บทที่ 361 เจี่ยงฉีและคนอื่นมาถึงเมืองหลวง
บทที่ 361 เจี่ยงฉีและคนอื่นมาถึงเมืองหลวง
เมื่อพี่สะใภ้ทั้งสองของตระกูลเหยาจัดการธุระเสร็จก็ตรงมายังภัตตาคารทันที แต่เจี่ยงฉียังมาไม่ถึง
เหยาซูกำลังปรึกษาหารือกับเถ้าแก่หลิวเกี่ยวกับกิจกรรมที่จะจัดขึ้นในร้านอาหารช่วงเทศกาลตวนอู่
สะใภ้ใหญ่เหยาและสะใภ้รองเหยานั่งอยู่อีกด้าน ในเวลาเดียวกันคนอื่นก็กำลังฟังเหยาซูบอกรายละเอียดของกิจกรรมในร้านอาหาร
เมื่อทั้งสองคนฟังไปแล้วครู่หนึ่ง สะใภ้รองเหยาก็อดประหลาดใจไม่ได้ ก่อนจะพูดกับสะใภ้ใหญ่ด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ ไม่แปลกใจเลยที่ร้านอาหารเหมือนกัน พ่อครัวคนเดียวกัน คนกลุ่มเดียวกัน แต่เมื่ออาซูเข้ามาจัดการ กิจการนี้กลับรุ่งเรืองกว่าแต่ก่อนมาก พี่ฟังดูสิ แค่เทศกาลตวนอู่เทศกาลเดียว นางยังคิดได้ถึงเพียงนี้?”
สะใภ้ใหญ่เหยาก็ฟังจนเหม่อลอยอยู่ด้านข้าง ก่อนจะกล่าวกับสะใภ้รองเหยาด้วยรอยยิ้ม “นั่นนะสิ ข้าเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าสำหรับคนที่มาร้านอาหารในช่วงเทศกาล จะให้โน่นให้นี่….”
สะใภ้รองเหยากล่าวขึ้นอย่างทอดถอนใจ “แล้วที่เยี่ยมที่สุดคืออาหาร! ให้อาหารสุดพิเศษในช่วงเทศกาลตวนอู่ ทั้งยังเป็นอาหารที่มีเวลาจำกัด ทำเช่นนี้จะดึงดูดทุกคนไม่ได้เชียวหรือ?”
สะใภ้ใหญ่เหยาพยักหน้า “ป้ายไม้ขนาดเล็กที่อาซูสั่งให้ทำก็งดงามประณีตไม่น้อย มีการเขียนวันเวลา ชนิดอาหารไว้ด้านหลัง ลูกค้าจะต้องเข้าใจอย่างแน่นอน ขอแค่ให้มาภายในวันเวลาที่กำหนด เอาป้ายมาแลก ก็ไม่ต้องเสียเงินต่อมื้ออาหารมากนัก ถ้าข้าเป็นลูกค้า ข้าเองก็อยากมาอีก”
สะใภ้รองเหยาใช้นิ้วเคาะศีรษะของตัวเองเบา ๆ ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มนุษย์เราเหมือนกัน แต่สิ่งที่อยู่ภายในต่างกันอย่างสิ้นเชิง”
ระหว่างที่พี่สะใภ้และน้องสะใภ้กำลังพูดคุยกัน พวกนางยังได้เรียนรู้แนวคิดที่มีประโยชน์กับเหยาซูไปไม่น้อย หลังจากที่คุยไปแล้วพักใหญ่ ก็พบว่าสิ่งเหล่านั้นสามารถนำไปปรับใช้กับร้านขายผ้าเหยาจี้ในอนาคตได้อีกด้วย
“ดูเหมือนว่ากิจการต่างก็เหมือน ๆ กัน แต่นางผู้นี้ใช้สมอง” สะใภ้รองเหยากล่าว
สะใภ้ใหญ่เหยาขบขันกับการหยอกเย้าของนาง เมื่อเห็นหลานสาวตัวน้อยตั้งใจฟังอยู่ด้านข้าง ทั้งยังพยักหน้าเป็นครั้งคราว จึงได้แต่ยิ้มออกมา “พูดกันมาตั้งนาน ไม่รู้ว่าอาซือฟังอยู่ตรงนี้ด้วย”
เมื่อสะใภ้รองเหยาสังเกตเห็นเด็กหญิงนั่งอย่างว่าง่ายอยู่ข้างกาย จึงยื่นมือออกไปบีบแก้มกลม ๆ ของนางเบา ๆ พร้อมกับคลี่ยิ้ม “ให้ข้าดูหน่อยสิว่าเด็กน้อยอย่างเจ้าจะรู้ความหรือไม่?”
อาซือกลั้วหัวเราะ จากนั้นก็แย้งกลับ “ป้าสะใภ้รอง ข้าไม่เด็กแล้วนะเจ้าคะ! อีกอย่างที่ท่านแม่กับพวกท่านอาคุยกัน ข้าก็เข้าใจทุกอย่าง”
เมื่อสะใภ้ใหญ่เห็นนางพูดเช่นนี้ ก็อดแปลกใจไม่ได้ “เช่นนั้นอาซือลองว่ามาสิว่าเจ้าเข้าใจอะไรบ้าง?”
สะใภ้รองเหยาปล่อยมือจากใบหน้าของอาซือ เด็กหญิงนั่งตัวตรง หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็กล่าวอย่างจริงจัง “สิ่งที่ท่านแม่พูด ล้วนเป็นแนวคิดที่ต้องการสร้างชื่อเสียงของร้านอาหารโดยอาศัยเทศกาลตวนอู่วันนี้เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการให้อาหารก็ดี การให้สิ่งของที่น่าสนใจก็ดี ทั้งหมดเพื่อให้ผู้อื่นรู้จักเรา คิดว่าเรานั้นแตกต่างจากทุกคน ต่อไปก็จะมาร้านอาหารของเราบ่อยขึ้น”
สะใภ้ทั้งสองคนของตระกูลเหยาพากันตกตะลึง
ก่อนจะได้ยินเด็กหญิงพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน “ก่อนหน้านั้นเรามีการประกาศเปิดร้านอีกครั้ง ทำให้ลูกค้าหลั่งไหลกันเข้ามาในร้านอาหารจำนวนไม่น้อย ปีนี้มีพวกป้า ๆ ลุง ๆ ที่กินอาหารอยู่ชั้นล่าง ต่างบอกกับข้าว่าชื่นชอบร้านอาหารของเรา อาหารอร่อย ราคาไม่สูง และยังน่าสนใจ เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่ท่านแม่ทำนั้นมีประโยชน์”
ไม่ว่าเนื้อหาที่อาซูพูดออกมาจะเป็นอย่างไร สิ่งที่เห็นคือนางได้แสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมาอย่างมีเหตุผล ไม่รู้สึกประหม่า และไม่เขินอายแม้แต่น้อย ทั้งสองคนรู้สึกว่าหลานสาวตัวน้อยของตนเองเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดมาตั้งแต่เกิดเหมือนกับอาจื้อไม่มีผิดเพี้ยน
สะใภ้รองเหยาส่งเสียงจิ๊จ๊ะ “ดูท่าเด็กคนนี้จะเข้าใจร้านอาหารไม่น้อย อาซือสนใจจะเรียนรู้ธุรกิจกับแม่ของเจ้าในอนาคตบ้างหรือไม่?”
อาซือกลั้วหัวเราะออกมา “ป้าสะใภ้พูดผิดแล้วเจ้าค่ะ! ข้าไม่อยากเรียนรู้การทำกิจการกับท่านแม่ในอนาคต นับตั้งแต่ที่ท่านแม่เปิดร้านขายชาดปากในเมืองชิงถง ข้าก็ติดตามอยู่ข้างกายท่านแม่ไปดูว่านางทำอย่างไรมาตลอด”
สะใภ้ทั้งสองคนของตระกูลเหยาต่างสบตากัน ต่างเห็นแววตาอึ้งงันของอีกฝ่าย
สะใภ้ใหญ่เหยามองตาใสแป๋วของอาซือ แล้วพูดอย่างอบอุ่น “อาซือมีความคิดที่ดี พวกเจ้าสองพี่น้องต่างก็เฉลียวฉลาด ในอนาคตจะต้องประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่แน่นอน”
อาซือเอียงศีรษะเล็กน้อย ดวงตาที่เปล่งประกายงดงามดุจหยกได้สบสายตาของนาง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าแค่รู้สึกว่า การทำกิจการนั้นน่าสนุก สร้างเงินได้นี่ถือว่าประสบความสำเร็จมากแล้ว เงินที่ท่านแม่หามาได้ก่อนหน้านั้น ข้าได้นับมันอย่างละเอียดเจ้าค่ะ!”
สะใภ้ใหญ่เหยาและสะใภ้รองเหยาต่างคลี่ยิ้มพร้อมกัน
ปกติอาซือดูโตเกินวัยมิเท่าอาจื้อ ทว่าการที่เด็ก ๆ มีความคิดเช่นนี้ สำหรับพวกนางแล้วช่างเป็นเรื่องที่ปกติมาก
สะใภ้รองเหยาพูดให้กำลังใจ “ต่อไปเด็กน้อยของเราจะต้องร่ำรวยเป็นอันดับต้น ๆ ของเมืองหลวง ไม่ก็ร่ำรวยเป็นอันดับต้น ๆ ของแคว้นต้าเยี่ยนเป็นแน่!”
นัยน์ตาของอาซือเปล่งประกาย ดูท่าจะตื่นเต้นไม่น้อย
เห็นได้ชัดว่าพูดตรงใจ
ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน ก็ได้ยินเสียงของอาคุนดังมาจากชั้นล่าง “นายหญิง นายหญิง! แขกมาถึงแล้วขอรับ!”
ยังไม่ทันรอให้เหยาซูตอบรับ อาซือก็ลุกพรวดขึ้น ใบหน้าขาวเนียนของเด็กน้อยเผยรอยยิ้มแห่งความดีใจออกมา จากนั้นก็ตะโกนไปทางเหยาซูว่า “ท่านแม่!”
นัยน์ตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความคาดหวัง
เหยาซูคลี่ยิ้ม พยักหน้าให้ลูกสาว เด็กหญิงจึงวิ่งตัวปลิวลงไปชั้นล่างโดยพลัน
กระทั่งเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจของสะใภ้ทั้งสองคน เหยาซูจึงลุกขึ้นและตามลงไปชั้นล่าง พลางอธิบายด้วยรอยยิ้ม “ตอนที่อยู่เมืองชิงถง เถิงเอ๋อจะมาเล่นที่บ้านเราทุกวัน เด็ก ๆ จึงค่อนข้างสนิทกันเป็นพิเศษ”
สะใภ้รองเหยาพยักหน้า แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเคยได้ยินเอ้อหลางพูดถึงอยู่ว่าเถิงเอ๋อเป็นเด็กดี นิสัยอบอุ่นและมีมารยาท”
ทั้งสามคนเดินพลางคุยพลางลงไปชั้นล่าง
เหลือเวลาราวหนึ่งถ้วยชาอุ่นก็จะเที่ยงวันแล้ว ทว่าลูกค้าในโถงภัตตาคารกลับยังมีไม่มากนัก
เจี่ยงฉีและเถ้าแก่เนี้ยเซวียเดินยิ้มเข้ามา ตามมาด้วยเด็กชายที่ยังดูเด็กผู้หนึ่งเดินอยู่ข้างกาย
อาซือกล่าวทักทายฮูหยินทั้งสองท่าน แล้วมาหยุดยืนอยู่ข้างกายเถิงเอ๋อ
ทันทีที่สะใภ้ทั้งสองคนของตระกูลเหยาเห็นคนสองคนนี้ก็เข้าใจในทันที คนที่แต่งกายงดงามนั้นคือฮูหยินเจี่ยง ส่วนหญิงสาวร่างสูงโปร่งข้างกายนางน่าจะเป็นเถ้าแก่เนี้ยเซวีย
เหยาซูเดินรุดหน้าเข้าไปต้อนรับด้วยรอยยิ้ม หลังจากแนะนำพวกนางให้รู้จักกันและกันแล้ว ก็พาทั้งสามคนขึ้นไปชั้นบน
ห้องรับรองมีขนาดใหญ่ ทุกคนต่างนั่งลงตามลำดับ เหยาซูเป็นฝ่ายรินน้ำชาให้แขกด้วยตัวเอง
ด้วยไม่เจอกันนาน เจี่ยงฉีจึงเข้ามาจูงมือเหยาซูแล้วรัวถามราวครึ่งวัน ก่อนจะถามอีก “ไม่เห็นซานเป่าเลย ครบขวบแล้วกระมัง?”
เหยาซูอดยิ้มไม่ได้ “พี่เจี่ยง พี่รีบดื่มชาสักหน่อยเถอะ! ถามเยอะเพียงนี้ ให้ข้าตอบคำถามไหนก่อนดีเล่า?”
อาซือจึงตอบกลับเจี่ยงฉีอยู่ข้างกาย “น้องชายหลับอยู่กับท่านยายฝั่งโน้น มีเพียงข้าออกมากับท่านแม่เจ้าค่ะ พิธีกรรมจับของเสี่ยงทายครบขวบของน้องจะมีขึ้นปลายเดือน ท่านป้าฉีและท่านป้าเซวียอย่าไปไหนนะเจ้าคะ!”
เถ้าแก่เนี้ยเซวียตอบรับด้วยรอยยิ้มบาง ส่วนเจี่ยงฉีก็เข้ามาโอบกอดอาซือ แล้วพูดคุยอีกครู่หนึ่ง
ระหว่างพูดคุยกัน สะใภ้ทั้งสองคนของตระกูลเหยาก็ลอบสังเกตเจี่ยงฉีและเถ้าแก่เนี้ยเซวียอยู่เงียบ ๆ
พวกนางเคยเจอเจี่ยงฉีในหมู่บ้านตระกูลเหยามาก่อน ไม่ต้องเอ่ยถึงรูปร่างหน้าตา ผิวพรรณของนางดูเนียนละเอียดมากทีเดียว แถมยังผอมลงไม่น้อย แค่ราศีในตอนนี้ของนางก็บ่งบอกว่าได้กวาดเอาความเจ็บปวดและความชั่วร้ายในอดีตทิ้งไปจนหมดสิ้น คนทั้งคนแปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่นอ่อนโยนขึ้นอย่างฉับพลัน
ส่วนเถ้าแก่เนี้ยเซวียมีรูปโฉมงดงาม โดดเด่นเป็นสง่า ระหว่างที่คุยกันก็พอมองออกว่าเป็นหญิงสาวที่มีนิสัยร่าเริง
เจี่ยงฉีเป็นฝ่ายพูดกับสะใภ้ทั้งสองคนของเหยาซู “พี่สะใภ้ทั้งสอง ครั้งแรกที่เจอกันจวบจนบัดนี้ ก็เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีแล้ว ที่บ้านสบายดีใช่หรือไม่?”
ทั้งสองคนตอบรับด้วยรอยยิ้ม “ทุกคนสบายดี”
เจ้าบ้านและแขกจะนั่งกันตามระดับ แต่เหยาซูไม่อยากให้ทุกคนมากพิธีเพียงนั้น จึงเชิญทุกคนนั่งตามสบาย สะใภ้ใหญ่เหยานั่งอยู่ข้างกายเจี่ยงฉีพอดี
นางพูดกับเจี่ยงฉีด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ถ้าเปรียบเทียบฮูหยินเจี่ยงที่เคยเจอก่อนหน้านั้น ตอนนี้เปลี่ยนไปมากทีเดียว ข้าและอาเวยเกือบจำไม่ได้”
เจี่ยงฉียิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็ชี้ไปยังเหยาซู “โน่น คนที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่ใช่เพราะได้รู้จักกับอาซู ข้าก็ยังไม่รู้หรอกว่าหญิงสาวบนโลกนี้จะสามารถหลุดออกมาจากหลังกำแพงเล็ก ๆ เหล่านั้นมาใช้ชีวิตตามอำเภอใจเช่นนี้ได้
สิ่งที่นางพูด คือเรื่องการแยกทางภายใต้การสนับสนุนของเหยาซู
เมื่อเหยาซูได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถึงตัวเอง จึงรีบหันหน้าไปอย่างอดไม่ได้ แล้วก็คลี่ยิ้มหวานหยาดเยิ้ม “ข้าเคยไปขายชาดปากในจวนของพี่เจี่ยงแค่สองสามครั้ง ไฉนจะสำคัญเพียงนั้น?”
ทุกคนต่างหัวเราะออกมา
แม้นางจะไม่อยากได้คุณงามความดี แต่คนฉลาดหากเห็นท่าทางที่ดูสดใสมีชีวิตชีวาของเจี่ยงฉีในตอนนี้ ก็ย่อมรู้ว่านางได้รับอิทธิพลจากเหยาซูไม่น้อย
การแต่งหน้าอย่างบรรจง จิตใจสงบ ล้วนเป็นลักษณะที่หญิงสาวผู้เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวต่อคนในบ้านไม่สามารถมีได้
สะใภ้รองเหยานึกย้อนกลับไปถึงท่าทางของเจี่ยงฉียามมาบ้านตระกูลเหยาเมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้เมื่อเห็นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าฤดูร้อนที่ดูเบาสบาย เอวที่ดูคอดเล็กน้อย เงาของหญิงอ้วนฉุในอดีตได้หายไปกว่าครึ่ง
สะใภ้รองเหยากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ฮูหยินมีรูปร่างที่ดี ชุดที่ท่านสวมใส่ได้สร้างความตรึงตาตรึงใจให้แก่คนที่พบเห็นไม่น้อย ไม่ทราบว่าเป็นเสื้อผ้าที่ตระกูลเจี่ยงตัดเย็บเองหรือไม่? ข้าไม่เคยเห็นแบบที่ขับให้เห็นทรวดทรงองค์เอวเช่นนี้มาก่อน ช่างงดงามยิ่งนัก”
เจี่ยงฉีกระตุกมุมปาก จากนั้นก็ยื่นนิ้วที่เรียวยาวออกไปนิ้วหนึ่ง แต่กลับชี้ไปยังเถ้าแก่เนี้ยเซวียที่นั่งดื่มชาอยู่ข้างกาย แล้วพูดว่า “เสื้อผ้าชุดนี้ เป็นผลงานของนาง! ไม่มีใครรู้ว่าเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่เถ้าแก่เนี้ยเซวียขายนั้นดีอย่างไร? แต่ชุดนี้ ข้ายอมจ่ายไปตั้งยี่สิบตำลึงเงินเชียว…”
เมื่อเถ้าแก่เนี้ยเซวียเห็นสีหน้าที่ดูเหมือนปวดใจบนหน้าของนาง จึงวางจอกชาในมือลง ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง แล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ประเสริฐ ข้าตั้งใจเชิญช่างจากทางใต้มาปักดิ้นทองให้แก่เจ้า ทั้งยังเลือกวัสดุผ้าที่ดีที่สุด ให้ช่างตัดเย็บมันออกมาอย่างพิถีพิถัน ยี่สิบตำลึงเงินยังสูงอีกหรือ?”
ทุกคนพากันหัวเราะลั่น
สะใภ้รองเหยาอาศัยจังหวะที่กำลังคุยกับเถ้าแก่เนี้ยเซวียถามขึ้น “ปกติเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่พี่เซวียวางขาย ล้วนเป็นชุดที่พี่เชิญช่างมาตัดเย็บให้โดยเฉพาะใช่หรือไม่?”
เถ้าแก่เนี้ยเซวียเห็นสะใภ้รองเหยาสนใจ จึงอธิบายอย่างละเอียด “โดยส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่นำเข้ามาจากทางใต้ วัสดุผ้าและเสื้อผ้าสำเร็จรูปในเจียงหนาน ล้วนมีความน่าสนใจกว่าทางตอนเหนือ รูปแบบและความสบายก็ดีกว่า เพราะข้ามีปรมาจารย์ด้านการตัดเย็บฝีมือดีสองสามคนในมือ สามารถตัดเย็บเสื้อผ้าที่ดีตามความต้องการของลูกค้าได้”
หญิงสาวค่อนข้างอ่อนไหวกับเสื้อผ้าเครื่องประดับ แล้วยิ่งเป็นสะใภ้ใหญ่เหยาแล้ว แวบเดียวนางก็มองเห็นถึงจุดขายของเสื้อผ้าที่เจี่ยงฉีสวมใส่อยู่
ตอนนี้เมื่อเห็นเถ้าแก่เนี้ยเซวียเอ่ยถึงการทำเสื้อผ้าสำเร็จรูป นางจึงสามารถฟังได้อย่างเพลิดเพลิน
เถ้าแก่เนี้ยเซวียพูดคุยเกี่ยวกับกิจการ เหยาซูเองก็ได้คุยถึงชีวิตในช่วงนี้กับเจี่ยงฉี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นเถิงเอ๋อและอาซือเด็กน้อยสองคนวิ่งเข้าไปในมุมอีกด้านโดยไม่รู้ว่าคุยอะไรกัน ทั้งสองคนจึงยิ่งต้องรับมือกับการอบรมสั่งสอนเด็ก
ไม่นาน นอกห้องรับรองก็มีเสียงเคาะดังขึ้น…
……………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อาซือดูตื่นเต้นออกนอกหน้ามากเลยน้า พอรู้ว่าพี่เถิงมาแล้วเนี่ย
เป็นเพราะวิชาโยคะที่อาซูถ่ายทอดและคำแนะนำต่าง ๆ จากอาซูน่ะค่ะ ฮูหยินเจี่ยงเลยมูฟออนเป็นคนใหม่ได้
ไหหม่า(海馬)