ตอนที่ 395 ข่าวรั่วไหล

เซ่าซานเสิ่งมองไปรอบๆ กระซิบว่า “จะพุ่งเป้าไปที่คุณหนูหรือเปล่า? ต้องแจ้งเตือนคุณหนูไหมขอรับ?” คุณหนูที่เขาเอ่ยถึงก็คือซูจ้าว มีคนจากสำนักเขามหายานอยู่รอบกาย เขาไม่สะดวกจะให้คนอื่นรู้ว่าทางนี้เกี่ยวข้องกับหอจันทร์กระจ่าง ด้วยเกรงว่าคนของสำนักเขามหายานจะได้ยิน

สายลมพลันพัดโชย กวาดเม็ดทรายให้ไหวกระเพื่อม พัดผ้าคลุมที่บดบังหน้าเซ่าผิงปอให้เลิกออกครึ่งหน้า พัดจนเสื้อคลุมเปิดออก ภายใต้ผ้าคลุมสีขาวคืออาภรณ์สีขาวราวหิมะ

เซ่าผิงปอที่ผมขาวไปแล้วครึ่งหัวเงยหน้ามองแผ่นฟ้า ทอดมองท้องนภาสีฟ้าคราม นึกถึงภาพแต่ละภาพภายในห้องส่วนตัวของซูจ้าว สีหน้าดูแย่เล็กน้อย คล้ายตระหนักอะไรได้แล้ว

“ใจไม่อยู่กับข้าแล้ว รั้งไว้ไม่ได้แล้ว แจ้งข่าวให้คนของนางทราบ ปล่อยไปตามลิขิตสวรรค์แล้วกัน” เซ่าผิงปอแหงนหน้ามองท้องนภาพลางเอ่ยอย่างเย็นชา

จิตใจเซ่าซานเสิ่งสั่นหวิวเล็กน้อย เข้าใจความหมายในวาจาเขาเช่นกัน ไม่ให้แจ้งเตือนซูจ้าว แต่ให้แจ้งต่อหอจันทร์กระจ่าง ฐานะของซูจ้าวเปิดเผยแล้ว หอจันทร์กระจ่างจะจัดการกับคนที่ฐานะถูกเปิดเผยแล้วอย่างไร? ไม่รู้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังซูจ้าวจะปกป้องนางไว้ได้หรือไม่

“ยังมีอีกเรื่อง ทางนั้นคงไม่แตะต้องหนิวโหย่วเต้า แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าไปทำข้อตกลงอันใดกับหนิวโหย่วเต้าไว้ เกรงว่าคงจะไม่แตะต้องหยวนกังด้วยเช่นกัน…แจ้งต่อราชสำนักแคว้นฉีว่าอันไท่ผิงเป็นสายลับ”

เซ่าผิงปอเอ่ยเสริมอีกประโยค นี่เท่ากับคิดจะจัดการหยวนกังให้ตาย

ผ้าคลุมด้านหลังเขาปลิวสะบัดไปตามแรงลม ตัวคนดูราวกับวิหคขาวกางปีกถลาลม ให้ความรู้สึกคล้ายจะเหินร่อนไปตามลม

…..

ณ จวนแม่ทัพฮูเหยียน ขันทีร่างกำยำคนหนึ่งเดินนำผู้ติดตามหลายคนเข้ามา

ขันทีร่างกำยำคนนี้ก็คือขันทีที่จับกุมลิ่งหูชิวในคราวก่อนคนนั้น นามว่าโม่เจ๋อ เป็นศิษย์ของผู้ดูแลหลวงปู้สวิน

คณะผู้ติดตามหยุดรออยู่ในลานเรือน ส่วนโม่เจ๋อถูกคนเชิญเข้าไปดื่มน้ำชาในโถงหลัก

ผ่านไปสักพัก ฉาหู่ก็มาถึงพร้อมกับฮูเหยียนอู๋เฮิ่น โม่เจ๋อวางถ้วยชาลงแล้วลุกขึ้นโดยเร็ว ประสานมือเอ่ยไปว่า “บ่าวคารวะท่านแม่ทัพ!”

ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นเอ่ยถาม “ฝ่าบาทมีราชโองการใดหรือ?”

โม่เจ๋อตอบอย่างนอบน้อม “ไม่มีราชโองการ แต่ฝ่าบาทต้องการให้บ่าวมาถ่ายทอดข้อความต่อท่านแม่ทัพขอรับ”

ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นยกมือไพล่หลัง เดินเข้าไปหยุดตรงหน้าเขา เอ่ยถามว่า “ว่ามา”

โม่เจ๋อเอ่ยว่า “อันไท่ผิงแห่งร้านเต้าหู้ ฐานะที่แท้จริงคือคนสนิทของหนิวโหย่วเต้าแห่งจังหวัดชิงซานในมณฑลหนานโจวของแคว้นเยี่ยน นามจริงคือหยวนกังขอรับ”

นัยน์ตาดุดันของฮูเหยียนอู๋เฮิ่นฉายแววตกใจ ค่อยๆ หันไปสบตากับฉาหู่ที่มีท่าทางค่อนข้างตกใจเช่นกัน

ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นเอ่ยถาม “มีการเข้าใจผิดอันใดไปหรือไม่ หากเป็นสายลับจริง เหตุใดถึงไม่ยอมเข้าร่วมทัพม้าองอาจล่ะ?”

โม่เจ๋อตอบว่า “เรื่องนี้บ่าวก็ไม่ทราบขอรับ ฝ่าบาทบัญชาให้บ่าวมาถ่ายทอดข้อความต่อท่านแม่ทัพว่าทุกอย่างให้จัดการตามดุลยพินิจของท่านแม่ทัพได้เลย”

ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยถามเนิบๆ ว่า “ฝ่าบาททรงมีรับสั่งอื่นอีกหรือไม่?”

“ไม่มีแล้วขอรับ ฝ่าบาทเพียงอยากแจ้งให้ท่านแม่ทัพทราบ เพื่อจะได้ไม่เกิดความเสียหาย หากท่านแม่ทัพไม่มีคำสั่งอื่นใดอีก บ่าวก็ขอตัวกลับไปทำงานต่อแล้วขอรับ” โม่เจ๋อประสานมือคำนับอำลา

ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นเบี่ยงกายเปิดทางให้ ผายมือเชิญให้ผ่านออกไปพลางเอ่ยสั่งฉาหู่ “ไปส่งแทนข้าด้วย”

“ไม่ต้องหรอกขอรับๆ” โม่เจ๋อรีบโบกมือปฏิเสธ

ทว่าฉาหู่ยังคงออกไปส่งเขาถึงประตูใหญ่ด้วยตัวเอง

ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นยืนเงียบอยู่ในโถงหลัก เมื่อฉาหู่กลับมาถึงก็เข้าไปถามว่า “ท่านแม่ทัพเตรียมจะจัดการอย่างไรขอรับ?”

ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นลูบเคราพลางเอ่ยอย่างใช้ความคิด “มีเจตนาจะเข้ามาใกล้ชิดตระกูลฮูเหยียนจริง แต่การกระทำกลับไม่คล้ายสายลับเลย แล้วก็ไม่เห็นว่าเขาจะมุ่งร้ายอันใดต่อตระกูลฮูเหยียนด้วย”

“ตอนนี้ยังไม่ทำก็ไม่ได้แปลว่าในอนาคตจะไม่ทำนะขอรับ” ฉาหู่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หรือว่าท่านแม่ทัพยังคิดจะใช้งานเขาอยู่ขอรับ?”

ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นกล่าวว่า “แม้แต่ขุนพลพ่ายศึกจากแคว้นศัตรูข้ายังกล้าใช้งาน แล้วไยจะไม่กล้าใช้งานเขาเล่า? ขอเพียงเขายินดีจะรั้งอยู่ก็พอ! เหล่าหู่ พลทหารนับพันหาง่าย แต่ยอดแม่ทัพหายาก! ข้าอยู่ในกองทัพมานานหลายปี ไม่มีทางมองคนพลาด”

ฉาหู่เพียงยิ้มแต่ไม่เอ่ยตอบ

…….

เรือนตะวันตกที่ได้รับการปรับปรุงใหม่เรียกได้ว่าเป็นเรือนที่หรูหรางดงามที่สุดในจวนแม่ทัพใหญ่

ฮูเหยียนเวยกลับมาพร้อมสีหน้าหมองหม่น มีผู้บำเพ็ญเพียรสองคนเดินตามหลังมา ดูไปแล้วคล้ายคุมตัวเขากลับมา

“หวา ไปทำเรื่องไม่ดีมาอีกแล้วกระมัง?”

เฮ่าชิงชิงที่ถือกระบี่เดินออกมาจากสวนบังเอิญพบเข้าพอดี พอเห็นฮูเหยียนเวยมีท่าทางเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยเย้า

ฮูเหยียนเวยไม่มองนางแม้แต่น้อย เดินเข้าโถงหลักไป ผู้บำเพ็ญเพียรคุ้มกันทั้งสองเฝ้าอยู่ในสวน

“เกิดอะไรขึ้น?” เฮ่าชิงชิงเดินเข้าไปหาผู้บำเพ็ญเพียรทั้งสองแล้วเอ่ยถาม

ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งยิ้มแล้วส่ายหน้าให้ “พวกกระหม่อมก็ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ ทางท่านแม่ทัพให้พวกกระหม่อมมาจับตามองเขาไว้ ไม่ให้เขาติดต่อสื่อสารใดๆ กับภายนอกชั่วคราว”

เฮ่าชิงชิงร้อง ‘เอ๋’ ออกมา ค่อนข้างสงสัย จึงหันหลังเดินกลับไปที่ห้องโถงเช่นกัน เห็นว่าฮูเหยียนเวยนั่งจิบชาอยู่ในห้องโถงอย่างห่อเหี่ยว

“เป็นอะไรไป? แม่นางบ้านไหนล่วงเกินเจ้าหรือ?”艾琳小說

เฮ่าชิงชิงนั่งลงด้านข้างแล้วเอ่ยหยอกเย้า

เพล้ง! ฮูเหยียนเวยปาถ้วยชาในมือลงพื้น ตวาดใส่นาง “อย่ามายุ่งกับข้า!”

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ทำให้เฮ่าชิงชิงสะดุ้งโหยงขึ้นมาจริงๆ แต่นางก็ไม่ใช่คนยอมคนเช่นกัน พออีกฝ่ายปาแก้ว นางก็ชักกระบี่ออกมาทันที ตวัดกระบี่ไปจ่อคอฮูเหยียนเวย “กล้ามากำแหงกับข้าเหรอ เจ้าคงหน่ายจะมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง?”

ลูกผู้ชายต้องยืดได้หดได้ ฮูเหยียนเวยยอมสยบทันที “ไฉนองค์หญิงถึงกล่าวเช่นนี้เล่า ข้าไม่ได้โมโหใส่เจ้า แต่ข้าโมโหอันไท่ผิงคนนั้น ไม่สิ ต้องเรียกหยวนกังถึงจะถูก แม่งเอ่ย หลอกข้าเสียหมดท่าเลย”

นัยน์ตาเฮ่าชิงชิงกลอกกลิ้งไปมา ลดกระบี่ที่จ่อคอเขาลง เอ่ยถามไปว่า “รีบพูดมา สรุปแล้วเรื่องราวเป็นมาอย่างไร?”

ฮูเหยียนเวยส่ายหน้า “เฮ้อ พูดไปก็หงุดหงิดใจ อย่าพูดเลยดีกว่า!”

ฟึ่บ! เฮ่าชิงชิงเล็งกระบี่จ่ออกเขา “จะพูดหรือไม่พูด?”

สตรีนางนี้เอะอะก็ยกกระบี่มาข่มขู่ตนอยู่ได้ ฮูเหยียนเวยพลันโมโหขึ้นมาเช่นกัน “ทำไม? ข้าไม่พูดแล้วจะทำไม หรือเจ้าจะสังหารสามีตัวเองหรือยังไง?”

เฮ่าชิงชิงหัวเราะหึหึ เอ่ยไปว่า “ข้าไหนเลยจะกล้าสังหารบุตรชายแม่ทัพใหญ่ทิ้งง่ายๆ แต่ถ้าให้แทงเจ้าสักสองสามแผลข้ายังคงกล้าทำอยู่” ว่าแล้วก็ออกแรงกดกระบี่ คมกระบี่แทงทะลุอาภรณ์เขาเข้าไปทันที

“เฮ้ยๆๆ มีอะไรก็คุยกันดีๆ” ฮูเหยียนเวยเปลี่ยนท่าทีในชั่วพริบตา อ้อนวอนอยู่ตรงนั้น เขารู้ดีว่าสตรีอันธพาลคนนี้ไม่ว่าเรื่องเช่นไรก็กล้าทำทั้งสิ้น

เฮ่าชิงชิงก้มมองเขาจากมุมที่สูงกว่าพลางจ่อกระบี่ใส่เขาที่นั่งบนเก้าอี้ “จะพูดหรือว่าไม่พูด?”

ฮูเหยียนเวยถอนหายใจเอ่ยไปว่า “เรื่องนี้พูดไปแล้วก็น่าหงุดหงิดจริงๆ อันไท่ผิงคนนั้นชื่อจริงคือหยวนกัง เป็นคนของยงผิงจวิ้นอ๋องซางเฉาจงแห่งจังหวัดชิงซานในแคว้นเยี่ยน มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นสายลับ ตลอดเวลาที่ผ่านมาตระกูลฮูเหยียนของข้าดีต่อเขามาก ข้าเองก็นับถือเขาเป็นพี่เป็นน้องจากใจจริง แต่เขากลับหลอกลวงข้าเช่นนี้ เมื่อครู่ทางท่านพ่อสอบถามสถานการณ์บางส่วนจากข้า ข้าถึงได้รู้ว่าทางท่านพ่อกำลังเตรียมดำเนินการแล้ว เตรียมจะจับกุมคนทั้งหมดในร้านเต้าหู้กลับมาทั้งหมดในคราวเดียว ท่านพ่อกลัวว่าข้าจะหุนหันพลันแล่นทำข่าวรั่วไหล จึงให้คนมาจับตามองข้า…”

หลังจากฟังจบ เฮ่าชิงชิงก็เอ่ยอย่างดูแคลน “ก็นึกว่าเรื่องอะไร” จากนั้นก็แค่นเสียงเหอะ เก็บกระบี่เข้าฝักแล้วหันหลังเดินจากไป

“นางแพศยา!” ฮูเหยียนเวยกระซิบด่าไล่หลังนางที่เดินจากไป จากนั้นก็นั่งฉุนเฉียวอยู่ตรงนั้น

ภายในห้องหนังสือ เฮ่าชิงชิงเดินวนไปวนมา สุดท้ายก็นั่งลงแล้วหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง

หลังจากใส่จดหมายลงซองเรียบร้อยแล้วก็เรียกสาวใช้ของตนเข้ามา ยื่นจดหมายให้แล้วสั่งว่า “เดี๋ยวเจ้าไปที่ร้านเต้าหู้หน่อย มอบจดหมายฉบับนี้ให้อันไท่ผิงเถ้าแก่ร้านเต้าหู้ จำไว้ว่าต้องส่งให้ถึงมือเขาเท่านั้น…”

….

ณ สวนไม้เลื้อย

ริมราวกั้น อวี้ชางพิงราวกันพลางอ่านจดหมายในมือ “หยวนกัง! ในเมื่อมีเจตนาเข้ามาใกล้ชิดซูจ้าว ก็แปลว่าหนิวโหย่วเต้าทราบถึงตัวตนของซูจ้าวแล้ว”

ตู๋กูจิ้งเอ่ยตอบว่า “น่าจะใช่ขอรับ”

อวี้ชางกล่าวไปว่า “เกิดช่องโหว่ใหญ่ขนาดนี้ขึ้นกับทางเรา ผู้อาวุโสไป๋ก็ปัดความรับผิดชอบไม่ได้แล้ว! เขาบอกไว้ไม่ใช่หรือว่าหากมีปัญหาพัวพันอันใดขึ้นมา เขาจะลงมือจัดการด้วยตัวเอง? นำจดหมายนี้ไปให้เขา ให้เขาหาทางจัดการเสีย!”

“ขอรับ!” ตู๋กูจิ้งตอบรับ

….

ภายในร้านเต้าหู้ หยวนกังก็กำลังอ่านจดหมายฉบับหนึ่งอยู่เช่นกัน เป็นจดหมายที่เฮ่าชิงชิงให้คนนำมาส่งให้

พออ่านจบหยวนกังก็ทำลายจดหมายทิ้งอย่างเงียบๆ รู้สึกหนักใจ เฮ่าชิงชิงให้เวลาเขาถอนกำลังออกไปภายในสามวัน ไม่คิดเลยว่าเพิ่งผ่านไปสองวัน ตัวตนของเขาก็เปิดเผยแล้ว

เขาเข้าใจเจตนาของเฮ่าชิงชิงที่ส่งจดหมายฉบับนี้มา เฮ่าชิงชิงอาจจะอยากพิสูจน์ว่าความลับไม่ได้รั่วไหลจากทางนาง

เมื่อเหลียวมองไปรอบร้านเต้าหู้ก็เห็นว่าดูว่างโล่งกว่าปกติ เหล่าพี่น้องถูกเขาสั่งให้ถอนกำลังออกไปตั้งแต่เช้าตรู่วันนี้แล้ว ใช้ข้ออ้างว่าออกไปฝึกฝนตามปกติ จากนั้นก็ให้ถอนกำลังหนีไป ส่วนเรื่องออกไปตั้งแผงก็ยกให้เป็นหน้าที่ของคนงานคนอื่นที่รับสมัครเข้ามา

คนงานที่จะออกไปตั้งแผงมีไม่เพียงพอ เสมียนเกาจึงบ่นอุบอิบอยู่พักหนึ่ง

ส่วนสาเหตุที่ตัวเขาเองยังไม่จากไปก็เพราะมีเหตุผลอย่างอื่น ทำให้เขาลังเลไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไร

หลังจากได้อ่านจดหมายฉบับนี้ เขาก็เข้าใจแล้วว่าจะโอ้เอ้ต่อไม่ได้แล้ว จำเป็นต้องตัดสินใจเสียที

ทันทีที่ตัดสินใจได้ก็กลับไปเก็บสัมภาระบางอย่างในเรือนเพื่อพกติดตัวไปด้วย จากนั้นก็ออกไปจากร้านเต้าหู้อย่างรวดเร็ว ไปขึ้นเรือที่ริมทะเลสาบแล้วจากไป

หลังจากโดยสารเรือล่องไปตามแม่น้ำก็มาถึงศาลาริมน้ำใกล้ประตูหลังเรือนเมฆาขาว หยวนกังลงจากเรือเข้าไปด้านใน ตรงไปหาซูจ้าวทันที

ซูจ้าวที่รู้ข่าวและออกมาต้อนรับยังไม่ทันได้พูดอะไร หยวนกังเหลือบมองฉินเหมียนที่ยืนจ้องมาทางนี้อยู่ไกลๆ กระซิบบอกซูจ้าว “เจ้ามากับข้าหน่อย”

ซูจ้าวไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร แต่ก็ตามไป กลับไปที่ห้องพักของนางด้วยกัน

พอเข้าห้องปิดประตูแล้ว หยวนกังก็ดึงแขนนางแล้วเร่งเดินเข้าไปในห้อง จ้องมองนางด้วยสายตาคร่ำเคร่ง

“เป็นอะไรไป?” ซูจ้าวรับรู้ได้ว่าวันนี้เขาค่อนข้างแปลกไป

หยวนกังเอ่ยถามไปตรงๆ อย่างไม่อ้อมค้อม “เจ้ายินดีจะไปกับข้าหรือไม่?”

ซูจ้าวแปลกใจ “ไปไหน?”

หยวนกังเอ่ยว่า “ไปจากเรือนเมฆาขาว ตามข้าไปที่จังหวัดชิงซาน”

“….” ซูจ้าวตกตะลึงพูดไม่ออก จู่ๆ ก็เอ่ยถึงจังหวัดชิงซาน สะกิดปมในใจบางอย่างของนางเข้า นางอึกอักพูดไม่ออก

หยวนกังกล่าวไปว่า “ชื่อจริงของข้าคือหยวนกัง หนิวโหย่วเต้าคือสหายรักของข้า”

ซูจ้าวตกใจ สะบัดมือเขาออกทันที เอ่ยด้วยความตะลึง “เจ้า…เจ้าคือหยวนกังหรือ?”

นางย่อมได้เคยยินชื่อคนที่เป็นคนสนิทข้างกายของหนิวโหย่วเต้าผู้นี้

หยวนกังพยักหน้ารับ “ข้าเองก็รู้ฐานะที่แท้จริงของเจ้าแล้วเช่นกัน”

ซูจ้าวเข้าใจในเรื่องบางอย่างขึ้นมาทันที พลันเอ่ยด้วยสีหน้าโกรธเคือง “เจ้าเข้าหาข้าก็เพราะคิดจะใช้ประโยชน์จากข้าอย่างนั้นหรือ?”

หยวนกังตอบว่า “ใช่! ฐานะของข้าเปิดเผยแล้ว ตระกูลฮูเหยียนคิดลงมือกับข้า ข้าจำเป็นต้องจากไป เจ้ายินดีจะไปกับข้าหรือไม่?”

ซูจ้าวขบริมฝีปากแน่น จ้องมองเขา เอ่ยด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า “ในเมื่อเจ้าหลอกข้าแล้วยังกล้ามาที่นี่อีก คิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้าหรือ?”

หยวนกังกล่าวไปว่า “ฐานะของข้าเปิดเผยออกไปแล้ว พอข้าจากไป เกรงว่าหอจันทร์กระจ่างคงจะทราบความจริงในไม่ช้าก็เร็ว นั่นก็หมายความว่าหอจันทร์กระจ่างจะรู้เช่นกันว่าฐานะเจ้าถูกเปิดเผยแล้ว เจ้าจะตกอยู่ในอันตรายอย่างใหญ่หลวง”

………………………………………………………