บทที่ 362 ท่านป้าเจี่ยงเป็นกังวลเกินไปหรือไม่

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 362 ท่านป้าเจี่ยงเป็นกังวลเกินไปหรือไม่

บทที่ 362 ท่านป้าเจี่ยงเป็นกังวลเกินไปหรือไม่

เมื่อประตูห้องรับรองถูกเปิดออก เหยาซูได้ชำเลืองมองร่างเงาอันคุ้นเคยแวบหนึ่ง

ในตอนที่นางกำลังจะจ้องมองอย่างละเอียดนั้น

ลูกจ้างในร้านก็ได้ยกอาหารและเดินเข้ามาอย่างต่อเนื่องพอดี

เหยาซูทำได้เพียงแค่ปล่อยวาง เก็บอารมณ์ความรู้สึก แล้วพูดคุยกับคนข้างกายต่อ

เมื่ออาหารพร้อม ทุกคนต่างรินเหล้า แล้วกินอาหารไปพลางพูดคุยไปพลางกันอย่างสนุกสานาน…

อาซือและเถิงเอ๋อนั่งข้างกันอยู่อีกด้าน กำลังส่งเสียงเจี้อยแจ้วโดยที่ไม่รู้ว่ากำลังพูดถึงอะไร

ครู่หนึ่ง อาซือก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งเหยาะ ๆ ออกไปอย่างลึกลับ

ผ่านไปไม่นาน ยามที่นางกลับมานั้น ในมือได้ถือชามกระเบื้องขนาดเล็กใบหนึ่งออกมาด้วย จากนั้นก็นั่งลงข้างเถิงเอ๋อด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

เหยาซูมองการกระทำของบุตรสาว และได้แต่ยิ้มบางโดยไม่เอ่ยเอื้อนสิ่งใด

เจี่ยงฉีชื่นชอบอาซือ จึงหันหน้าไปถามเด็กน้อยด้วยรอยยิ้ม “เอ้อเป่าถือสิ่งใดมาจ๊ะ? ดูลับ ๆ ล่อ ๆเชียว”

เถิงเอ๋ออยากรู้เช่นกัน กระทั่งเห็นอาซือเลื่อนมันมาตรงหน้าของตัวเอง จึงได้เปิดฝาชามกระเบื้องที่อยู่ตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ ไม่นานไอร้อนที่เจือไปด้วยกลิ่นหอมหวานและกลิ่นสุราจาง ๆ ก็ค่อย ๆ ลอยอวลออกมา

เขาเลิกคิ้วสูง แล้วพูดกับเจี่ยงฉีว่า “ท่านแม่ นี่คือเถียนจิ่วชงต้านที่น้องอาซือได้เขียนไว้ในจดหมาย นางสั่งให้ในครัวอุ่นเตรียมไว้”

ครั้นเจี่ยงฉีได้ยินก็ชะงักไปเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะพูดบางอย่าง ก็ได้ยินอาซือพูดขึ้นว่า “ท่านป้าเจี่ยงเจ้าคะ วัตถุดิบที่อยู่ในนั้นข้าล้วนรู้จักดี มันไม่แสลงต่อยาของพี่เถิงแน่นอน อีกอย่างมันยังเป็นประโยชน์ต่อร่างกายด้วย อุ่นให้ร้อนจะได้ไม่ทำให้พี่เถิงได้รับความเย็น ท่านป้าเจี่ยงวางใจได้เจ้าค่ะ”

เจี่ยงฉีถึงกับนิ่งงันไป

ปกติแล้วอาหารที่เถิงเอ๋อกินจะค่อนข้างพิถีพิถัน อาหารในบ้านที่ทำอย่างตั้งใจย่อมไม่มีปัญหา แต่ทุกครั้งที่เถิงเอ๋ออยากไปกินข้าวนอกบ้าน นางก็มักจะถามซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงจะวางใจ

คาดไม่ถึงว่าอาซือในวัยเพียงแค่นี้กลับมีความเอาใจใส่ต่อเถิงเอ๋อโดยไม่ต้องพูดถึง และสัมผัสได้ถึงหัวใจของความเป็นแม่จากนางโดยแท้จริง

หญิงสาวยิ่งรู้สึกรักและเอ็นดูเด็กคนนี้มากขึ้นอย่างอดไม่ได้

เมื่อทุกคนเห็นอาซือยกสิ่งนี้เข้ามา และได้ยินบทสนทนาของพวกเขาเต็มสองรูหู ก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

สะใภ้ใหญ่เหยากล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาซือของเรามักจะดูแลผู้อื่นเสมอ น่ารักยิ่งนัก”

เมื่อสะใภ้รองเหยาเห็นความเอาใจใส่อย่างเหมาะสมของหลานสาวตัวน้อยจนคล้ายกับผู้ใหญ่ในคราบเด็ก จึงทอดถอนใจ “เด็ก ๆ นี่นะคลาดสายตาแวบเดียว ก็โตเป็นผู้ใหญ่โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเสียแล้ว ข้ายังจำท่าทางเมื่อครั้งที่เอ้อเป่ามาที่บ้านข้าได้อยู่เลย ตอนนี้ก็ผ่านไปอีกหนึ่งปีแล้วสินะ!”

สะใภ้ใหญ่เหยาเอ่ยขึ้น “นั่นนะสิ ดูนางตอนนี้สิช่างบริสุทธิ์ยิ่งนัก คิ้วเรียวนั้นก็ยิ่งเหมือนกับอาซูเข้าไปทุกที ต่างจากที่เจอกันเมื่อปีที่แล้วมากโข”

เมื่อครั้งอาซือเพิ่งมาถึงหมู่บ้านตระกูลเหยาได้ไม่นาน เรื่องความซูบผอมและตัวเล็กไม่ต้องพูดถึง แค่สายตายามมองผู้อื่นก็ล้วนเต็มไปด้วยความขลาดกลัว ไม่กล้ามองหน้าผู้อื่น ไม่กล้าพูดมากความ

ปีนี้เหยาซูทุ่มเทความรักความเอาใจใส่แก่ลูกสาวไม่มากก็น้อย ซึ่งสะใภ้ทั้งสองของตระกูลเหยาล้วนมองออก ส่วนอาซือก็เหมือนกับดอกไม้ป่าที่โอบอุ้มน้ำไว้ นางค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น ความไร้เดียงสา ได้ถูกแสงแดดอันร้อนแรงแผดเผายิ่งกว่าแต่ก่อน

น้ำเสียงและกิริยาของเด็กหญิง ได้รับอิทธิพลของเหยาซู ยิ่งอยู่ยิ่งมีความใจกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ

จู่ ๆ สะใภ้รองเหยาก็นึกอะไรบางอย่างได้ รีบหันขวับไปกล่าวกับเจี่ยงฉีด้วยรอยยิ้มทันที “ฮูหยินเจี่ยง วันนั้นก็เคยเจอนางแล้วไม่ใช่หรือ? อาซือเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อยเลยใช่หรือไม่?”

เจี่ยงฉีเอียงคอ เริ่มนึกย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่นางเคยไปยังหมู่บ้านตระกูลเหยาในวันเกิดครบหนึ่งร้อยวันของซานเป่าว่าอาซือในยามนั้นเป็นอย่างไร?

เห็นได้ชัดว่าเคยเจอ แต่เหตุใดกลับไม่มีความประทับใจแรกเลย…

นางแค่ส่ายหน้า ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จำไม่ได้เลยจริง ๆ ความจำของข้า!”

ทั้งสามคนนึกย้อนกลับไปยังช่วงก่อนหน้านั้น เหยาซูและเถ้าแก่เนี้ยเซวียคุยกันแต่เรื่องร้านขายผ้าว่าจะเปิดอย่างไร ส่วนเถิงเอ๋อก็เริ่มหยิบช้อนกระเบื้องขึ้นมาภายใต้การคาดหวังของอาซือ แล้วค่อย ๆ ตักขึ้นมาหนึ่งช้อน เป่าอยู่ตรงปาก จากนั้นก็จ้วงใส่ปาก

ดวงตาคู่นั้นของเด็กหญิงจับจ้องไปยังการกระทำของเถิงเอ๋อตาไม่กะพริบ เหมือนกับว่ากำลังรอประโยคหนึ่งจากเขา

เถิงเอ๋อกลืนความหวานในปากลงไป ก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วพยักหน้า “อร่อยมาก!”

ดวงตาสุกสกาวดุจน้ำพุใสของอาซือได้โค้งขึ้นเป็นพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวในทันที ฟันซี่เล็กสีขาวสะอาดที่เรียงตัวกันเป็นระเบียบต่างก็เผยออกมา

ครั้นเถิงเอ๋อเห็นรอยยิ้มที่สดใสของนาง ช้อนกระเบื้องที่อยู่ในมือก็หยุดชะงักลงโดยไม่รู้ตัวว่าตั้งแต่เมื่อใด

และเมื่อเห็นเขาตะลึงงันไม่เคลื่อนไหว อาซือก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “พี่เถิง พี่มองข้าทำไม? หน้าของข้ามีอะไรติดอย่างนั้นหรือ?”

มืออวบอ้วนของเด็กสาวถูกยกขึ้นมาลูบหน้าของตัวเอง จากนั้นก็เลื่อนจากใบหน้าขึ้นไปบนศีรษะ เมื่อมั่นใจว่าผมของตัวเองยังคงถูกมัดแน่น จึงวางมือในที่สุด

เถิงเอ๋อรีบเอ่ยขึ้น “ไม่มี ไม่มีอะไร ข้ากำลังคิดบางอย่าง เลยเหม่อลอยไปหน่อย”

ขณะที่พูดนั้นเขาก็ใช้ช้อนตักน้ำแกงหวานของข้าวหมากจีนในถ้วยกระเบื้องใส่ปากช้อนหนึ่ง แต่กลับถูกลวกปาก คิ้วกระตุกอย่างฉับพลัน

อาซือกลั้วหัวเราะออกมา “ท่านกินช้า ๆ สิ! เพิ่งต้มออกมาจากในครัว มันก็ลวกปากเอาสิ!”

เถิงเอ๋อรู้สึกว่าในปากของเขาเริ่มชาเล็กน้อย แต่เพราะการคายของที่อยู่ในปากออกมาไม่ใช่เรื่องดี จึงทำได้แค่ฝืนใจกลืนมันลงไป

คำนี้แม้แต่รสชาติเขาก็ไม่ได้ลิ้มลอง แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่แต้มไปด้วยรอยยิ้มของอาซือ ก็รู้สึกว่าน้ำแกงหวานจากข้าวหมากจีนในปากกลับอร่อยขึ้นมาทันใด

เถิงเอ๋อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ลวกปากเล็กน้อย แต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไร เอ้อเป่ากินด้วยกันหรือไม่?”

ปกติข้าวหมากจีนที่อาซือกินนั้นมักจะใช้น้ำบ่อในการทำ เพราะมันเย็นสดชื่น นางยังไม่เคยกินน้ำแกงรสหวานที่ต้มร้อนมาก่อน จึงหยิบช้อนขนาดเล็กด้ามหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมา นั่งกับเถิงเอ๋อแล้วตักกินกันคนละคำ

หลังจากที่เด็กหญิงกินไปครู่หนึ่ง ก็เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าคิดว่า แบบเย็นอร่อยยิ่งกว่า…”

เถิงเอ๋อพยักหน้า แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าชักอยากชิมรสชาติแบบเย็นอะไรนั่นแล้วสิ คิดว่าถ้ารักษาร่างกายให้คงที่ โดยที่ต่อไปไม่ต้องกินยาอีก ข้าก็จะกินข้าวหมากจีนแบบเย็นกับเจ้าได้”

คิ้วของอาซือเลิกสูงขึ้นแล้วพยักหน้าหงึกหงัก “แน่นอน แน่นอน! พี่เถิง พี่รู้หรือไม่ว่า แตงโมที่แช่น้ำบ่อหวานกว่าปกติอีกนะ ต่อไปเราจะได้กินด้วยกัน! ท่านแม่มีวิธีการกินแตงโมให้อร่อยด้วยการใช้ช้อนตัก….”

เถิงเอ๋อยิ้ม “เยี่ยม ต่อไปเราจะใช้ช้อนตักกินแตงโมด้วยกัน”

เด็กทั้งสองคนพูดคุยอย่างสนิทสนม เหยาซูและเจี่ยงฉีก็ดูเหมือนจะคุ้นชินกันแล้ว พวกนางจึงไม่แสดงปฏิกิริยาอะไร แม้แต่เถ้าแก่เนี้ยเซวียก็ไม่สนใจ

กลับเป็นสะใภ้ทั้งสองของตระกูลเหยาที่ได้แต่มอง ส่วนในใจได้แต่ตกตะลึงไม่น้อย

หญิงสาวทั้งสองคนกำลังคิดว่า อาซือเด็กสาวตัวน้อยอย่างนี้ ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ในสายตาของตัวเอง ต่อไปถ้ากลายเป็นภรรยาของต้าหลางเอ้อหลาง คงจะดีไม่ใช่น้อย

แต่ที่เห็นตอนนี้ เหมือนจะยังไม่พอ…

ความคิดนี้ของสะใภ้ทั้งสองคน เหยาซูไม่เคยคาดคิดมาก่อน

สำหรับนางแล้ว อาซือและญาติผู้พี่ทั้งสองคนคือญาติทางสายเลือดเดียวกัน ไฉนเลยจะแต่งงานกันได้?

แต่ถ้าเป็นแคว้นต้าเยี่ยน ขอแค่ไม่ใช่แซ่เดียวกัน ระหว่างพี่น้องก็ยังสามารถแต่งงานกันได้

โชคดีที่สะใภ้ทั้งสองคนของตระกูลเหยาเห็นท่าทางที่สนิทสนมกันระหว่างอาซือและเถิงเอ๋อ จึงยกเลิกความคิดจะให้หลานสาวออกเรือนกับลูกชายของตัวเอง

ถ้าหากเหยาซูรู้ว่าอย่างนี้จะยกเลิกความคิดของพี่สะใภ้ทั้งสองคนได้ คงจะถอนหายใจยาว ๆ ด้วยความโล่งใจ

ครั้นทุกคนกินอาหารเสร็จ เหยาซูจึงลงไปเรียกคนที่อยู่ชั้นล่างเตรียมรถม้า ระหว่างรอ พี่สะใภ้ใหญ่เป็นผู้เอ่ยปากเชิญฮูหยินเจี่ยงและเถ้าแก่เนี้ยเซวียพักในจวน พี่สะใภ้รองเองก็เชื้อเชิญอย่างจริงจัง

แต่เจี่ยงฉีคำนึงถึงร่างกายของเถิงเอ๋อ จึงได้กล่าวปฏิเสธทันควัน “ความหวังดีของพี่สะใภ้ทั้งสองคน ข้าและเถิงเอ๋อน้อมรับด้วยใจ เดิมทีไม่ควรปฏิเสธ แต่ร่างกายของเด็กคนนี้ไม่แข็งแรงมาตั้งแต่เด็ก หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาหลายวัน ข้าเองก็ไม่วางใจ…คิดว่าคงจะกลับก่อน เชิญหมอมาตรวจดูสถานการณ์ อีกสองวันเราจะมาเยือนถึงที่แน่นอน ถือว่าเป็นการขอโทษ”

พี่สะใภ้ทั้งสองคนของตระกูลเหยาต่างก็เป็นคนที่มีเหตุผลชัดเจน ไฉนเลยจะไม่รู้ถึงจิตใจเมตตาของเจี่ยงฉี? เกรงว่ามื้ออาหารในวันนี้ ยามที่กินข้าวนางก็คงไม่วางใจเจ้าลูกชายของนางตลอดเวลาเช่นกัน มิน่าละนางจึงมักจะสังเกตอาซือและเถิงเอ๋อที่อยู่อีกด้านเสมอ

พี่สะใภ้ใหญ่เหยารีบพูดขึ้น “เจ้าเกรงใจเกินไปแล้ว! ไฉนจะต้องกล่าวขอโทษกันเล่า? เราต่างหากที่ชวนโดยไม่คิดให้รอบคอบ เสียมารยาทจนได้”

เจี่ยงฉียิ้มแล้วพูดว่า “เราไม่อยากรบกวนมากเกินไป! พี่สะใภ้ทั้งสอง ไว้ค่อยคุยกัน ตอนนี้ท้องฟ้ามืดแล้ว ดูจากวันนี้แล้ว ข้าจะให้อาหรงไปเยี่ยมเยือนถึงจวนแทนข้ากับเถิงเอ๋อ เป็นอย่างไร?”

เถ้าแก่เนี้ยเซวียมีนามว่า ‘เซวียหรง’ ปกติแล้วมีแค่เจี่ยงฉีที่จะเรียกนางว่า ‘อาหรง’

นางเองก็ไม่ได้สุภาพมากนัก แค่พูดกับสะใภ้ทั้งสองคนของตระกูลเหยาว่า “เช่นนั้นข้าต้องขอรบกวนแล้วล่ะ”

สะใภ้ใหญ่เหยาพยักหน้า สะใภ้รองเหยากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เห็นแม่นางเซวียและอาซูมีความสนิทสนมต่อกัน พักในบ้านข้านั่นแหละ ยามนางเกิดความคิดบางอย่างกลางดึก ครั้นตื่นขึ้นมากลับไม่เจอใคร….”

ทุกคนคลี่ยิ้มในทันที

ในตอนที่เหยาซูเดินเข้ามา เห็นท่าทางมีความสุขของทุกคน จึงอดคลี่ยิ้มไม่ได้เช่นกัน ก่อนพูดว่า “มีเรื่องดีอะไรหรือ ข้ามาไม่ทันใช่หรือไม่?”

เถ้าแก่เนี้ยเซวียถูกสะใภ้รองเหยาดึงมือไว้ กระทั่งได้ยินและพูดว่า “พี่สะใภ้ของเจ้าชวนข้าอยู่ที่บ้านด้วย ไม่รู้ว่าเถ้าแก่เหยาจะคิดอย่างไร?”

เหยาซูยิ้มเช่นกัน จากนั้นก็กล่าวด้วยท่าทีหยอกล้อ “ห้องหับก็มีไม่น้อย สิบสองตำลึงต่อห้อง เจ้าจะอยู่ถึงยามใดก็ได้…”

ทุกคนพูดคุยกันและพากันเดินลงชั้นล่าง

ตระกูลเจี่ยงมีที่ลงหลักปักฐานอยู่ในเมืองหลวง และได้ทำความสะอาดไปล่วงหน้าแล้ว เหยาซูเตรียมรถม้าชั้นดีให้แก่เจี่ยงฉีและเถิงเอ๋อ กระทั่งเห็นเด็กทั้งสองคนกล่าวลากันครู่หนึ่ง

หลังจากที่อาซือส่งเถิงเอ๋อขึ้นรถม้าและเดินทางออกไปแล้ว จึงละสายตากลับมา

เห็นพี่เถิงมีสีหน้าดีขึ้นในวันนี้ ป้าเจี่ยงคิดมากเกินไปหรือไม่? ไม่รู้ว่าหมอจะกล่าวไว้อย่างไร

ถ้าพี่เถิงไม่เป็นอะไร พรุ่งนี้พวกเขาจะมาเล่นด้วยกันอีกใช่หรือไม่?

…………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

เชียร์ให้น้องอาซือได้คู่กับพี่เถิง แต่นั่นก็เป็นเรื่องในอนาคตล่ะนะ

เป็นญาติกัน แต่งงานกันแล้วลูกออกมาจะไม่เป็นอันตรายเหรอ เท่ากับว่าส่งต่อพันธุกรรมด้อยให้ลูกหลานอยู่นะ

ไหหม่า(海馬)