้างถนน สองมือประสานอยู่ตรงท้ายทอย

บรรดานางโลมก็ถูกคุมตัวออกมาเช่นกัน คุกเข่าเรียงแถวกันอยู่ริมถนนอีกฟาก คุกเข่าหันหลังให้เหล่าแขกบุรุษโดยมีถนนกั้นกลาง มีทหารติดอาวุธคอยคุมอยู่กลางถนน

คนจำนวนมากอยู่ในสภาพที่อาภรณ์ไม่เรียบร้อย

แขกชายบางส่วนอ้างถึงภูมิหลังของตน บางส่วนก็อ้างถึงอำนาจของผู้ที่หนุนหลังเรือนเมฆาขาวอยู่ เริ่มเอะอะโวยวายขึ้นมา แต่พอทราบว่าเป็นกองทหารม้าองอาจก็เข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริงขึ้นมา ยอมหุบปากอย่างรู้งาน

คนโง่เขลาที่ไม่ยอมเข้าใจสถานการณ์ถูกทุบตีจนอยู่ในสภาพปางตาย หลังจากมีหลายคนที่หัวหลุดจากบ่าเลือดสาดนองพื้น ทุกคนก็ตกใจตัวสั่นงันงกขึ้นมาทันที ต่างยอมให้ความร่วมมืออย่างว่าง่าย

คนที่ถูกสังหารก็นับว่าตายเปล่าเช่นกัน คนโง่ที่ไม่ยอมเข้าใจสถานการณ์เช่นนี้ เบื้องหลังมักจะไม่ได้มีอิทธิพลอะไร ไม่รู้เลยว่าตนเผชิญหน้ากับผู้ใดอยู่ จึงก่อเรื่องโดยไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ส่วนคนที่รู้ตื้นลึกหนาบางอย่างแท้จริงไหนเลยจะกล้าทำตัววุ่นวายในเวลานี้

…………………………………………………….