นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 244 เลี้ยง

ผู้หญิงคนนั้นได้ยินก็นำมือขึ้นมาปาดน้ำตาทันที “ขาย ! วันนี้ข้ามาก็เพื่อขายแกะ เถ้าแก่หญิง หากท่านต้องการซื้อ ข้าจะขายแกะสองตัวนี้ในราคาสี่ตำลึง !”

สี่ตำลึง ถือว่าไม่มากจนเกินไป

โจวกุ้ยหลานพยักหน้า นางหยิบเงินตำลึงออกมาจากกระเป๋าและยื่นให้ผู้หญิงคนนั้น

ผู้หญิงคนนั้นรีบรับไว้ในทันที จากนั้นก็นำสองร้อยอีแปะออกมา วิ่งไปหาชายหนึ่งคนในหมู่ของคนที่นอนกองอยู่บนพื้น นำเงินวางไว้ด้านข้าง จากนั้นก็รีบวิ่งหนีไป

โจวกุ้ยหลานเห็นสวีฉางหลินยังคงเตะชายผู้นั้นอยู่ นางตะโกนไปบอกเขาว่า “มีอีกหลายอย่างที่พวกเรายังไม่ได้ซื้อ รีบไปกันเถอะ”

สวีฉางหลินที่กำลังเตะอย่างรุนแรง ได้ยินเสียงของภรรยาก็รีบหยุดมือทันที ยกมือขึ้น จัดเสื้อผ้าที่ยับของเขา จากนั้นหันหลังมาเห็นโจวกุ้ยหลานถือเชือกคล้องคอแกะสองตัวนั้นไว้ และโบกมือให้เขา

สิ่งที่น้องนางและผู้หญิงคนเมื่อสักครู่พูดคุยกันเขาเองก็ได้ยิน เข้าใจว่าลูกแกะสองตัวนี้เป็นของครอบครัวเขาแล้ว

เดินเข้ามา จากนั้นยื่นมือมานำเชือกสองเส้นในมือของน้องนาง รอน้องนางเก็บสัมภาระทั้งหมด พวกเขาก็เริ่มเดินต่อไป

ในช่วงเวลาอันสั้นก็สามารถซื้อทุกสิ่งที่ตนเองอยากได้ โจวกุ้ยหลานรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก ไม่สามารถซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ได้เลย

ผู้คนซึ่งมุงดูอยู่โดยรอบ มีสองสามคนวิ่งเข้ามาด้วยความกระตือรือร้น ล้อมสวีฉางหลินและโจวกุ้ยหลานเอาไว้ แนะนำสินค้าที่ตนเองมีให้กับพวกเขา

“เถ้าแก่ทั้งสอง ต้องการเมล็ดพันธุ์หรือไม่ ? ข้ามีเมล็ดพันธุ์อยู่ทุกชนิด !”

“ต้องการเมล็ดแตงโมหรือไม่ ? แตงกวา แตงหอมหรือแตงหวาน ทุกอย่างมีหมด !”

“อ๊ะ ตรงข้ามีแพนเค้กที่ทำเองกับมือ สนใจซื้อหรือไม่ ?”

โจวกุ้ยหลานถูกล้อมและตั้งคำถาม คนหนึ่งจบอีกคนหนึ่งต่อ แต่คนเหล่านี้ไม่ใช่คนชั่ว จะให้แสดงท่าทีหยาบคายเหมือนที่ทำออกไปกับชายกลุ่มเมื่อสักครู่ไม่ได้ ทำได้เพียงส่ายหน้าและบอกว่าตนเองไม่ต้องการ

กลุ่มชายซึ่งถูกโจมตีเห็นว่าสวีฉางหลินและโจวกุ้ยหลานไม่ได้มองมาทางพวกเขา พวกเขาจึงรีบวิ่งออกไป พยุงร่างพี่น้องที่ยังลุกไม่ขึ้นและวิ่งหนีออกไป

สวีฉางหลินและโจวกุ้ยหลานถูกล้อมไว้อย่างนั้นอยู่นานกว่าจะออกมาได้ ในตอนที่พวกเขาออกมามันก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว

นึกได้ว่ามีนัดทานอาหารกับเถ้าแก่โจว ทั้งสองเพิ่มความเร็ว รีบไปที่ร้านขายของชำของเถ้าแก่โจว

เมื่อพวกเขาเดินมาถึงประตูทางเข้าร้านขายของชำก็เห็นเถ้าแก่โจวยืนอยู่หน้าประตูและกำลังมองมาทางด้านนี้

เห็นพวกเขากลับมาแล้ว เถ้าแก่โจวต้องรับอย่างอบอุ่น หลังจากช่วยพวกเขานำสิ่งของไปวางก็พาพวกเขาไปยังด้านบนของโรงเตี๊ยมเทียนเซียง

คนกลุ่มหนึ่งเดินมาถึงทางเข้าของโรงเตี๊ยมเทียนเซียง เห็นว่าหน้าประตูของโรงเตี๊ยมเทียนเซียงมีคนรออยู่มากมาย ไม่มีที่วางในร้านแม้แต่ที่เดียว โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า “ธุรกิจของร้านนี้ดีมาก เถ้าแก่โจว ดูเหมือนว่ามื้อนี้พวกเราคงไม่ได้กินแล้ว”

“เรื่องนี้พวกเจ้าไม่ต้องกังวล ข้าได้มาจองที่นั่งพิเศษไว้ตั้งแต่แรกแล้ว” เถ้าแก่โจวพูดออกมาพร้อมกับลูบเคราของเขา เสียงนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ

“เถ้าแก่โจว เจ้าช่างคิดได้ละเอียดถี่ถ้วนเหลือเกิน” โจวกุ้ยหลานยิ้มพร้อมกล่าวคำชมเชย

ทุกคนต่างชอบฟังสิ่งดี ๆ แม้แต่เถ้าแก่โจวก็ไม่มีข้อยกเว้น

เขาหัวเราะอย่างมีความสุข คุยกับโจวกุ้ยหลาน พาทั้งสองเข้ามายังด้านในของโรงเตี๊ยมเทียนเซียง ไป๋ยี่เซวียนยืนอยู่ตรงกลาง กำลังพูดคุยกับแขก

เมื่อหันมาเห็นพวกเขาเข้ามาก็ทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มทันที คารวะแบบจีนให้คนสองสามคนแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเจ้าเป็นลูกค้าที่นาน ๆ มาครั้ง แต่ร้านของเราเต็มแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเจ้าได้จองเอาไว้ก่อนหรือเปล่า ?”

เถ้าแก่โจวรีบคารวะกลับไป “ข้าทำการจองห้องดอกเหมยไว้ ไม่รบกวนเวลาดูแลแขกของเถ้าแก่ พวกข้าไปกันเองได้”

โรงเตี๊ยมเทียนเซียงในทุกวันนี้ไม่ธรรมดา เป็นร้านอาหารในตำบลที่มีผู้คนเข้ามามากมายในแต่ละวัน เป็นธุรกิจที่ทำเงินได้มหาศาล ! และเถ้าแก่ไป๋ผู้นี้ก็ไม่ใช่คนที่เป็นเจ้าของร้านขายของชำเล็ก ๆ อย่างเถ้าแก่โจวจะเทียบได้

“แบบนั้นมันจะดีได้อย่างไร ข้าจะพาพวกเจ้าไปเอง” ไป๋ยี่เซวียนพูดออกมาพร้อมกับทำมือเชื้อเชิญ

โจวกุ้ยหลานซึ่งอยู่ด้านข้างพยักหน้าให้เขา นั่นถือเป็นการทักทาย และเดินตามเถ้าแก่โจวข้าไปด้านใน

นางจำได้ว่าครั้งก่อนนางทำให้สวีฉางหลินหึง ครั้งนี้นางจึงต้องระวังให้มาก

ไป๋ยี่เซวียนเองก็พยักหน้าให้นางเช่นกัน แต่เนื่องจากมีเถ้าแก่โจวอยู่ด้วยจึงไม่ได้แสดงความกระตือรือร้นมากนัก

สวีฉางหลินซึ่งอยู่ด้านหลังจ้องมองแววตาของน้องนาง เห็นว่าสายตาของนางไม่ได้จับจ้องไปที่ไป๋ยี่เซวียน หัวใจของเขาถึงรู้สึกผ่อนคลายลง

พวกเขาเดินเข้าไปในห้องพิเศษ เมื่อทุกคนนั่งลงแล้ว ภายใต้คำแนะนำของไป๋ยี่เซวียน เถ้าแก่โจวและโจวกุ้ยหลานจึงร่วมกันสั่งอาหาร

เมื่อพนักงานจากไป ไป๋ยี่เซวียนนั่งลงและคารวะให้กับเถ้าแก่โจว จากนั้นมองมายังโจวกุ้ยหลาน “คุณนาย ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เห็นหน้าเจ้าเลย”

“พวกเจ้ารู้จักกันงั้นหรือ ?” เถ้าแก่โจวหันไปมองไป๋ยี่เซวียน จากนั้นก็หันไปมองโจวกุ้ยหลาน

ทุกวันนี้ไป๋ยี่เซวียนถือได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งในตำบล โจวกุ้ยหลานรู้จักเขา งั้นสถานะก็……

“รู้จัก ก่อนหน้านี้เคยทำธุรกิจร่วมกับไป๋ยี่เซวียน” โจวกุ้ยหลานตอบคำถามของเถ้าแก่โจวกลับไป จากนั้นหันมายิ้มให้ไป๋ยี่เซวียนและพูดว่า “ธุรกิจของเถ้าแก่ไป๋กำลังไปได้ด้วยดี คนเยอะมาก พวกข้ามารบกวนเจ้าหรือไม่ ?”

“จะมารบกวนได้อย่างไร ? ไม่ว่าพวกเจ้าจะมาเมื่อใด ข้าล้วนแต่ยินดีต้อนรับ !” ไป๋ยี่เซวียนเองก็ยิ้มและตอบกลับมา

ผู้หญิงคนนี้มักนำความประหลาดใจมาให้เขาได้ตลอด ตามสัญชาตญาณ เขารู้สึกว่าผูกมิตรกับนางไว้เป็นเรื่องที่ดี หากอนาคตต้องการไปให้ไกลกว่านี้ ผูกมิตรกับนางแล้วทุกอย่างจะราบรื่น

แต่หากพูดความคิดนี้ออกไปเกรงว่าคงมีคนจำนวนมากหัวเราะเขา แต่การที่โรงเตี๊ยมเทียนเซียงยิ่งใหญ่ที่สุดในตำบลในทุกวันนี้ นั่นไม่ใช่ว่าสัญชาตญาณของเขาถูกต้องงั้นหรือ ?

“เถ้าแก่ไป๋ยินดีต้อนรับ แต่เงินในกระเป๋าของข้านั้นทำให้ข้าลำบากใจ การที่พวกเรามาทานอาหารที่นี่สักมือ ราคาของไม่ได้เบาเลย !”

โจวกุ้ยหลานตอบกลับไปก็รู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นซึ่งเพิ่มขึ้นบนร่างกาย

ไม่ต้องมองก็รู้ว่าสวีฉางหลินกำลังจะโกรธ

นี่ไม่ใช่บทสนทนาธรรมดาทั่วไปอย่างนั้นหรือ ผู้ชายคนนี้ตระหนี่เกินไป !

ความรู้สึกอึดอัดที่แสนคุ้นเคยเข้ามาในใจของไป๋ยี่เซวียน เขาพยายามกดมันไว้ ฉีกยิ้มบนใบหน้า พยายามพูดคุยกับโจวกุ้ยหลานและเถ้าแก่โจวอีกสองสามคำก็ทนนั่งต่อไปไม่ไหว และรีบลุกเดินจากไปด้วยตัวเอง

เมื่อออกมาจากห้องไป๋ยี่เซวียนถึงรู้สึกโล่งใจ

คุณนายโจวผู้นี้สวยขึ้นทุกวัน แต่เขาก็ไม่กล้ายุ่งกับผู้หญิงที่มีเจ้าของหัวใจแล้ว ผู้ชายคนนั้นน่ากลัวเหลือเกิน……

คิดไปคิดมาเขาก็ส่ายหน้า ลงบันได ไปต้อนรับลูกค้าคนอื่นต่อ

เมื่อเถ้าแก่ไป๋จากไปแล้ว เถ้าแก่โจวจึงลองถามออกมาว่า “กุ้ยหลาน เจ้าสนิทกับเถ้าแก่ไป๋ขนาดนั้นเลยหรือ ?”

“ก็ไม่ถือว่าสนิท แค่ก่อนหน้านี้เคยทำธุรกิจด้วยกัน เขาได้กำไร แล้วก็อยากได้กำไรมากกว่านั้น” โจวกุ้ยหลานพูดออกมาพร้อมเผชิญกับความโกรธของสวีฉางหลิน นางหยิบแก้วน้ำขึ้นมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และดื่มมันเข้าไป

เถ้าแก่โจวพยักหน้า “หากเจ้าสามารถมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขาได้มันก็ไม่เลว ทุกวันนี้ไป๋ยี่เซวียนทำเงินได้มากมายในแต่ละวัน อนาคตธุรกิจนี้ของเจ้า……”