บทที่ 360 จดหมายตอบกลับของพี่เซวีย

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 360 จดหมายตอบกลับของพี่เซวีย

บทที่ 360 จดหมายตอบกลับของพี่เซวีย

เมื่อเหยาซูกับถึงบ้าน ก็รีบส่งจดหมายให้เถ้าแก่เนี้ยเซวียทันที

เพราะเถ้าแก่เนี้ยเซวียมักจะร่อนเร่อยู่ข้างนอกตลอดทั้งปี จึงไม่มีสถานที่ที่สามารถพบนางได้อย่างแน่นอน เหยาซูจึงเขียนจดหมายไปหาตระกูลเจี่ยงก่อน ชี้แจ้งสถานการณ์ให้เจี่ยงฉีฟัง แล้วไหว้วานให้นางส่งต่อแทน

แต่ไม่กี่วันหลังจากนั้น เหยาซูก็ได้รับจดหมายตอบกลับ

เช้าวันรุ่งขึ้น หญิงสาวก็ถือจดหมายตรงไปหาพี่สะใภ้ทั้งสองคนของตระกูลเหยา

“พี่สะใภ้ พี่สะใภ้!”

สะใภ้ใหญ่เหยาและสะใภ้รองเหยากำลังเตรียมตัวสำหรับเทศกาลตวนอู่ เมื่อเห็นน้องสามีเดินมาหาด้วยความรีบร้อน ต่างก็สบตากัน หึ…ดูจากสถานการณ์แล้ว น่าจะมีข่าวดีมาบอกพวกนาง…

เหยาซูเดินเข้าไปใกล้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แล้วพูดว่า “พี่เซวียตอบกลับแล้ว บอกว่าจะมาเมืองหลวงวันนี้ มาให้คำแนะนำเกี่ยวกับร้านขายผ้าแก่พวกเรา”

สองสามวันนี้สะใภ้รองเหยายังคงหาร้านอีกหลายแห่ง แต่ก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ เมื่อได้ยินเหยาซูพูดเช่นนี้ จึงอดพูดด้วยความดีใจไม่ได้ “เยี่ยมไปเลย หลายคนหลายความคิด คิดว่าอีกไม่นานน่าจะตกลงเรื่องร้านขายผ้าได้”

สะใภ้ใหญ่เหยายิ้มน้อยยิ้มใหญ่

เหยาซูวางจดหมายลงด้านข้าง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จริงที่สุด ช่างบังเอิญยิ่งนัก พี่เซวียเพิ่งจะนำเข้าสินค้าจากทางตอนใต้สู่เมืองชิงถง แล้วไปเยี่ยมบ้านตระกูลเจี่ยงพอดี จึงได้อ่านจดหมายของเรา พวกนางสองคนกำลังปรึกษากัน ตั้งใจว่าจะเข้าเมืองหลวงพร้อมกัน”

สะใภ้ใหญ่เหยาได้ยิน ‘พี่เจี่ยง’ จากปากของนางมากนานแล้ว ในที่สุดก็ไม่อาจยับยั้งความอยากรู้อยากเห็นในใจได้อีกต่อไป จึงถามว่า “พี่เจี่ยงที่อาซูพูดถึง คงไม่ใช่ฮูหยินนายอำเภอก่อนหน้านั้นหรอกนะ? พวกเจ้าสองคนไปมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันตอนไหน?”

สะใภ้รองเหยาเองก็ไม่เข้าใจจึงกล่าวเสริม “ก็ไม่เชิง แต่ก็ได้ยินมาว่านิสัยนางแย่มาก เข้าถึงยาก ยิ่งไปกว่านั้นพวกเจ้าก็ไม่เหมือนกับคนผ่านทางด้วย เหตุใดถึงได้กลายเป็นสหายสนิทกันเสียได้?”

ความเป็นสหายระหว่างเหยาซูและเจี่ยงฉี สะใภ้รองเหยาและสะใภ้ใหญ่เหยาได้ยินมาจากเหยาเฉาบ้าง แต่นางไม่เคยเจอ ‘ฮูหยินนายอำเภอ’ ผู้นี้มาก่อนจึงรู้แค่นิสัยของนางเท่านั้น

แต่ไม่เข้าใจว่าน้องสามีไปมีปฏิสัมพันธ์กับเจี่ยงฉีตั้งแต่เมื่อใด

เมื่อเหยาซูเห็นพี่สะใภ้ทั้งสองคนแสดงท่าทีเหมือนจะไม่เข้าใจ จึงได้แต่พยักหน้าเล็กน้อย ตามด้วยคลี่ยิ้ม “ประเดี๋ยวพี่สะใภ้เจอนางก็รู้เอง พี่เจี่ยงตอนนี้ไม่เหมือนกับในอดีตแล้วนะเจ้าคะ”

ครั้นได้ยินนางพูดคำว่า ‘อดีต’ ทั้งสองคนก็สบตากันแวบหนึ่ง สะใภ้ใหญ่เป็นฝ่ายทนไม่ไหว รีบพูดกับเหยาซูว่า “อาซูยังจำวันครบรอบหนึ่งร้อยวันของซานเป่าได้หรือไม่ ท่าทางที่นางมาจวนของเราวันนั้น? จะมองอย่างไร ก็ไม่เหมือนคนจิตใจดี…”

อคติของคนเราไม่ได้เกิดขึ้นในวันเดียว และไม่สามารถทลายลงด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของเหยาซู

เหยาซูเข้าใจเหตุผลนี้ดี จึงไม่ได้บังคับให้พี่สะใภ้ทั้งสองคนปล่อยวางทัศนคติที่มีต่อเจี่ยงฉี

ซึ่งแน่นอนว่านางต้องเล่าเรื่องเกี่ยวกับเจี่ยงฉีให้พี่สะใภ้ทั้งสองคนฟังมากกว่านี้

เหยาซูเชื่อว่าพี่สะใภ้ทั้งสองคนจะต้องเข้าใจความลำบากใจของเจี่ยงฉีแน่นอน

เหยาซูแสดงสีหน้าเคร่งเครียดพร้อมกล่าวอย่างจริงจัง “พี่เจี่ยงมีอดีตที่ไม่ดี นายอำเภอเหยาเป็นคนเช่นไร ใครบ้างไม่รู้? คนที่โตมากับสภาพสังคมที่เลวร้าย ทั้งยังเอาแต่สำมะเลเทเมาทั้งวัน หญิงสาวที่ตกหลุมรักไม่ว่าจะสถานะไหน เป็นคนเช่นไร ล้วนถูกยัดเข้าไปในจวนหลังทั้งนั้น พี่เจี่ยงเมื่อครั้งอดีต ชะล่าใจมากเกินไป”

สะใภ้รองเหยาพยักหน้า “เรื่องนี้ข้าเองก็เคยได้ยินมา ต่อมานางก็แยกทางกับนายอำเภอเหยาใช่หรือไม่?”

เหยาซูพูดขึ้น “ถูกต้อง ต่อไปพี่สะใภ้จะได้เจอกับเถิงเอ๋อ บุตรชายเพียงคนเดียวของพี่เจี่ยง นางตัดสินใจแยกทางอย่างเด็ดขาด นอกจากจะต้องทอดทิ้งนายอำเภอเหยาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังทำเพื่อเถิงเอ๋อด้วย”

สะใภ้ใหญ่เหยาถามขึ้น “นี่มันโชคชะตาอะไรกัน? หลังจากที่นางแยกทางกัน ก็พาลูกชายออกมาเลยหรือ?”

เหยาซูเบะปาก สีหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจต่อนายอำเภอเหยา “ทำไมจะไม่ได้เล่า? นายอำเภอเหยาทำงานไม่เป็นโล้เป็นพาย ที่ได้เลื่อนขั้นไม่ใช่เพราะตระกูลเจี่ยงคอยอยู่เบื้องหลังหรอกหรือ? เถิงเอ๋อก็เช่นกัน ที่เขาต้องมีร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก ก็เพราะการลอบกัดของพวกหญิงในจวนหลังยามที่รู้ว่าพี่เจี่ยงกำลังตั้งท้องเขา เมื่อพี่เจี่ยงตัดสินใจแยกทาง จึงต้องพาเถิงเอ๋อกลับบ้านตระกูลเจี่ยงด้วย เพื่อไม่ให้เด็กได้รับผลกระทบจากพ่อเช่นนี้”

สะใภ้ใหญ่เหยาได้ยินดังนั้น จึงอดทอดถอนใจไม่ได้ “ฮูหยินเจี่ยงต้องอดทนมาหลายปี เกรงว่าในใจคงจะมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งต่อสามี”

สะใภ้รองเหยาขมวดคิ้ว “มีความรู้สึกแล้วอย่างไร? ความรู้สึกระหว่างสามีภรรยา จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันอย่างไร อีกอย่างผู้แซ่เหยาคนนั้นก็ไม่ใช่คนดีนัก ควรตาสว่างและทิ้งเขาเสีย! มิเช่นนั้น คงจะทนทุกข์ทรมานไปอีกหลายปี!”

สะใภ้ใหญ่เหยาพยักหน้าคล้อยตาม “ใครบ้างไม่เห็นด้วย? เพื่อลูก อย่างไรก็คงให้อยู่ในตระกูลเช่นนี้ไม่ได้”

หลังจากที่เหยาซูเล่าเรื่องของเจี่ยงฉีจบแล้ว ทัศนคติที่สะใภ้ทั้งสองคนของตระกูลเหยามีต่อเจี่ยงฉีก็เปลี่ยนไปไม่น้อยโดยไม่รู้ตัว

ไม่กี่วันต่อมา เหยาซูก็ได้รับข่าวว่าฮูหยินเจี่ยงและเถ้าแก่เนี้ยเซวียเข้าเมืองหลวงแล้ว

เช้าวันนี้ เหยาซูจึงรีบเก็บกวาดห้องรับแขกในจวน และจัดการร้านอาหาร

เตรียมการต้อนรับเจี่ยงฉีและเถ้าแก่เนี้ยเซวีย

อีกด้านหนึ่งคนที่ดีใจไม่หยุด ก็น่าจะเป็นอาซือ

เด็กหญิงลุกขึ้นมาถามไถ่อยู่หลายครั้งตั้งแต่เช้า โดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย “ท่านแม่ เราออกไปกันเลยดีไหมเจ้าคะ? เดินทางตอนนี้ได้หรือยังเจ้าคะ?”

เมื่อเหยาซูเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของลูกสาวตัวน้อย ก็ไม่อาจทำให้อาซือผิดหวังจึงได้แต่ยิ้มและกล่าวว่า “เอาละ เอาละ เราจะเดินทางตอนนี้ตกลงไหม? แต่พี่เถิงเอ๋อของเจ้าและคนอื่นยังอยู่ห่างกันอีกสักระยะหนึ่ง เราจะไปร้านอาหาร แล้วรออยู่ที่นั่น”

อาซือจัดแจงเสื้อผ้าจนเรียบร้อย จากนั้นก็พูดด้วยความตื่นเต้น “ไปกันเถอะ ไปกันเถอะ ท่านแม่ ไปกันเถอะเจ้าค่ะ! เราไปรอที่ร้านอาหารไม่ใกล้กว่าหรือ?”

เหยาซูไม่ใคร่เข้าใจคำว่า ‘ใกล้กว่า’ ที่ออกจากปากของบุตรสาวว่ามันหมายความว่าอย่างไร คิดว่าคงเพราะเด็กน้อยคาดหวังมากเกินไป และอยากเจอกับสหายของตัวเองมาก

เพราะพี่สะใภ้ทั้งสองคนมีธุระในช่วงเช้า จึงนัดแนะจะมาเจอกันในร้านอาหารยามอู่ เหยาซูอธิบายให้แม่เฒ่าเหยาฟังหนึ่งรอบ จากนั้นก็พาอาซือออกจากบ้านไป

เรือนตระกูลเหยาห่างจากร้านอาหารของเหยาซูไม่ไกลนัก นางจึงไม่เรียกคนขับเกวียนของที่บ้าน แค่พาอาซือเดินไปเรื่อย ๆ

เด็กสาวกระโดดโลดเต้นไปตลอดทาง แถบผ้าที่มัดอยู่บนศีรษะโบกพลิ้วไสวขึ้นลง คล้ายกับผีเสื้อที่บินไปมาอยู่ท่ามกลางสายลมที่เย็นฉ่ำในยามเช้าตรู่ พาให้คนที่เห็นรู้สึกสดใสไปตาม ๆ กัน

เมื่อมาถึงร้านอาหาร เหยาซูก็เห็นลูกค้าที่มาทานอาหารเช้าสองสามคนนั่งกระจัดกระจายอยู่ในห้องโถงกลาง เถ้าแก่หลิวไม่อยู่ มีแต่อาเฉียนและอาคุนที่คอยวิ่งวุ่นอยู่ในห้องโถงนี้กำลังพูดคุยหัวเราะสนุกสนานอยู่หน้าประตู

เมื่อทั้งสองคนเห็นเหยาซู จึงรีบเข้ามากล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม “นายหญิง! พาอาซือมาด้วยหรือขอรับ? รับประทานอาหารเช้ามาหรือยังขอรับ?”

เหยาซูพยักหน้า แล้วตอบกลับ “กินเสร็จก็ออกมาเลย ช่วงเช้าข้าจะมีสหายสองคนมาที่นี่ เวลาไม่แน่นอน ตระเตรียมห้องรับรองให้พร้อมล่ะ”

ทั้งสองคนพยักหน้า แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เรื่องง่ายขอรับ เราจะไปทำความสะอาดเดี๋ยวนี้!”

ระหว่างที่พูด สองพี่น้องได้นำเหยาซูและอาซือเข้าไปในร้าน จากนั้นก็แยกออกไปเตรียมห้องรับรอง

คนที่มารับประทานอาหารในช่วงเช้ามีจำนวนไม่เยอะนัก ลูกจ้างสองสามคนในห้องโถงกลาง โดยส่วนใหญ่เป็นลูกค้าประจำของร้านอาหาร ไม่จำเป็นต้องกล่าวทักทาย สนใจแต่ที่นั่งประจำที่นั่งเป็นปกติ กินอาหาร พูดคุยกันก็พอ

เมื่อเห็นเหยาซูเข้ามาก็โผเข้ามาทักทายทันที “เถ้าแก่เนี้ยเหยา มาเช้าขนาดนี้เลยนะขอรับ? ลำบากแย่เลย”

จากนั้นก็เห็นเด็กหญิงที่เดินตามอยู่ข้างกายของเหยาซู ลูกค้าอีกโต๊ะก็พูดด้วยความประหลาดใจ “นี่คือลูกสาวของเถ้าแก่เนี้ยเหยาหรือ? หน้าตางดงามเชียว มีส่วนคล้ายกับเถ้าแก่เนี้ยเหยาอยู่ไม่น้อย โตขึ้นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นแน่นอน!”

เหยาซูยิ้มพลางกล่าวทักทายกับพวกเขาเพียงไม่กี่คำ จากนั้นก็พาอาซือไปกล่าวทักทายลุง ๆ ป้า ๆ อีกสองสามโต๊ะ สองแม่ลูกจึงได้ขึ้นไปชั้นบน

ขาเล็ก ๆ ของอาซือวิ่งตึกตักขึ้นไปชั้นบน ส่วนปากก็พึมพำในสิ่งที่มาเข้าใจออกมา

เหยาซูยิ้มและถามนาง “เอ้อเป่าอารมณ์ดีเช่นนี้เชียว หือ?”

อาซือสะบัดหัวเล็กน้อย สีหน้าดูมีความสุขและน่ารักในเวลาเดียวกัน “ต้องอารมณ์ดีแน่นอน! พวกลุง ๆ ป้า ๆ เหล่านั้นช่างแสนดียิ่งนัก ชื่นชมข้า…ยิ่งไปกว่านั้น อีกไม่นานข้าก็จะได้เจอกับพี่เถิงแล้ว! ท่านแม่ เราไปเตรียมเถียนจิ่วชงตั้นชุดหนึ่งให้พี่เถิงกันดีไหมเจ้าคะ? ข้าเคยเขียนในจดหมายให้เขา เขาบอกว่าอยากลองชิมเจ้าค่ะ!”

น้ำเสียงไร้เดียงสาและมีความสุขของเด็กหญิงช่างเหมือนนกจาบฝนที่ขับขานจี๊ด ๆ อย่างสดใส ทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกสบายใจไปตาม ๆ กัน

เหยาซูจูงมือของอาซือมาตรงหน้าของตัวเอง แล้วจัดแจงเสื้อผ้าของตนเองให้เรียบร้อย

หญิงสาวพูดกับลูกสาวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เราเตรียมให้เถิงเอ๋อได้แน่นอน แต่เถียนจิ่วชงตั้นมีฤทธิ์ค่อนข้างเย็น เอ้อเป่าต้องเตือนพี่เถิงของเจ้าว่าอย่ากินมากนัก”

อาซือรีบพยักหน้าหงึกหงัก แล้วพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว! ก่อนหน้านั้นที่ไปบ้านของพี่เถิง ข้าตั้งใจถามหมอมาแล้วว่าอาหารชนิดไหนมีผลต่อยาของเขา …เถียนจิ่วชงตั้นที่ทำด้วยข้าวเหนียว แล้วก็ใส่เม็ดเก๋ากี้ลงไป พี่เถิงกินได้ไม่มีปัญหาเจ้าค่ะ”

เมื่อเหยาซูเห็นนางเอาใจใส่เช่นนี้ ก็รู้สึกประหลาดใจไปชั่วขณะ

อาซือเพิ่งจะไม่กี่ขวบ มีความใส่ใจกันถึงเพียงนี้เชียว? อีกทั้งยังรู้จักถามหมออีกด้วย…

เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของเด็กสาว เหยาซูก็อดยิ้มไม่ได้ จากนั้นก็ลูบศีรษะของนางแล้วพูดว่า “ในเมื่อเอ้อเป่ารู้ความเพียงนี้ เจ้าก็ไปเตรียมอาหารให้เถิงเอ๋อเถอะ”

จู่ ๆ เด็กหญิงก็มีภาระที่มากเพียงนี้แบกอยู่บนไหล่ สีหน้าจึงยิ่งดูจริงจัง

เด็กหญิงเอียงคอครุ่นคิดและพูดว่า “ท่านแม่ ข้าจะให้พ่อครัวใหญ่ในครัวอุ่นเถียนจิ่วชงตั้น เช่นนี้ยามพี่เถิงกินเข้าไป จะได้ไม่รับเอาความเย็นเข้าไปเจ้าค่ะ!”

ขณะที่พูดนางก็วิ่งออกจากห้องรับรองไป แล้วลงไปห้องครัวชั้นล่าง

เหยาซูตามออกไป จากนั้นก็เอนพิงมองดูแผ่นหลังที่วิ่งลงไปชั้นล่างด้วยความดีใจของลูกสาว และคาดหวังกับการมาของเถิงเอ๋อและคนอื่น ๆ อยู่ในใจ…

……………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

อาซือเอาใจใส่พี่เถิงมากเลยนะคะ โตขึ้นจะเป็นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่กันหรือเปล่าน้อ

ไหหม่า(海馬)